พอขว้างของชิ้นสุดท้ายออกไป อันซิ่วเอ๋อร์ก็หมดเรี่ยวแรงทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ หายใจหอบถี่ แม้พยายามจิกมือตัวเองให้รู้สึกตัวก็ไร้ผล ทั่วร่างรู้สึกเหมือนถูกมดนับร้อยนับพันไต่กัด มันเสี่ยวซ่านจนไร้เรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง ทรมานแสนสาหัส
กู้หลินหลางรู้ดีว่ายาออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว เขามองโต๊ะที่ว่างเปล่าไร้ถ้วยชาม ก่อนจะยิ้มเย็น แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหานางทีละก้าว
อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองกู้หลินหลาง ภาพใบหน้างดงามของเขาในสายตานางกลับบิดเบี้ยวไปหมด นางรู้สึกราวกับภาพตรงหน้าเลือนราง เดี๋ยวก็เป็กู้หลินหลางผู้น่ารังเกียจ เดี๋ยวก็กลายเป็จางเจิ้นอันสามีของนาง
"กู้หลินหลาง! ท่านเป็ถึงบัณฑิต เป็อาจารย์สั่งสอนผู้คน หากท่านทำเื่ต่ำช้าเช่นนี้ ไม่กลัวว่าวันหน้าจะกระทบต่อหน้าที่การงานของท่านหรือ?" อันซิ่วเอ๋อร์พยายามเค้นเสียงตำหนิ
"ก็แค่เื่ชู้สาว จะกระทบความก้าวหน้าของข้าได้อย่างไร"
กู้หลินหลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง "ถึงเื่นี้จะแพร่งพรายออกไป อย่างไรเสียก็ต้องเป็เ้าที่มายั่วยวนข้า ไม่อย่างนั้นเ้าจะมาที่ห้องหนังสือของข้าตามลำพังทำไม?"
อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็โกรธจนแทบกระอักเื แต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตา นางทำได้เพียงมองกู้หลินหลางที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ อย่างเงียบงัน พร้อมกำปิ่นปักผมในมือแน่น
ใบหน้าของเขาขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้า ในจังหวะที่นางร่นมือไปด้านหลัง กำลังจะแทงปิ่นออกไปนั่นเอง ประตูห้องก็ถูกใครบางคนถีบเปิดออกเสียงดังโครม!
จางเจิ้นอันก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถีบร่างกู้หลินหลางกระเด็นไปอีกทาง แล้วช้อนร่างอันซิ่วเอ๋อร์ที่อ่อนระทวยขึ้นจากพื้น ลมหายใจร้อนผ่าวของนางที่รดอยู่ตรงลำคอทำให้เขารู้ทันทีว่านางผิดปกติไป ต้องถูกวางยาแน่แล้ว เขาจึงไม่มีเวลาสนใจกู้หลินหลางอีกต่อไป อุ้มนางในท่าเ้าสาว แล้วรีบมุ่งหน้ากลับเรือนพักโทรมๆ ของตนทันที
โชคดีที่สำนักศึกษาแห่งนี้ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลผู้คน เขาอุ้มนางลัดเลาะผ่านป่าไผ่ไปตลอดทาง จึงไม่เจอใครเลย จนกระทั่งกลับเข้ามาในเรือนของตนได้ จิตใจที่ร้อนรุ่มของเขาจึงค่อยสงบลง
เมื่อตอนบ่ายเขาก็รู้สึกแปลกๆ แล้วว่านางจงใจกันเขาออกไป ไม่คิดเลยว่าจะเป็เพราะเื่นี้จริงๆ โชคดีที่เขาไหวตัวทันและมาได้เร็ว ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์คงยากจะคาดเดา
บนเตียง ร่างบางของสตรีผู้นั้นมีใบหน้าแดงก่ำ ริมฝีปากแดงสดราวกับเืจะหยด ทุกอณูของนางแผ่เสน่ห์อันเย้ายวนออกมา ใบหน้าที่ปกติหมดจดกลับแฝงความไร้เดียงสาชวนมอง ความยั่วยวนบริสุทธิ์เช่นนี้ เกรงว่าบุรุษใดในโลกก็ยากจะต้านทานได้
