เย่จื่อมู่พลันรู้สึกร้องไห้ไม่ได้พูดไม่ออกขึ้นมา คราแรกไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ยายหนูนี่ตรงไปตรงมาได้น่ารักนัก ตรงประเด็น ยังรู้อีกว่าเขาชอบเงิน
ทว่า นางแสดงออกอย่างใจกว้างได้สมจริงนัก!
นี่มิใช่แค่เล่นลูกไม้ได้อย่างโจ่งแจ้ง แต่เป็เล่นได้อย่างสมเหตุสมผล ราวกับแต่ละประโยคล้วนมีเหตุผล เสมือนว่านางเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
ยายหนูน้อยผู้นี้เล่นลูกไม้ขึ้นมา หน้าไม่แดงใจไม่เต้น แทบจะเทียบเท่าเขาแล้ว
มู่จื่อหลิงลอบเงยหน้าเหลือบมอง เห็นเย่จื่อมู่ไม่พูดเป็เวลานาน ใบหน้าราบเรียบ ดูไม่ออกว่ายินดีหรือขุ่นเคือง ในใจนางก็อดที่จะไม่มั่นใจขึ้นมาไม่ได้
พ่อค้าหน้าเืผู้นี้คงมิได้ดูอะไรออกกระมัง?
คงไม่ได้รู้ว่านางนำขนไก่มาเบิกลูกธนู [1] แต่ความจริงแล้ว้าให้เขาช่วยเหลือ
ก็ใช่ นางแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ จากท่าทางเ้าเล่ห์ของพ่อค้าหน้าเืผู้นี้แล้ว ถ้าเขาดูไม่ออก เช่นนั้นคงต้องละอายใจต่อสมญานามพ่อค้าหน้าเืแล้ว
ทว่าก็แค่ช่วยเหลือเท่านั้น เขารักเงินมากนัก คิดแต่จะรีดไถเงินผู้อื่นอยู่ทุกขณะจิต ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับข้อเสนอนี้!
มู่จื่อหลิงเชิดคางขึ้นสูงอย่างลำพองใจ หัวเราะอย่างใจกว้าง “เป็อย่างไร เพียงแค่ช่วยเหลือเื่เดียวเท่านั้น กำไรห้าส่วนก็ยังให้เ้าเช่นเดิม พลาดหมู่บ้านนี้ไปก็อาจจะไม่มีร้านค้าอีกแล้ว [2] นะ”
สีหน้านางไม่สะทกสะท้าน ราบเรียบทว่าในใจกลับลอบร้องว่ารีบตกลง รีบตกลงเร็วเข้า
มุมหางตาของเย่จื่อมู่เหลือบไปมองมู่จื่อหลิง ราวกับมองไม่เห็นดวงตาพราวระยับที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังนั้น
เขาลูบคางอย่างเอื่อยเฉื่อย แสร้งทำเป็สับสน “นี่ดูไปแล้วก็สมเหตุสมผล สามารถยอมรับได้ แต่”
“มิต้องแต่แล้ว เื่นี้ปานนี้ มีของถูกไม่คว้าไว้ก็เป็ไข่ตะพาบ [3] แล้ว ตกลงตามนี้” ในใจมู่จื่อหลิงลอบยินดีปรีดา สรุปความอย่างมีน้ำใจ ตัดบทคำพูดของเขาทันที
นางกลัวว่าเย่จื่อมู่จะกลับคำหรือพูดเงื่อนไขที่ไม่ยุติธรรมออกมารีดไถนางอีก
ไม่ง่ายดายเลยที่จะโต้กลับพ่อค้าที่เ้าเล่ห์ไร้ที่เปรียบผู้นี้ได้สักครา คิดๆ ดูแล้วก็ภาคภูมิใจเป็พิเศษ
นางไม่อยากถูกคำพูดวกวนคมคายของเขาทำให้หลงทางอีก
มุมปากมู่จื่อหลิงคลี่รอยยิ้มเ้าเล่ห์ นางกลับอยากดูนักว่าพ่อค้าหน้าเืผู้นี้จะอยาก ‘เสียเปรียบ’ หรืออยากเป็ไข่ตะพาบ
เย่จื่อมู่มุมปากกระตุก ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ยายหนูผู้นี้ปากคอเราะร้ายจริงๆ หากเขาไม่ตกลง ก็กลายเป็ไข่ตะพาบ?
