เล่มที่ 2 บทที่ 54 จี้หยวนหยาง
ที่หุบเขาอวี้เหิงแห่งนี้เอง ตาเฒ่ากำลังเก็บเศษหินิญญากลับไปอย่างเ็ป แถมยังใช้สายตาประเมินหลินเฟยั้แ่หัวจรดเท้า ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กระทั่งเผยยิ้มออกมา
“ไม่เลวนี่ คาดว่างานศิษย์สายตรงคราวนี้เ้าเองก็พอจะมีหวัง”
“หึหึ แค่ทำให้เต็มที่ก็พอแล้ว”
“เอาเถอะ เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่ถูกเ้าฝึกจนมาได้ถึงขนาดนี้ ก็นับว่าพันปีมานี้คงไม่มีใครทำอย่างเ้าได้อีกแล้ว งานศิษย์สายตรงครั้งนี้ มีโอกาสเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ไม่น้อยเลย ฉะนั้นเลิกเสแสร้งต่อหน้าข้าเสียที…” เมื่อพูดจบตาเฒ่าก็ลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ยเสริมตามมาอีก
“พูดตรงๆมาเถอะ มาหาข้าถึงที่นี่ ้าอะไรกันแน่? บอกไว้ก่อนเลยนะว่าตอนนี้ข้าจนมาก หากคิดจะยืมหินิญญาล่ะก็ หุบปากไปเลยจะดีกว่า…”
“…” หลินเฟยกลอกตามองบน พลางคิดในใจว่า ‘หากคิดจะยืมจริงๆ คงไม่มาหาท่านถึงที่นี่หรอก’
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดออกไปตามที่คิดได้
“ก็ไม่ได้เข้าใจผิดอะไรไปหรอก ที่ศิษย์มาก็เพราะ้าจะยืมบางอย่างจริงๆ…” หลินเฟยพูดไม่ทันขาดคำ ตาเฒ่าก็ใทันที ก่อนจะกุมถุงเงินไว้แน่น หลินเฟยเห็นดังนั้นถึงกับพูดไม่ออก
“ใอะไรกัน ข้าไม่ได้มายืมหินิญญาเสียหน่อย…”
“อ้อ…” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตาเฒ่าก็ถอนหายใจออกมา
“ไม่ใช่หินิญญาก็แล้วไป ว่ามาเถอะ จะเอาอะไร?”
“ศิษย์อยากยืมจี้หยวนหยาง”
“จี้หยวนหยาง?” สีหน้าของตาเฒ่าเปลี่ยนสีไปทันทีเมื่อได้ยิน ก่อนจะรีบเดินมาหาหลินเฟย เขาจ้องหลินเฟยอยู่นาน สุดท้ายจึงเอ่ยถามออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มีปัญหานิดหน่อย…” หลินเฟยเข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดตาเฒ่าถึงใขนาดนี้ เพราะจี้หยวนหยางมีมนต์สะกดสามสิบหกสาย มีไว้สำหรับข่มจิตมารโดยเฉพาะ ในเส้นทางบำเพ็ญนี้ หากผู้บำเพ็ญถูกจิตมารเข้าแทรกแซงแล้วล่ะก็ ถือว่าเป็เื่ใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ตาเฒ่าจะไม่เอาไหนเพียงใด แต่ครั้งนี้ก็ถือว่ายังมีมโนธรรมอยู่บ้าง รู้จักเป็ห่วงเป็ใยเขา หลินเฟยรู้สึกซาบซึ้งมากทีเดียว…
แน่นอนว่าเพียงชั่วครู่เท่านั้น…
“นิดหน่อยอะไร จิตมารเข้าแทรกเนี่ยนะเื่เล็กน้อย? หากเป็อะไรขึ้นมา แล้วข้าจะไปยืมหินิญญากับใคร?”
