“เสี่ยวหลาน ให้ถุงน่องที่หลานพูดถึงคือให้แบบนี้หรือ?”
หลี่เฟิ่งเหมยยังคงไม่เข้าใจ แต่หลิวหย่งกลับหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่ “นี่ไม่ใช่เป็การเปลี่ยนวิธีเพื่อทำให้คนซื้อเสื้อผ้าเพิ่มขึ้นหรือ?”
หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินยังคงไม่เข้าใจ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงอธิบายอย่างค่อยเป็ค่อยไป “ในร้านของพวกเรามีเสื้อผ้าตัวหนึ่งราคาเกิน 168 หยวนหรือไม่? ถุงน่องไม่ขาย ใครที่อยากได้ก็ต้องซื้อครบ 168 หยวน พวกเธอจะซื้ออะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ยอดซื้อครั้งเดียวต้องครบ 168 หยวน ถึงจะได้ถุงน่องแถมหนึ่งคู่”
นี่มันมีแรงกระตุ้นการซื้อมากกว่าซื้อครบ 168 หยวนแล้วลด 10 หยวนเสียอีก
สำหรับผู้คนที่มีกำลังจ่าย เงิน 168 หยวนซื้อเสื้อผ้าในครั้งเดียว จะมีส่วนลด 10 หยวนหรือไม่ก็ย่อมซื้ออยู่ดี แม้ถุงน่องหนึ่งคู่จะขายเพียง 10 หยวน ทว่ามันเป็สินค้าที่มีความ้าสูงในซางตู คุณค่าทางใจนำมาให้ผู้คนมิใช่แค่ต้าถวนเจี๋ยหนึ่งใบเท่านั้น
ปัจจุบันหลานเฟิ่งหวงยังไม่มีเสื้อผ้าราคาต่อหนึ่งตัวมากกว่า 168 หยวน ราคาสูงสุดคือเสื้อนอกขนแพะที่เฉินซีเหลียงคะยั้นคะยอเสนอขายนั่นเอง ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งแผงขายนั้นราคา 140 หยวน พอย้ายเข้าในร้านก็ขึ้นราคาขายเป็ 158 หยวน ณ ที่จำหน่าย นี่คือสินค้าที่ราคาต่อหน่วยแพงที่สุด ตอนนี้ในร้านก็ไม่มีเสื้อรุ่นนี้ ไม่ว่าลูกค้าจะซื้ออะไร อย่างน้อยต้องสองชิ้นขึ้นไปถึงจะรวมครบได้ 168 หยวน
เสื้อผ้าสองชิ้นสามารถทำกำไรได้หลายสิบหยวน เทียบกับต้นทุนถุงน่องหนึ่งคู่เพียงไม่กี่หยวน แถมให้ไปก็ไม่เสียหาย
ตอนนี้แถมถุงน่องแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานยังวางแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่คล้ายคลึงกันในอนาคตอีกด้วย แถมเครื่องสำอาง แถมพวกสิ่งของกระจุกกระจิกอย่างกระเป๋าเงิน ถ้าไม่ใช่เพราะไร้คอมพิวเตอร์ เธออยากทำระบบสะสมคะแนนการซื้อสินค้าในร้านด้วยซ้ำ ใช้มือเขียนนั้นช่างเถอะ แต่ยุ่งยากในการนับจำนวนเกินไป จะเป็การเพิ่มภาระงานให้หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยแทนน่ะสิ
พอไป๋เจินจูโทรเลขบอกว่ารวบรวมถุงน่องได้อีกร้อยคู่และขนส่งมาผ่านรถไฟแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานก็ยิ้มแย้มขึ้นมา
“ได้รับถุงน่องเมื่อไร พวกเราก็จัดกิจกรรมการขายนี้ได้แล้ว!”