ดวงตาชาญฉลาดและทรงเสน่ห์ของเขาราวกับเจือแววจนปัญญา พูดหยอกล้อ “เถ้าแก่มู่พูดเช่นนี้ก็จริงอยู่ แต่ข้าก็มิอาจรับปากได้โดยง่าย หากว่าธุระของท่าน ให้ข้าไปฆ่าคนวางเพลิง ข้าไหนเลยจะไม่เสียเปรียบ”
มู่จื่อหลิงพลันวุ่นวายใจขึ้นมา นางไม่นึกถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
แม้จะมิใช่ฆ่าคนวางเพลิง แต่อันตรายเสียยิ่งกว่าฆ่าคนวางเพลิงเสียอีก หากสำเร็จก็แล้วไปเถิด แต่ถ้าล้มเหลวแล้วถูกพบเข้า เช่นนั้นคงได้จบชีวิตลงจริงๆ
พ่อค้าหน้าเืไม่มีเหตุผลที่จะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอันตรายช่วยนางจริงๆ
ถ้าถูกพบเข้า เขาก็เสียเปรียบจริงๆ
อีกอย่าง ั้แ่ต้นจนจบมีนางพูดอยู่คนเดียว พ่อค้าหน้าเืผู้นี้เสี่ยงอันตรายช่วยนางไปครั้งหนึ่ง ก็ถือเป็บุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว
ยามนี้ให้เขาเสี่ยงอันตรายช่วยเหลือนางอีก จะเกินไปหน่อยหรือไม่?
ทว่า...
มู่จื่อหลิงวุ่นวายใจแล้ววุ่นวายใจอีก ลังเลแล้วลังเลอีก สุดท้ายก็ยังโน้มตัวเข้าไปริมหูเย่จื่อมู่กระซิบกระซาบ
“เป็อย่างไร? เื่นี้ช่วยได้หรือไม่?” มู่จื่อหลิงถามอย่างระมัดระวัง ดวงตาใสกระจ่างเบิกกว้าง จ้องเย่จื่อมู่เป็เวลานาน เกรงว่าจะพลาดอารมณ์บนใบหน้าของเขาไป
แต่ใครจะรู้ว่า...
เย่จื่อมู่กางพัดออกอย่างใจเย็น พัดอย่างสบายอกสบายใจ ท่วงท่าเช่นนั้นมีเสน่ห์ชวนหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก
หากเป็ปกติเมื่อมู่จื่อหลิงได้เห็นฉากนี้คงจะแอบพึมพำว่าพ่อค้าหน้าเืผู้นี้ขี้เก๊กจนหมดหนทางเยียวยาแล้ว
แต่ยามนี้ในใจมู่จื่อหลิงกลับปรากฏความสงสัย ดวงตากระจ่างใสประเมินเย่จื่อมู่จนหมุนติ้ว
ไม่ถูก ไม่ถูกต้อง!
ที่นางคิดไว้ไม่ใช่ท่าทางเช่นนี้!
พ่อค้าหน้าเืผู้นี้ได้ยินธุระของนาง จะอย่างไรหรืออย่างน้อยๆ ก็ควรใเสียหน่อยไหม?
หรืออาจจะตบโต๊ะปฏิเสธทันที ไล่นางไปอย่างไม่ลังเล
นึกไม่ถึงว่าเขาจะมีท่าทางสงบนิ่ง เสมือนว่าเื่ที่นางพูดเป็เื่เล็กน้อยไม่สลักสำคัญ ไม่เพียงพอให้หวาดกลัว ไม่เพียงพอให้ประหลาดใจ
ท่าทางไม่ใส่ใจของเขานั้นราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่เกี่ยวกับเขา
ไม่ปกติ ไม่ปกติอย่างยิ่ง
หรือว่าเขาตอบสนองช้า จึงได้ช้าไปครึ่งจังหวะ?
หรือว่า...ปกติพ่อค้าผู้นี้ทำเื่เลวร้ายเป็จำนวนมาก ดังนั้นยามนี้จึงไม่เห็นว่าแปลกประหลาด ชินแล้ว?