อย่างไรเสียนางก็เป็ภรรยาของเขาอยู่แล้ว จางเจิ้นอันย่อมไม่อาจทนเห็นนางทรมานต่อไปได้ เขาโน้มกายลงไป แต่กลับรู้สึกเจ็บแปลบที่่เอว เมื่อก้มลงมอง ก็เห็นปิ่นเงินปักคาอยู่ ปลายแหลมจมลึกลงไปในเนื้อ
โชคดีที่ิัของเขาหนาและหยาบกร้าน และโชคดีที่นางในยามนี้อ่อนแรงจนแทบขยับไม่ได้ มิฉะนั้นเขาคงได้าแลึกกว่านี้
เขาค่อยๆ ดึงปิ่นเงินออกจากมือนาง วางไว้ข้างหมอน แล้วโน้มตัวลงกระซิบข้างหู เสียงทุ้มต่ำแหบพร่า แต่กลับมีพลังช่วยปลอบประโลมจิตใจอย่างน่าประหลาด
"ซิ่วเอ๋อร์ อย่ากลัวไปเลย นี่ข้าเอง"
ดวงตาที่เลื่อนลอยของอันซิ่วเอ๋อร์เบิกขึ้นเล็กน้อย นางสบตากับเขาอยู่หลายวินาที เหมือนพยายามจะยืนยันว่าเขาเป็ใครกันแน่ เมื่อเห็นว่าเป็ใบหน้าที่คุ้นเคย นางจึงค่อยๆ วางใจลง เอื้อมแขนโอบรอบคอเขาไว้
ร่างกายของนางร้อนระอุราวกับเตาไฟ เอวบางที่บิดเร้าอย่างไม่รู้ตัวทำให้เขาแทบคลั่ง แม้นางจะไม่ได้สติเต็มร้อย แต่กลับกระตือรือร้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ราวกับไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งในที่สุดก็หมดสติสลบไป ร่างกายก็ยังคงร้อนผ่าวอยู่
จางเจิ้นอันขมวดคิ้ว กู้หลินหลางคงใช้ยาแรงเกินไป แม้เขาจะช่วยนางต่อได้ แต่ก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายนางอย่างแน่นอน ยาชนิดนี้เป็ยาอันตราย หากไม่ช่วยแก้พิษ คนที่ถูกวางยาก็อาจเป็อันตรายได้
จางเจิ้นอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปตักน้ำเย็นมาหลายอ่าง เช็ดตัวให้นางซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งอุณหภูมิร่างกายของนางค่อยๆ ลดลงจนเป็ปกติ เขาจึงค่อยวางใจ
เมื่อแต่งตัวให้นางเรียบร้อย จางเจิ้นอันก็จัดผ้าห่มให้ดี แล้วนั่งลงข้างเตียง มองใบหน้าหลับใหลของนางพลางครุ่นคิด
"สตรีผู้นี้ ไม่ไว้ใจข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ? หากเ้าบอกเื่นี้กับข้าสักคำ วันนี้ก็คงไม่ต้องเจอเื่อันตรายเช่นนี้"
จางเจิ้นอันพึมพำกับตัวเอง อันซิ่วเอ๋อร์ย่อมไม่ได้ยิน ที่นางไม่บอกเขาเพราะรู้สึกว่าเขาเป็คนไม่ช่างพูด การไปหากู้หลินหลางอาจต้องเจอคำพูดถากถาง อีกทั้งยังเป็เื่ภายในครอบครัวของนางเอง จึงไม่อยากจะรบกวนเขามากเกินไป
นางเพียงคาดไม่ถึงว่าในโลกนี้ จะมีคนประเภทนี้อยู่ด้วย ภายนอกดูเป็บัณฑิตสง่างาม แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความต่ำช้าเลวทราม!
ราตรีมาเยือน ห้องเล็กๆ ยิ่งมืดมิดจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด จางเจิ้นอันนั่งอยู่ในความมืดนั้นเนิ่นนาน ร่างสูงในชุดคลุมสีดำของเขากลืนหายไปกับเงา เดิมทีเขาอยากจะรอให้อันซิ่วเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาก่อน แต่รออยู่นานนางก็ยังคงหลับสนิท
เขากลัวว่านางตื่นมาแล้วไม่เห็นใครจะใกลัวความมืด จึงลุกขึ้นจุดตะเกียงน้ำมันให้สว่างพอเห็นทาง ปิดประตูห้องอย่างเบามือ แล้วเดินออกไป