โปสเตอร์สองแผ่นถูกติดไว้ในร้าน หนึ่งแผ่นติดไว้ที่หน้าประตู ส่วนเวลาแจ้งไว้ว่าคือวันที่ 20 เดือนกุมภาพันธ์จะเริ่มกิจกรรมลดราคาประจำฤดูใบไม้ผลิ
โปสเตอร์เพิ่งถูกติดก็มีลูกค้ามาสอบถามแล้ว ตอนแรกมีหลายคนตั้งใจจะซื้อเสื้อผ้า ทว่าต้องกลับลำทันที ตัดสินใจมาอีกครั้งในวันที่ 20 แน่นอนว่าลูกค้าแบบนี้ไม่ได้มีมากมายนัก อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ทุกคนที่อยากได้ถุงน่องโดยเปล่า... ถุงน่องหนึ่งคู่ราคา 10 หยวน แถมให้ไม่คิดเงินต้องซื้อครบ 168 หยวนก่อน ความแตกต่างของยอดรวมทั้งสองไม่ใช่น้อยๆ ย่อมต้องครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน
โชคดีที่ในร้านไม่ได้จำหน่ายเพียงเสื้อผ้าสตรี ยังมีเสื้อผ้าบุรุษส่วนหนึ่งด้วย
หากหนึ่งคนไม่อาจทำใจซื้อเสื้อผ้า 168 หยวน ก็สามารถซื้อให้ผู้ชายในครอบครัวได้ เครื่องแต่งกายบุรุษในร้านมีปริมาณน้อยทว่าคุณภาพเยี่ยมยอด เสื้อมีปกกับชุดสูทล้วนคุณภาพดี สูททั้งชุดก็ร้อยกว่าหยวนแล้ว เพิ่มเสื้อผ้าราคาถูกสักชิ้น อยากซื้อครบ 168 หยวนจะยังยากอยู่อีกหรือ?
ถุงน่องที่ไป๋เจินจูส่งมาได้รับตามนัด วันที่ 20 เดือนกุมภาพันธ์เริ่มกิจกรรมอย่างเป็ทางการ ทำเอาพวกเซี่ยเสี่ยวหลานสามคนเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ยอดจำหน่ายยังไม่เท่ากับการขายครั้งใหญ่ก่อนตรุษจีนนั่นด้วยซ้ำ ทว่าตกกลางคืนพอคิดบัญชี ผลประกอบการก็พุ่งทะยานราวลมสลาตันจากแปดเก้าร้อยไปถึงสองพันกว่าหยวน
ถุงน่องเพิ่งแถมไป 10 คู่ ทั้งหมดเป็ต้นทุนแค่ไม่กี่สิบหยวน ทว่าผลประกอบการรวมเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งพัน กำไรมากขึ้นหลายร้อยหยวน ของสมณาคุณไม่กี่สิบหยวนจะอะไรกันเชียว? หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยเพิ่งเข้าใจในเหตุผลที่เซี่ยเสี่ยวหลานเปลี่ยนมามอบถุงน่องแทนการจำหน่ายแล้ว
จัดกิจกรรมเพื่ออะไร มิใช่เพื่อกำไรที่มากขึ้นหรือ?
“อย่างตอนที่พวกเราตั้งแผงลอย บางคนอยากต่อราคา คำนวณเงินแล้วก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่พอแถมผ้าพันคอหรือถุงมือให้พวกเธอแทนล่ะ?”
ในที่สุดหลี่เฟิ่งเหมยก็นึกถึงเื่นี้ขึ้นได้
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า “ถูกต้อง! แต่จะแถมมั่วซั่วก็ไม่ได้ ซื้อแค่กางเกงหนึ่งตัว ฉันจะแถมถุงน่องให้เขาไปทำไม แต่เมื่อซื้อครบ 168 หยวนแล้ว กำไรของพวกเรามีการรับประกันแล้ว แถมถุงน่องหนึ่งคู่ก็ไม่ใช่ราคาค่างวดหนักหนาอะไร”
แรงดึงดูดของถุงน่องไม่ได้มากมายนัก ทว่ามันสามารถกระตุ้นให้ผู้คนจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น
เดิมทีซื้อเสื้อผ้าก็ราคาร้อยกว่าหยวนอยู่แล้ว พอคิดๆ ดูเพิ่มอีกไม่กี่สิบหยวนดีกว่า รับถุงน่องหนึ่งคู่โดยไม่เสียเงินด้วย และมีบางคนที่อยากได้ถุงน่องเป็พิเศษ แต่ตนเองซื้อเสื้อผ้าจำนวนมากขนาดนั้นไม่ไหว จะทำอย่างไรดี? ดึงตัวญาติสนิทมิตรสหายมา ยอดรวมซื้อเสื้อผ้าของทุกคนครบ 168 หยวนเป็พอ อย่างไรเสียแถมถุงน่องหนึ่งคู่ พวกคุณเจรจากันเองว่าจะแบ่งสรรปันส่วนกันอย่างไร