ในระหว่างที่มู่จื่อหลิงสงสัยนั้น เย่จื่อมู่ก็ใช้พัดเคาะศีรษะเล็กๆ ของนาง ถามด้วยรอยยิ้มตาหยี “เถ้าแก่มู่ สมองน้อยๆ นี้กำลังคิดอะไรอยู่กัน”
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็ได้สติกลับมา ถึงได้พบว่าเย่จื่อมู่ปกติเป็อย่างยิ่ง ไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อย
ั์ตานางปรากฏความคาดหวัง มุมปากยกขึ้นน้อยๆ “พ่อค้าหน้าเื ดูแล้วท่านไม่ใแม้แต่น้อย ทั้งยังผ่อนคลายยิ่งนัก ไม่เห็นว่าสำคัญ เท่ากับว่าสามารถช่วยได้?”
เย่จื่อมู่มองนางด้วยหางตาอย่างอารมณ์เสีย “ใครว่าผ่อนคลาย เถ้าแก่มู่ ท่านว่ามาเหตุใดท่านจึงไม่ไปหาบุรุษเรือนท่านช่วย มาหาข้าทำไมกัน?”
มู่จื่อหลิงเกือบจะสำลักน้ำชา
ไปหาบุรุษเรือนท่านให้ช่วยเหลืออะไรกัน?
พ่อค้าหน้าเืผู้นี้ไม่...ไม่ทำลายบรรยากาศเช่นนี้ ในเวลาเคร่งเครียดจริงจังจะได้หรือไม่!
มู่จื่อหลิงเท้าคางด้วยมือข้างเดียวบนโต๊ะไม้จันทน์ อธิบายขยายความ “เรือนข้าตอนนี้เหมือนว่าจะมีแค่บิดาข้าเพียงคนเดียวแล้ว เขาอายุมากเพียงนั้น เขาคงรับไม่ไหว อีกอย่างเขา...โอ๊ย!”
นางยังไม่ทันพูดจบ หน้าผากก็ถูกเย่จื่อมู่ดีดอย่างแรง
มู่จื่อหลิงกุมหน้าผากที่ถูกดีด ถลึงตาใส่เย่จื่อมู่อย่างโกรธๆ พูดด้วยความขุ่นเคือง “พ่อค้าหน้าเื ท่านทำอะไร!”
เย่จื่อมู่ค้อนใส่นางอย่างอารมณ์เสีย “ท่านว่าข้าทำอะไรเล่า เถ้าแก่มู่ พวกเราไม่พูดเื่ไร้สาระจะได้หรือไม่?”
ความสามารถพูดกลับดำเป็ขาวของยายหนูผู้นี้ไม่ด้อยกว่าเลย!
เขาคิดว่าเพราะยายหนูนี้ถูกหลงเซี่ยวอวี่ปล่อยทิ้ง จึงได้อาละวาดเช่นนี้หรือไม่นะ?
หึๆ แล้วยังจะมาแกล้งโง่กับเขาอีก ไม่ให้นางสมปรารถนาเสียหรอก
มู่จื่อหลิงเกือบจะคลุ้มคลั่งแล้ว!
พ่อค้าหน้าเืสมควรตาย กาไหนไม่เปิดเลือกกานั้น [4] ตลอด!
นางไหนเลยจะไม่รู้ว่าเขาพูดถึงใคร แต่ ตอนนี้นางก็แค่...ไม่อยากพูดถึงเท่านั้น
ทว่านี่ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว
ใช้อะไรมาตัดสินกัน เขาสามารถพูดไร้สาระได้ทุกครั้ง ทุกประโยคล้วนอ้างเหตุผล แต่ไม่อนุญาตให้นางพูดไร้สาระ?
ความรู้สึกเช่นนี้ ช่าง...ช่างทำให้อารมณ์เสียนัก!
มู่จื่อหลิงสูดลมหายใจเข้า ปลอบประโลมในใจตนเองที่เกือบจะคลุ้มคลั่ง พูดออกมาทีละคำ “ตกลงท่านจะช่วยหรือไม่? หรือว่าไม่ช่วย?”
