เซี่ยชิงหลีก้าวเข้าไปหาทีละคน มือเรียวแตะค้นตามลำตัวอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทุกอย่างถูกยึดอย่างรวดเร็วราวกับมืออาชีพ พอถึงคนสุดท้าย นางจึงถอนหายใจเบาๆ
“ไม่มีของไม่มีค่าอะไรเลย...นอกจากเสื้อผ้า”
ลุงใหญ่เบิกตากว้าง
“เ้าคิดจะ...!!”
เซี่ยชิงหลีไม่ตอบ เพียงหมุนตัวไปถอดเสื้อคลุมตัวนอกจากชายฉกรรจ์เหล่าออกมา ผู้เป็ลุงถึงกับพูดไม่ออกกับพฤติกรรมของหลานสาว ตอนนี้พวกตนดูไม่ออกแล้วว่าใครกันแน่คือคนที่ถูกปล้น
“ถ้าไม่อยากถูกจับโยนเข้าไปในเมืองในสภาพน่าสมเพช... ก็จงจำไว้ให้ดีว่าอย่ามายุ่งกับข้า หรือคนของข้าอีก ไม่อย่างนั้นครั้งต่อไปข้าจะตัด...ไอ้นั่นของพวกเ้าทิ้ง อ้อ....ฝากไปบอกเซี่ยจิ่งเฉิงด้วยล่ะ ว่างเมื่อไหร่ข้าจะไปพบเขาแน่ ล้างคอรอไว้ได้เลย”
หญิงสาวยึดชุดนอก เสื้อผ้าชั้นนอกทุกชิ้น ผ้าคาดเอว ผ้าโพกหัว รวมถึงรองเท้า ที่นางทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะ้า...แต่เพราะศักดิ์ศรีที่พวกเขาพยายามจะพรากไปจากนาง ดังนั้นนางก็จะเอามันกลับคืนในแบบเดียวกัน
เมื่อสายลมเย็นพัดผ่านอีกครั้ง ร่างของโจรทั้งห้าที่นอนสั่นอยู่กับพื้นก็ไม่เหลืออะไรให้แสดงถึง ความน่าเกรงขาม อีกต่อไป เหลือเพียงคนพ่ายแพ้...ในสภาพยับเยิน น่าอับอายอย่างที่สุด
เซี่ยชิงหลีโยนข้าวของทั้งหมดใส่ผ้าห่อเล็กๆ แล้วสะพายขึ้นบ่าพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านลุงไปเถอะ...เดี๋ยวฟ้าจะมืดเสียก่อน ขอบคุณนะ สิ่งของเหล่านี้ข้าจะใช้เป็อย่างดี”
หญิงสาวก้าวขึ้นเกวียนวัวด้วยท่าทางสง่างาม เสียงบดของล้อเกวียนกับถนนดังแว่วห่างออกไปทีละน้อย
ทิ้งให้เื้ัมีเพียงเสียงครางเ็ปและดวงตาที่เต็มไปด้วยความอับอายของชายทั้งห้าคน...ที่เคยคิดจะใช้หญิงสาวเป็เพียงเครื่องระบายความใคร่
เพียงไม่นานหลังจากที่เซี่ยชิงหลีจากไป เซี่ยจิ่งเฉิงก็โผล่ออกมาจากเงาไม้ สีหน้าของเขาไม่เหลือแววมั่นใจและเย่อหยิ่งแบบที่เคยมี เหลือเพียงความตกตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งได้เห็น
"นาง...สู้เก่งเช่นนี้ั้แ่เมื่อใด!"
เขากระชากชายเสื้อคลุมเดินเร็วตรงไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้า ร่างของแต่ละคนยังคงนอนระเนระนาด บ้างร้องครางบ้างยังสลบเหมือด ทั้งตัวเหลือเพียงผ้าเตี่ยวผืนเดียวไว้ปิดของสงวน
เซี่ยจิ่งเฉิงเขย่าไหล่ของหนึ่งในนั้น
“พวกเ้าบอกข้าว่าสามารถจัดการกับสตรีบ้าผู้นั้นได้ นางเป็แค่หญิงบ้านนอก! แค่หญิงชาวบ้าน! เหตุใดถึง...!”