“…”
“รับจี้หยวนหยางไปสิ…” ตาเฒ่าคลำหาชั่วครู่ ก่อนจะยื่นจี้หยกสีอำพันอ่อนมาให้ แต่ไม่วายกำชับเพิ่ม
“วันละสิบหินิญญานะ…”
“ช่างเป็อาจารย์ที่แสนดีของข้าจริงๆ…” หลินเฟยกัดฟันตอบประชด ก่อนจะยื่นมือไปรับ ‘ถึงกับเรียกเก็บวันละสิบหินิญญา ดูแล้วตาเฒ่าคงคิดจะขูดรีดทรัพย์สมบัติหุบเขาอวี้เหิงจนหมดสิ้นเป็แน่…’
ที่แย่กว่านั้น...จะไม่ให้ก็ไม่ได้เสียด้วย
ถึงแม้จะกักตัวฝึกฝนอยู่ถึงครึ่งเดือน แต่ก็ไม่อาจขจัดจุดอ่อนที่ตามมาของการบรรลุขั้นบำเพ็ญอย่างก้าวะโได้ หากเป็ยามปกติก็คงไม่ลำบากเท่าไรนัก เพราะสามารถใช้เวลาค่อยๆแก้ไขไปได้ ทว่าอีกสามชั่วโมงให้หลังก็จะเริ่มงานศิษย์สายตรงแล้ว หากเกิดเื่ไม่คาดฝัน ถูกจิตมารเข้าแทรกขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่าชีวิตของเขาคงพังไม่เป็ท่าแน่ๆ…
ถ้าไม่อับจนหนทางจริงๆ ก็คงไม่คิดจะบากหน้ามายืมจี้หยวนหยางจากตาเฒ่าที่ไร้หัวใจนั่นแน่นอน…
“จริงสิ…” ในขณะที่หลินเฟยกำลังขบเคี้ยวฟันอยู่นั้น ตาเฒ่าก็นึกบางอย่างได้ จึงเอ่ยขึ้นมา
“ถ้าเกิด… ข้าหมายถึงถ้าเกิดน่ะนะ…”
“มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ…”
เมื่อเห็นตาเฒ่าอ้ำๆอึ้งๆ หลินเฟยก็อดที่จะเบะปากไม่ได้
“หากศิษย์ทำได้ ย่อมทำให้แน่นอน วางใจเถอะ ข้าไม่คิดค่าหินิญญาท่านหรอก…”
“ถ้าเกิดเ้าชนะงานศิษย์สายตรงครั้งนี้ จะได้เลื่อนเป็ศิษย์สายตรงคนที่สิบสี่ เช่นนั้นแล้วข้ามีเื่อยากให้ช่วย…”
“เื่อะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ศิษย์สายตรงมีสิทธิ์ไปหุบเขากระบี่เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น…”
พอพูดถึงตรงนี้ ตาเฒ่าก็ชะงักไปเล็กน้อย
“ช่วยตามหากระบี่ที่อาจารย์ปู่เ้าทำหายกลับมาได้หรือไม่…”
“กระบี่อย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ ตอนที่อาจารย์ปู่เ้าบรรลุขั้นฟ่าเซี่ยง มีครั้งหนึ่งที่เหล่ามารปีศาจบุกหุบเขากระบี่ อาจารย์ปู่เ้ากับเหล่าศิษย์ในสำนักอีกสามคน จึงเดินทางไปกำจัดเหล่ามารพวกนั้น หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือดแล้ว ถึงแม้จะทำให้เหล่ามารปีศาจล่าถอยไปได้ แต่เขากลับทำอาวุธคู่กายหล่นหายไปด้วย แม้ภายหลังจะเข้าไปตามหา แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ…”
“ไม่หรอกกระมัง หากเป็อาวุธคู่กายจริงๆ จะหาไม่เจอได้อย่างไร?” แค่ได้ยิน หลินเฟยก็คิดว่าตาเฒ่ากำลังโกหกตนอยู่เสียแล้ว อย่าว่าแต่ขั้นฟ่าเซี่ยงเลย ต่อให้เป็ขั้นมิ่งหุนก็ตาม เมื่ออาวุธคู่กายถูกผนึกจิติญญาแล้ว จะทำให้มีจิตเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ต่อให้อยู่ห่างเป็พันลี้ แค่ใช้จิตเรียกหา อาวุธคู่กายก็จะมาหาเอง…
‘ในเมื่ออาจารย์ปู่บรรลุขั้นฟ่าเซี่ยง แล้วเพราะเหตุใดจึงหาไม่เจอ?’