เมื่อครู่ยังคิดอยู่เลยว่าตนเองโต้กลับได้แล้ว ไม่คิดว่าเพียงชั่วพริบตาก็จะถูกตีกลับที่เดิม กลับไป่ก่อนได้รับอิสรภาพ ช่างขมขื่นเสียนี่กระไร
เย่จื่อมู่สองมือกอดอก หัวเราะหึอย่างอารมณ์เสีย “เื่เล็กน้อยเช่นนี้ บุรุษของท่านขยับนิ้วก็สำเร็จแล้ว ท่านมาหาข้า ช่างขี่ช้างจับตั๊กแตนแล้ว”
มู่จื่อหลิงโมโหจนอัดอั้นอยู่ในทรวงอกโดยพลัน
เ้าชนะ! พ่อค้าหน้าเื ท่านชนะแล้ว
นางคิดว่าถ้าพูดเช่นนี้ต่อไปไม่เย่จื่อมู่หลงตนเองจนกลายเป็โรค ก็เป็นางที่โมโหตาย
อะไรคือเื่เล็กน้อย? อะไรคือขี่ช้างจับตั๊กแตน?
นั่นเรียกว่าเื่เล็ก? พ่อค้าหน้าเืผู้นี้หลงตนเองจนมิอาจเปลี่ยนแปลงแล้วหรือ?
ทั้งยัง เหตุใดไม่ว่าเขาจะอ้าปากหุบปากล้วนไม่หนีไปจากหลงเซี่ยวอวี่ที่น่าชิงชังนั่นกัน
ต่อให้หลงเซี่ยวอวี่ยอดเยี่ยมแค่ไหน มีความสามารถแค่ไหน ก็ไม่เกี่ยวกับนาง!
ถ้าไม่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน นางยังจะคิดว่าพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันมาแน่
มู่จื่อหลิงที่คล้ายว่าจะเหงาหงอยหลุบตาลง ั์ตาปรากฏแววเ้าเล่ห์
พ่อค้าหน้าเื ไม่ว่าเมื่อใดเ้าก็ได้เปรียบ ให้หางเ้าไป เ้าก็กระดกมันขึ้นไปเสียถึงฟ้า
ในเมื่อเ้าพูดว่านี่เป็เื่เล็กน้อย เ้าจะทำอย่างไรก็ได้ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะทำให้เ้าเป็ฝ่ายพูดมาก่อนว่าจะช่วยเื่นี้ให้ได้
ท่าไม้ตายเมื่อครู่จะใช้อีกครั้งก็ไม่เป็ไร!
“พ่อค้าหน้าเื ท่านไม่ช่วยข้าก็สมเหตุสมผล ชีวิตนี้ข้าก็ไม่ได้มีราคาค่างวด ท่านว่าเพราะเหตุใดถึงมีคนอยากได้มากมายนัก? บางทีพอออกไปก็อาจจะมีการลอบสังหาร ถูกคนยิงเข้าที่หัวใจอีกครั้ง ตายแล้วเื่ก็จบ ข้าไปล่ะ ลาก่อน” มู่จื่อหลิงหลุบตาลงต่ำ เสมือนว่าถูกทอดทิ้ง ชีวิตไร้ความห่วงหา
พูดจบนางก็ลุกขึ้นยืนอย่างไร้ชีวิตชีวา เดินไปที่ประตูอย่างไม่ลังเล
ในใจนางเพิ่งจะนับถอยหลังว่าอีกนานแค่ไหนเย่จื่อมู่จึงจะเรียกนาง คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะก้าวไปก้าวเดียว เย่จื่อมู่ก็เอ่ยปากแล้ว
“เถ้าแก่มู่ ท่านไม่ได้้าให้ช่วยรับผิดชอบแล้วหรือ? นี่ท่านไปเพราะไม่คิดจะมอบกำไรห้าส่วนให้ข้าแล้ว ข้าไม่ยอมนะ” น้ำเสียงเย่จื่อมู่ฟังไม่ออกถึงความผิดปกติใดๆ
มู่จื่อหลิงที่หันหลังให้เขาในยามนี้มองไม่เห็นว่าเขามองนางที่เหงาหงอยด้วยสีหน้าวุ่นวายใจ แววตาเต็มไปด้วยความปวดใจ
มู่จื่อหลิงชะงักฝีเท้าทันที จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นปิดปากแน่น ทั้งตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เย่จื่อมู่ตื่นตระหนกขึ้นมาโดยพลัน คิดว่ามู่จื่อหลิงกำลังร้องไห้ รีบก้าวขึ้นมาหันตัวนางกลับไป “เถ้าแก่มู่ ท่านไม่ได้ซาบซึ้งจนจะร้องไห้เพราะข้าจะช่วยท่านกระมัง อย่าร้อง...”