ชายฉกรรจ์ผู้ถูกเขย่าใบหน้าซีดเซียวพยายามอ้าปากพูดทว่าไร้เสียงตอบกลับชัดเจน มีเพียงเสียงครางเบาๆ กับดวงตาเบิกโพลงที่ยังเต็มไปด้วยความตื่นกลัว
เซี่ยจิ่งเฉิงหันขวับไปมองอีกคนพลางมือกำแน่นจนเส้นเืปูดขึ้นชัดเจน
“ข้าใช้เงินตั้งมากมายเพื่อจ้างพวกเ้า! แล้วนี่หรือคือผลงานที่ข้าได้รับ”
ไร้คำตอบ...มีเพียงกลิ่นดิน กลิ่นเหงื่อ และกลิ่นความพ่ายแพ้ที่ตลบอบอวล เซี่ยจิ่งเฉิงเงียบไปชั่วครู่ สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนจากความใเป็ความขุ่นเคือง แต่มันไม่ใช่ความโกรธที่มีต่อเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้น
มันคือความโกรธที่มีต่อตนเอง...ที่ประเมินหญิงบ้าผู้นั้นต่ำเกินไป
“เซี่ยชิงหลี...เ้ามันตัวอะไรกันแน่!”
เสียงของชายหนุ่มเบาลง ทว่าเต็มไปด้วยแรงอารมณ์ที่กดทับ
แววตาในยามนี้ปะปนทั้งความโกรธและความเสียหน้า ครั้งนี้เขาพ่ายแพ้ให้แก่นาง ครั้งหน้าเขาจะไม่แพ้แน่
เกวียนวัวค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่หน้าประตูเรือนตระกูลหลี่ เสียงล้อไม้บดกับดินดังเอื่อยๆ แต่ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่แสงอาทิตย์สีทองเริ่มลับยอดไม้ กลับมีบางสิ่งบางอย่างแปลกไปจากทุกครั้ง
ทันทีที่เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ตระกูลหลี่ทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่ห้องโถงทันที ลุงใหญ่และลุงรองผลัดกันเล่าเหตุการณ์หวาดเสียวที่พวกตนถูกปล้นระหว่างทาง โชคยังดีที่ได้เซี่ยชิงหลีช่วยเอาไว้ หลานสาวผู้เก่งกาจของเขา ท่าทางของทั้งสองยังไม่หายจากอาการในัก ขณะเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
ลุงใหญ่เอ่ยขึ้นก่อน
“พวกมันโผล่มาเหมือนหมาป่าหิวโหย เห็นพวกเราเป็เพียงชาวบ้านและเด็กสาวอ่อนแอเลยคิดว่าเรารังแกง่าย!”
“ข้ากับพี่ใหญ่ได้แต่ภาวนาต่อ์อยู่ในใจ คิดว่าวันนี้คงไม่ได้กลับมาเห็นหน้าทุกคนเสียแล้ว!”
ลุงรองหันไปมองหลานสาวที่นั่งนิ่งอยู่ตรงมุมห้อง
“ทันใดนั้น หลีเอ๋อนางก้าวลงจากเกวียนแล้วใช้หมัดเปล่าล้มโจรทั้งห้าคนได้ในพริบตา!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีในหมู่ญาติพี่น้อง บางคนอ้าปากค้าง บางคนมองหน้ากันด้วยความไม่เชื่อ แต่คนที่ให้ความสนใจในการต่อสู้ของนางมากกว่าผู้ใดคือ หลี่เยว่หยาง
“หลีเอ๋อเ้ารู้วิชาต่อสู้ด้วยหรือ”
ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นทันที ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของเขาทำเอานางแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว
“ข้าเคยได้เรียนกับอาจารย์ของข้ามานิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้เก่งกาจอะไร”
เสียงของเขาดังจนผู้ใหญ่หลายคนต้องปรามด้วยสายตา แต่เ้าตัวก็ไม่ลดท่าทีตื่นเต้นลงเลยแม้แต่น้อย