เขากลัวว่าจะมีโจรผู้ร้ายเข้ามาในยามวิกาล จึงจัดการลงกลอนประตูรั้วอย่างแ่า ก่อนจะก้าวหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างสูงในชุดดำนั้น ราวกับหมาป่าเดียวดายที่ออกล่าเหยื่อ
เขามาที่นี่เพียง้าซ่อนตัวอยู่อย่างสงบ ไม่้าก่อเื่เดือดร้อน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขากลัวปัญหา คนอย่างกู้หลินหลางไม่เคยอยู่ในสายตาเขาอยู่แล้ว ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาจะใส่ร้ายอันหรงเหอ ในสายตาเขามันก็เป็เพียงกลอุบายเด็กๆ แต่สิ่งที่กู้หลินหลางทำในวันนี้ มันทำให้เขาโกรธจนถึงขีดสุดแล้ว
……
กู้หลินหลางนั่งอยู่ในห้องหนังสือ มือข้างหนึ่งกุมท้องที่ยังเจ็บแปลบ นึกถึงตอนที่ถูกจางเจิ้นอันถีบกระเด็นในวันนี้ ในใจก็ยิ่งเดือดดาล เขาไม่อาจกล้ำกลืนความแค้นนี้ลงไปได้
แววตาของเขาฉายประกายอำมหิต เขาสั่งให้เด็กรับใช้ไปเชิญผู้ใหญ่บ้านมา ในฐานะที่เป็ครูสอนหนังสือเพียงคนเดียวในหมู่บ้าน ทั้งยังหนุ่มแน่นรูปงาม ผู้ใหญ่บ้านจึงให้ความสำคัญกับกู้หลินหลางมาก พอได้ยินว่าเด็กรับใช้ของกู้หลินหลางมาเชิญ เขาก็วางมือจากงานที่ทำอยู่แล้วรีบมาทันที
กู้หลินหลางย่อมทำตัวสูงส่งกว่าคนอื่น การเชิญผู้ใหญ่บ้านมาจึงไม่ต้องมีสุราอาหารเลิศรส แต่บุตรชายของผู้ใหญ่บ้านก็เรียนอยู่ที่นี่ด้วย เขาย่อมมีวิธีของเขา
รอจนผู้ใหญ่บ้านมาถึง เขาก็เชิญนั่งอย่างมีมารยาท รินน้ำชาให้ แล้วหยิบสมุดแบบฝึกหัดสองสามเล่มออกมาจากโต๊ะ ผู้ใหญ่บ้านรับมาเปิดดู ลายมือข้างในยังดูเป็เด็ก เขียนตัวอักษรได้ทีละตัว ดูแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ เขาไม่เข้าใจจึงเงยหน้ามองกู้หลินหลาง
"ท่านอาจารย์กู้ นี่หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ?"
ในใจเขาเริ่มไม่พอใจเล็กน้อย แม้เขาจะเป็ผู้ใหญ่บ้านที่ชาวบ้านนับถือ และพออ่านออกเขียนได้บ้าง แต่หากพูดถึงเื่ภาษาและวิชาการ แน่นอนว่าย่อมสู้บัณฑิตไม่ได้ การที่กู้หลินหลางเอาสมุดนี่มาให้ดู ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกลองภูมิอยู่บ้าง
เมื่อเห็นสีหน้าผู้ใหญ่บ้านเปลี่ยนไป กู้หลินหลางก็ไม่โกรธ ยังคงยิ้มถามว่า "ท่านผู้ใหญ่บ้าน ท่านคิดว่าลายมือในนี้เป็อย่างไรบ้าง? ท่านต้องดูให้ดีๆ นะขอรับ"
ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้ว่ากู้หลินหลาง้าอะไรกันแน่ จึงได้แต่ตอบส่งๆ ไปว่า "ก็ใช้ได้ขอรับ"
"อันที่จริง ลายมือนี้แม้จะยังอ่อนหัด แต่ก็เขียนอย่างตั้งใจ มีแววดี นี่เป็ลายมือของศิษย์คนหนึ่งของข้า ข้าคิดว่าหากฝึกฝนให้ดี อนาคตย่อมต้องสดใสแน่นอน" กู้หลินหลางกล่าว
พอผู้ใหญ่บ้านได้ยินเช่นนั้น ก็ก้มลงพิจารณาสมุดในมืออีกครั้ง ถึงได้รู้สึกคุ้นๆ ขึ้นมา ในใจพลันเกิดความยินดี แต่ก็แสร้งทำเป็ไม่รู้ ถามว่า "สมุดเล่มนี้..."
"เป็ลายมือของบุตรชายท่านนั่นเอง" คำพูดของกู้หลินหลางยืนยันความคิดของเขา แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าท่านอาจารย์กู้เรียกเขามาเพื่อพูดเื่นี้ทำไมกัน?