คำพูดของเขายังไม่ทันจบ มู่จื่อหลิงก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลันด้วยสีหน้าเหมือนท้องผูก
“พรืด” มู่จื่อหลิงมองปากที่ยังไม่หุบเข้าหากันของเย่จื่อมู่ก็ค้างไป นางทนไม่ไหวอีกแล้วจึงส่งเสียงหัวเราะฮ่าๆ ออกมา
ไม่ระมัดระวังเพียงเล็กน้อยก็จะถูกเย่จื่อมู่ดึงลงไปในหลุมที่ขุดไว้ได้
ดังนั้น ครั้งนี้ต้องรวดเร็วฉับไว! มิอาจพูดไร้สาระกับเขาได้แล้ว
มู่จื่อหลิงมองใบหน้าเย่จื่อมู่ที่ไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกเช่นใด ตีเหล็กตอนที่ยังร้อน พูดยิ้มๆ “พ่อค้าหน้าเื ในเมื่อเป็เช่นนี้ ทุกอย่างราบรื่นก็ดีแล้ว ไม่กินข้าวที่หอเยวี่ยอวี่เสียนาน วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นท่านเลี้ยงแล้วกัน ข้าขอไปกินมื้อใหญ่ก่อนซักมื้อแล้วกัน”
ไม่รอให้เย่จื่อมู่มีปฏิกิริยา นางก็เผ่นหนีไปจากมือของเขาที่กำลังค้างอยู่ทันที วิ่งด้วยความเร็วชนิดที่เรียกได้ว่าเหาะ
เย่จื่อมู่มองประตูที่ถูกปิดอย่างแรง มุมปากกระตุก ส่ายศีรษะอย่างหมดทางเลือก
ยายหนูผู้นี้นับวันก็ยิ่ง...ฉลาดจริงๆ
ทว่า ยังไม่รอให้เขาปลงตกเสร็จ น้ำเสียงสดใสของมู่จื่อหลิงก็ดังมาจากข้างนอกเบาๆ
“พ่อค้าหน้าเื ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมไม่ไปหาเขา แต่มาหาท่าน? เพราะมีประโยคที่กล่าวไว้ว่า หากผู้ชายพึ่งพาได้ แม่หมูก็ปีนต้นไม้ได้แล้ว”
คำพูดนี้ของมู่จื่อหลิงเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง นางพูดเป็อีกความหมาย เย่จื่อมู่กลับได้ยินเป็อีกความหมาย
ยามนี้ ต่อให้เย่จื่อมู่อารมณ์ดีแค่ไหน สีหน้าก็มืดครึ้มลงในชั่วพริบตา
นางหนูนี่จะพูดว่าเขาไม่ใช่ผู้ชาย? ดังนั้นจึงได้มาหาเขา เป็เพราะเขาพึ่งพาได้?
ช่าง...
ได้ประโยชน์แล้วยังทำให้ลำบากใจ ช่างน่าโมโหนัก ช่างน่าโมโหจริงๆ
---------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ขนไก่มาเบิกลูกธนู นำอาการเจ็บป่วยมาขอหรือสั่งให้คนอื่นช่วยเหลือ
[2] พลาดหมู่บ้านนี้ไปก็อาจจะไม่มีร้านค้าอีกแล้ว หมายถึงโอกาสที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ
[3] มีของถูกไม่คว้าไว้ก็เป็ไข่ตะพาบ แปลว่ามีของดีไม่คว้าไว้ก็เสียเปล่า
[4] กาไหนไม่เปิดเลือกกานั้น หมายถึงพูดเื่ที่ไม่ควรพูด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้