“ข้าก็ไม่อาจรู้ได้เหมือนกัน…” ตาเฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็แบมือออก ทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ จากนั้นก็ได้กล่าวเสริมขึ้นอีก
“ตอนที่อาจารย์ปู่เ้าสิ้น ข้าก็เป็แค่ผู้บำเพ็ญจู้จีตัวเล็กๆเท่านั้น จะไปรู้เื่พวกนี้ได้อย่างไรกัน…”
“แล้ว…”
“ข้าให้เ้าไปหา ก็หาไปเถอะ พูดมากอยู่ได้” เมื่อตาเฒ่าถูกซักไซ้เข้ามากๆก็เกิดรำคาญขึ้นมา จึงบอกปัดไม่ตอบอะไรอีก แต่สองตาก็ยังคงงถลึงจ้องไปที่หลินเฟย
“ถ้ายังจะพูดมากอีก ก็เอาจี้หยวนหยางคืนมาเลย!”
“…”
สุดท้ายหลินเฟยจึงจำใจถามหาเบาะแสกระบี่เล่มนั้น ก่อนจะเดินออกจากบ้านหลังน้อยออกไป เมื่อดูเวลาก็เห็นว่าเหลืออีกเพียงสองชั่วยามเท่านั้น งานศิษย์สายตรงก็จะเริ่มขึ้นแล้ว หลินเฟยไม่รอช้า รีบไปตามหาซงหยางที่เพิ่งจะบรรลุขั้นย่างหยวนเพียงคนเดียวในหุบเขา ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินเคียงข้างไปหุบเขาเวิ่นเจี้ยนด้วยกัน
จะว่าไปก็น่าสงสาร ถึงแม้ตาเฒ่าจะมีศิษย์มากมายเกือบสามสิบคน แต่คนที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานศิษย์สายตรง นอกจากเซียนหญิงแห่งหุบเขาอวี้เหิงแล้ว ก็มีเพียงเขากับซงหยางเพียงสองคนเท่านั้น สมควรแล้วที่หลายปีมานี้ หุบเขาอวี้เหิงจะอยู่ลำดับรั้งท้ายมาตลอด…
ที่ยอดหุบเขาเวิ่นเจี้ยนนั้นมีเหล่าผู้าุโทั้งสิบสองคนอยู่กันครบหน้า เบื้องล่างมีศิษย์สายในนับร้อยยืนออกันอย่างเนืองแน่น…
“สือเหอจากหุบเขาเทียนเสวียนปะทะกับต้วนลั่งจากหุบเขาเทียนจี!” เ้าสำนักเฉียนหยวนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ยกหยกหรูอี้ในมือเคาะระฆัง เพื่อประกาศเริ่มการประลองคู่แรก
บัดนี้บนแท่นประลองมีชายหนุ่มสองคนยืนประจันหน้ากันอยู่ คนหนึ่งมีใบหน้าหมดจดสะอาดสะอ้าน อายุประมาณยี่สิบกว่า รูปร่างสูงโปร่ง บนหัวมีกระบี่สามสิบหกเล่มบินวนไปมา…ใช่แล้ว คนผู้นี้ก็คือสือเหอที่เคยพ่ายให้กับหลินเฟยที่เชิงเขาอวี้เหิงนั่นเอง
ส่วนคู่ต่อสู้ของสือเหอก็คือต้วนลั่ง ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งหุบเขาเทียนจี…
จะว่าไปทั้งคู่ก็ถือว่าเป็สหายเก่าทั้งนั้น…
งานศิษย์สายตรงเมื่อสามปีก่อน ทั้งคู่เพิ่งจะบรรลุถึงขั้นย่างหยวน ดังนั้นอาจารย์ของทั้งคู่เองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับพวกเขาเพียงใด และก็ประจวบเหมาะกับที่ทั้งคู่ดันต้องประลองกันเป็คู่แรกเช่นวันนี้
ทว่า…
ไม่มีใครคาดคิดว่าทั้งคู่จะผลัดกันรับผลัดกันรุกอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เคล็ดวิชาเ่าั้ช่างแพรวพราวเหลือเกิน จนผู้ชมต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น แต่ผลสุดท้ายต้วนลั่งที่มีพลังปราณกล้าแกร่ง จึงชนะไปเพราะขีดจำกัดของพลังปราณที่เหนือกว่า
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้