"ก่อนหน้านี้ ท่านอาจารย์กู้ยังชมเชยเด็กบ้านอันอยู่ไม่ใช่หรือขอรับ?" ผู้ใหญ่บ้านถามอย่างระมัดระวัง เขายังจำได้ว่าไม่กี่วันก่อน ลูกชายกลับมาเล่าให้ฟัง เขายังรู้สึกไม่พอใจอยู่หน่อยๆ เลย
"ใช่ขอรับ"
พอได้ยินผู้ใหญ่บ้านพูดเช่นนั้น กู้หลินหลางกลับถอนหายใจออกมา กล่าวว่า "เรียนตามตรง ท่านผู้ใหญ่บ้าน ข้าเองก็ชื่นชมอันหรงเหออยู่มาก ตอนบ่ายวันนี้ยังตั้งใจให้เขาอยู่ต่อ เพื่อจะสอนหนังสือให้เป็พิเศษ หวังจะให้เขาตั้งใจเรียน สอบเป็บัณฑิตให้ได้ในปีหน้า ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้กลับมีพฤติกรรมไม่ดีไปเสียได้"
"หมายถึงเื่ที่ท่านอาจารย์ทำพู่กันหายหรือขอรับ? ท่านอาจารย์อย่ากังวลไปเลย ข้าว่าเด็กบ้านอันไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ๆ หรืออาจจะมีเด็กคนอื่นแกล้งเอาไปซ่อนในโต๊ะเขาก็ได้"
ลูกชายของเขาเองก็กลับมาเล่าเื่นี้ให้ฟังเมื่อตอนบ่าย บอกว่าท่านอาจารย์ทำพู่กันด้ามหยกขาวหาย แล้วไปเจอในโต๊ะของอันหรงเหอ แต่เขากลับไม่ค่อยเชื่อนัก เพราะรู้จักตระกูลอันที่อยู่ในหมู่บ้านชิงสุ่ยแห่งนี้มานานหลายปี ย่อมรู้ดีว่าพื้นเพนิสัยเป็อย่างไร เด็กชายอันหรงเหอคนนี้ก็เห็นมาแต่เล็กแต่น้อย เป็เด็กที่มีใจเข้มแข็ง ซื่อตรง เื่ลักเล็กขโมยน้อยไม่น่าใช่สิ่งที่เขาจะทำ
"เฮ้อ... เดิมทีข้าก็ไม่ได้ใส่ใจเื่นี้หรอกขอรับ เพียงแต่สุดท้ายแล้ว พู่กันด้ามนั้นมันดันหล่นออกมาจากโต๊ะของเขาต่อหน้าคนอื่นๆ เื่นี้มันส่งผลกระทบไม่ดีจริงๆ เพื่อเห็นแก่หน้าเขา ข้าจึงให้เขากลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนสองวัน ใครจะรู้ว่าคนบ้านอันกลับมาหาเื่ข้าถึงที่บ้านหลายครั้ง ทำให้ข้าไม่ได้พักผ่อนเลย
ข้าให้เขากลับไปพักที่บ้าน เดิมทีก็อยากจะให้เขาหลบคำครหานินทาไปก่อน แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขาคิดว่าข้าจงใจกลั่นแกล้ง ไม่เพียงแต่มาหาเื่ข้าหลายครั้ง ยังส่งไอ้อันธพาลจางเจิ้นอันนั่นมาข่มขู่ข้าถึงที่นี่อีก!"
กู้หลินหลางกล่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง เหมือนทั้งเสียดายในตัวอันหรงเหอ และผิดหวังกับการกระทำของคนในตระกูลอันอย่างยิ่ง
"ท่านว่าจางเจิ้นอันมาหาเื่ท่านหรือ?" พอผู้ใหญ่บ้านได้ยินชื่อนี้ ก็ขมวดคิ้วทันที จางเจิ้นอันคนนี้มีที่มาไม่แน่ชัด เขาเองก็ไม่กล้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยง่ายๆ
"ใช่แล้วขอรับ ข้าคิดว่าคนอย่างจางเจิ้นอัน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเรา มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็คนโหดร้าย เอาแต่ใจ ชาวบ้านต่างก็ไม่พอใจเขามานานแล้ว เดิมทีตระกูลอันเป็คนเรียบง่ายเพียงใด? แต่พอได้ลูกเขยอย่างเขาเข้าไป การกระทำก็เริ่มไม่เห็นหัวใครมากขึ้น"
กู้หลินหลางกล่าว พลางเหลือบมองผู้ใหญ่บ้านอย่างมีความหมาย
"ข้าคิดว่า การปล่อยให้คนอย่างจางเจิ้นอันอยู่ในหมู่บ้านต่อไป มีแต่จะทำให้หมู่บ้านไม่สงบสุขนะขอรับ"
ผู้ใหญ่บ้านเงียบไป เขาไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจความหมายของกู้หลินหลาง ที่พูดมาเสียยืดยาว ก็เพียง้าให้เขาหาทางไล่จางเจิ้นอันออกไป แต่ถึงแม้กู้หลินหลางจะเป็อาจารย์ที่ชาวบ้านนับถือ แต่จะให้เขาไปมีเื่กับจางเจิ้นอันเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำ มันเป็ไปไม่ได้ ท้ายที่สุด วันที่จางเจิ้นอันย้ายเข้ามา ซื้อบ้านร้างริมแม่น้ำสองหลังนั้น เขาก็สร้างความประทับใจให้กับผู้ใหญ่บ้านไม่น้อยเลยทีเดียว