ผลประกอบการสูงขึ้นภายในชั่วพริบตา ยืนยันว่าวิธีส่งเสริมการขายของเซี่ยเสี่ยวหลานนี้ได้ผลจริง
บนโปสเตอร์บอกว่าเวลาสิ้นสุดเมื่อแถมถุงน่อง 50 คู่หมด ความจริงแล้วคราวนี้มีสินค้าในคลัง 100 คู่ หากขายดิบขายดี ถุงน่องย่อมมีให้ไม่จำกัดแน่นอน... ผู้คนในปี 84 ยังไม่รู้จักแบบแผนพวกนี้ จึงนึกว่ามีแค่ 50 คู่จริง
ผลประกอบการสูงขึ้น เซี่ยเสี่ยวหลานจึงคิดเื่ติดตั้งโทรศัพท์
แรกเริ่มเธอคิดว่ามันคือปัญหาเื่การจ่ายเงินมากเสียหน่อย และเตรียมใจสำหรับการจ่ายเงินค่าติดตั้งหลายพันหยวนไว้แล้ว แต่พอไปสอบถามที่สำนักงานโทรศัพท์ เขาก็ถามว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกลับว่าคือเ้าหน้าที่ข้าราชการระดับอะไร
เธอคือระดับอะไรเล่า?
ย่าอวี๋เ้าของบ้านคือหญิงชราที่ทำอาชีพกวาดถนน
เธอและมารดาเป็คนทำธุรกิจอิสระทั้งคู่!
การติดตั้งโทรศัพท์บ้านในปี 84 ไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน สายโทรศัพท์ไม่เพียงพอ หากพนักงานและคนงานในเมืองทุกบ้าน้าติดตั้งโทรศัพท์ ฆ่าเ้าหน้าที่สำนักงานโทรศัพท์ไปก็จัดการให้ไม่ได้อยู่ดี เซี่ยเสี่ยวหลานไม่โต้เถียงกับทางสำนักงานโทรศัพท์ หลังจากเธอรุกด้วยบุหรี่ ก็มีคนกรุณาให้ความรู้วิทยาศาสตร์ทั่วไปเกี่ยวกับเงื่อนไขของการติดตั้งโทรศัพท์แก่เธอ
การจะติดตั้งโทรศัพท์ ต้องมี ‘สาย’ และ ‘หมายเลข’ ‘สาย’ ที่กล่าวถึงก็คือสายโทรศัพท์ด้านนอก ในหนึ่งกล่องพักสายมีประมาณ 15 สาย และยังต้องเหลือไว้หนึ่งสายสำหรับเตรียมใช้งานด้วย เผื่อว่าสายไหนเกิดขัดข้อง สายสำรองนี้ก็จะใช้งานได้ทันที เขตที่บ้านย่าอวี๋ตั้งอยู่นี้ สายโทรศัพท์ 15 สายถูกใช้งานหมดแล้วหรือยังก็ไม่ทราบ แต่จุดประสงค์ในการติดตั้งโทรศัพท์ของบ้านข้าราชการชั้นนำทุกท่านคงมีน้ำหนักกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานที่ทำธุรกิจส่วนตัวสินะ?
นอกจากสายโทรศัพท์ หมายเลขโทรศัพท์ของทุกพื้นที่ก็มีจำนวนจำกัดเช่นกัน หมายเลขโทรศัพท์ในห้องปฏิบัติการของสำนักงานโทรศัพท์เหลือหมายเลขอยู่ไม่มาก ทำไมจะต้องมอบให้เซี่ยเสี่ยวหลานใช้งานด้วย
ธุระนี้ต่อให้ขอความช่วยเหลือจากหูหย่งไฉก็คงไม่ได้ แผนติดตั้งโทรศัพท์ของเซี่ยเสี่ยวหลานจึงล้มเหลวไปชั่วคราว
อันที่จริงหากเธออยากขอให้ใครสักคนช่วย เลขาโหวผู้ปรากฏตัวตอนงานตัดริบบิ้นอาจจัดการให้ได้ ทว่าคุ้มค่าหรือที่จะไปพบเลขาโหวเพียงเพราะเื่ติดตั้งโทรศัพท์? เลขาโหวแค่เห็นแก่เส้ากวงหรง ส่วนเส้ากวงหรงเคยช่วยเหลือเพราะรู้จักกับโจวเฉิงและคังเหว่ย—เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าความสนิทสนมคุ้นเคยยังห่างไกลเกินไป
ย่าอวี๋เตือนให้เธอนึกออก
“ปากซอยถัดไปไม่ได้มีโทรศัพท์สาธารณะหรือ? เธอให้หมายเลขนั่นกับคนอื่นสิ”
ใช้โทรศัพท์สาธารณะเป็โทรศัพท์ส่วนบุคคล?
