รู้เพียงแค่ว่าผู้ชายคนนี้เป็เ้าของแกลลอรี่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้
“ว่าแค่ตอนนี้ฝนใกล้จะตกแล้วนะคะ… ทางไม่ค่อยดี ถนนลื่น หนูขับรถดีๆ นะจ๊ะ… ”
แม่ค้าผลไม่เตือนด้วยความเป็ห่วง
“ขอบคุณค่ะป้า… งั้นหนูขอตัวนะคะ”
บุหงากล่าวพร้อมกับเปิดประตูรถ…
“จ้ะ… รีบไปเถอะจ้ะฝนใกล้จะตกแล้ว… ”
แม่ค้าร่างอวบเงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้าที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็สีมืดดำราวกับมีผืนผ้าใบขนาดใหญ่ขึงเอาไว้้า
กระแสลมหอบใหญ่สาดเข้ามาเขย่ากิ่งก้านใบไม้ไหวระยับ
บุหงาไม่รอช้า…
ราวกับว่าทุกอย่างรอบๆ กายกำลังส่งสัญญาณเตือนให้เดินทางต่อ หล่อนรีบก้าวขึ้นมานั่งในตำแหน่งคนขับ สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วค่อยๆ ขับลัดเลาะไปตามเส้นทางที่เป็ถนนลูกรังแคบๆ ตามที่แม่ค้าขายผลไม้บอกเอาไว้ค่อนข้างละเอียด
ครู่ต่อมา…
รถคันเล็กแล่นผ่านเส้นทางเปลี่ยวรก ขนาบไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ก้านกิ่งหนาทึบ้าค้อมเข้ามาสานกันดูราวกับอุโมงค์ต้นไม้ให้รถลอดผ่านเข้ามาจนถึงจุดหมาย
เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเรือนไม้ชั้นเดียวปลูกสร้างขนานไปกับลำธาร ทอดผ่านมาจากยอดดอย
ป้ายไม้แกะสลักขนาดใหญ่ที่หน้าบ้านเขียนคำว่า ‘เรือนบัวตอง’ ยืนยันว่ามาถูกทาง
“ใช่แน่ๆ… ”
รถนิสสันมาร์ชสีเขียวคันเล็กชะลอจอดใต้ต้นไม้ใหญ่…
ไม่รู้ว่าต้นอะไร มีใบสีเขียวแตกริ้วเป็แฉกเล็กๆ ประกอบกันเป็ทรงคล้ายสามเหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือ ดอกสีขาวช่างหอมกรุ่นรัญจวนใจเหลือเกิน
มีทั้งดอกที่บานสะพรั่งอยู่เต็มต้น และที่ร่วงลงมาเกลื่อนอยู่บนพื้นซีเมนต์เป็ลานกว้าง
“สวัสดีค่ะ… มีใครอยู่ไหมเอ่ย… ”
หลังจากยืนรอครู่ใหญ่ๆ…
เมื่อไม่มีใครออกมา บุหงาจึงตัดสินใจเดินเข้ามาชะโงกใบหน้าผ่านกรอบประตูไม้ขนาดใหญ่ มองเข้ามาด้านใน นึกว่าจะต้องเจอเ้าของบ้าน
แต่ไม่มีใครอยู่…
“เอ่อ… ติ๊งต่องงง… มีใครอยู่ไหมคะ… ”
บุหงาเรียกอีก…