ั้แ่เด็ก หลี่เยว่หยางก็หลงใหลเื่แม่ทัพ วีรบุรุษ ตำราพิชัยา เขาเคยฝันกลางวันว่าได้สวมเกราะ ขี่ม้า ถือทวน เข้าสู่สนามรบเพื่อปกป้องแคว้น ทว่าชาวบ้านธรรมดาอย่างเขาคงทำได้เพียงแค่ฝัน
“หลีเอ๋อ...เ้าพอจะสอนการต่อสู้ให้ข้าบ้างได้หรือไม่”
เซี่ยชิงหลีหันไปมองชายหนุ่มช้าๆ รอยยิ้มบางผุดขึ้นที่มุมปาก เป็รอยยิ้มที่ทั้งอ่อนโยนและเหน็ดเหนื่อย…ราวกับผู้เคยผ่านสนามรบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“พี่เยว่หยางท่านอยากจะฝึกจริงหรือ”
นางถามเสียงเรียบ
“จริง! ถ้าเ้ายอมสอน ต่อให้ลำบากเจียนตายข้าก็จะทำตามที่เ้าสั่งทุกประการ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารัวสีหน้าแน่วแน่ หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่เบา…แต่ชัดเจน
“หากคิดจะฝึก ท่านต้องรู้เอาไว้ก่อน…ว่าวิชาการต่อสู้นี้ไม่ได้มีไว้เพื่อโอ้อวด หรือใช้กดขี่ใคร มันมีไว้…เพื่อปกป้องคนที่ท่านรักและสิ่งที่ท่านหวงแหน ห้ามนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีเด็ดขาด”
ห้องทั้งห้องเงียบลงทันที ดั่งเสียงนั้นสะท้อนเข้าไปในหัวใจของคนทุกคน หลี่เยว่หยางนิ่งเงียบ...ก่อนจะพยักหน้าอีกครั้งด้วยสายตาแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม
“ข้าจะจำเอาไว้ ข้าจะจดจำทุกคำสอนของเ้าให้ลึกสุดหัวใจ”
เช้าตรู่ของวันใหม่ แสงแดดสีทองยังเพิ่งเริ่มแตะยอดไม้ เสียงไก่ขันแว่วมาเป็ระยะจากปลายหมู่บ้าน หมอกจางๆ ยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือลำธารเล็กๆ ที่ไหลผ่านหมู่บ้านสือโถว บรรยากาศเงียบสงบและเรียบง่าย เป็อะไรที่ทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง
ทว่าใน่เวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงล้อรถม้าที่บดกับดินและหิน ดังมาจากทางเข้าหมู่บ้าน เสียงกีบเท้าม้าหนักหน่วงกระทบพื้นเป็จังหวะมั่นคงวิ่งตรงเข้ามาในหมู่บ้านอย่างช้าๆ
ผู้คนในหมู่บ้านที่พึ่งเตรียมตัวออกไปไร่นาต่างพากันแง้มหน้าต่าง เปิดประตูเหลือบมองด้วยความสงสัย
“รถม้านั่น...ของผู้ใดกัน”
ชาวบ้านต่างมายืนรวมตัวกันมองไปยังเส้นทางที่รถม้าคันนั้นวิ่งตรงไป และท้ายที่สุดรถม้าคันงามก็มาหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าเรือนตระกูลหลี่
ขณะนั้น คนในบ้านกลับไม่ได้มีใครทันสังเกตเห็นรถม้าหรูหราคันนั้นเลยสักคน เพราะภายในลานด้านข้างเรือน...กำลังเกิดความชุลมุนเล็ก ๆ อยู่
เซี่ยชิงหลีในชุดผ้าธรรมดากำลังนั่งบดสมุนไพรด้วยหินกลม เตรียมวัตถุดิบสำหรับทำยาสีฟัน สมุนไพรหลายชนิดถูกบดคละเคล้ากันจนกลิ่นหอมเย็นลอยฟุ้งในอากาศ
ข้างตัวนางคือเซี่ยจื่ออี้ พี่ชายผู้เงียบขรึมทว่าขยันขันแข็ง เขากำลังนั่งเลือกสมุนไพรให้น้องสาวด้วยความระมัดระวัง
แววตาชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเอาใจใส่ ด้านซ้ายของนางคือเซี่ยชิงเป่า น้องสาวตัวแสบที่เอาแต่นั่งพัดไล่กลิ่นแรงของผงยาด้วยสีหน้าเหยเก พลางบ่นเสียงอู้อี้