เซี่ยเสี่ยวหลานวิ่งเหยาะๆ ทดสอบระยะทางด้วยตนเอง วิ่งถึงได้ภายในห้านาที เธอตัดสินใจทำตามที่ย่าอวี๋บอก! สำหรับการต่อโทรศัพท์ในยุคสมัยนี้ วิ่งห้านาทีไปรับโทรศัพท์แล้วอย่างไร คนโทรศัพท์มาอาจใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วโมงกว่าจะต่อสายติด รอเพิ่มอีกไม่กี่นาทีก็ไม่เป็ไรหรอก
โทรศัพท์สาธารณะติดตั้งอยู่ในช่องเล็กๆ มีหญิงวัยกลางคนรับผิดชอบรับสาย คนนี้คนนั้นคนโน้นจากบ้านไหนโทรศัพท์มา เธอก็จะะโเรียกเสียงดังฟังชัด เซี่ยเสี่ยวหลานหิ้วแอปเปิ้ลกั๋วกวง [1] สองถุงหรือน้ำตาลทรายสองห่อไปตีสนิทกับน้าเฉิงที่รับสายอยู่บ่อยครั้ง ไม่ทันไรก็สนิทสนมกับคนเขาแล้ว
น้าเฉิงแทะเมล็ดแตงโมที่เซี่ยเสี่ยวหลานนำมาให้ คายเปลือกเมล็ดแตงออกมาอย่างชำนาญ
“ขอแค่เธออยู่บ้าน ฉันทำให้เธอรับโทรศัพท์ได้แน่นอน ถ้าเธอไม่อยู่บ้าน ฉันก็จะใช้เศษกระดาษเขียนว่าคนอื่นพูดอะไรบ้างให้เธอ”
“ขอบคุณน้าเฉิง!”
“อย่าเพิ่งขอบคุณเลย เรียกรับโทรศัพท์หนึ่งครั้งห้าเฟิน ทุกคนก็คิดค่าบริการแบบนี้ เงินนี่เธอต้องจ่ายนะ”
นี่คือรายได้อันถูกต้องของน้าเฉิง เรียกคนรับโทรศัพท์หนึ่งครั้ง 5 เฟิน เซี่ยเสี่ยวหลานจะงกเงินเท่านี้เชียวหรือ
“น้าวางใจเถอะ ฉันทำตามกฎแน่นอน”
เซี่ยเสี่ยวหลานควักต้าถวนเจี๋ยออกมาสองใบ “น้ารับเงินไว้ก่อน อีกหน่อยค่อยๆ หัก”
ตอนนี้ยังไม่มีใครฝากค่าโทรศัพท์ไว้ก่อนแล้วค่อยรับจริงๆ น้าเฉิงใไม่น้อย คนแถวนี้ล้วนพูดกันว่าเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินคือญาติผู้ยากจนของย่าอวี๋ โผล่มากะทันหันก็เพื่อบ้านของย่าอวี๋ เพื่อนบ้านเหล่านี้ยังไม่รับรู้การมีอยู่ของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ภรรยาหูหย่งไฉเองก็พูดซี้ซั้วไม่ได้เหมือนกัน น้าเฉิงเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานจ่ายเงินด้วยความใจกว้าง ใจก็ด่าคนพวกนั้นว่าไร้สาระยิ่งนัก
เชิงอรรถ
[1]国光苹果 แอปเปิ้ลกั๋วกวง คือ แอปเปิ้ลพันธุ์หนึ่ง ปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมได้ดี อัตราการออกผลสูง ผลผลิตมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้