ที่แท้เด็กสาวผู้นั้นก็คือ จางอวิ๋น บุตรสาวของจางซิ่วไฉ แต่เด็กหนุ่มนั้นไม่รู้ว่าเป็ผู้ใด
จางซิ่วไฉเคยบอกกับบ้านสกุลหลี่แล้วว่า คิดจะยกจางอวิ๋นให้หลี่ฝูคัง รอแค่หลี่ฝูคังสอบเข้าสำนักศึกษาได้ ทั้งสองครอบครัวก็จะตกลงหมั้นหมายกัน
แต่ในคืนนี้หลี่ฝูคังกลับได้เห็นกับตาว่า จางอวิ๋นมาเดินเที่ยวงานโคมไฟกับเด็กหนุ่ม ซ้ำยังมีท่าทีใกล้ชิดสนิทกัน
ต่อให้เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็ญาติของจางอวิ๋น แต่ท่าทางที่ทั้งสองแสดงต่อกันก็จะต้องไม่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ เฉกเช่นเด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่คนเป็พี่ชายแท้ๆ ของหลี่หรูอี้ พอนางอายุได้สิบขวบแล้วก็จะไม่ไปหยิกแก้มหรือโอบไหล่นาง
จางอวิ๋นโตกว่าหลี่หรูอี้สามปี ปีนี้จึงอายุสิบสามปีแล้ว
หลี่ฝูคังไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า จางอวิ๋นจะเป็หญิงที่ไม่รักนวลสงวนตัวเช่นนี้ เด็กหนุ่มผู้นั้นคงเป็คนที่จางอวิ๋นชื่นชอบ จางอวิ๋นจึงได้ยินยอมให้เด็กหนุ่มแสดงท่าทีใกล้ชิดเช่นนั้น
หลี่อิงฮว๋าถามด้วยความสนเท่ห์ว่า “นั่น จางอวิ๋นรึ”
หลี่ฝูคังเสียใจยิ่งนัก พลางตอบเสียงเย็นไปว่า “เป็นาง พวกเรากลับกันเถิด”
“ช้าก่อน พวกเราเข้าไปทักทายนางสักหน่อย ให้จางอวิ๋นรู้ว่าพวกเราไม่ใช่คนโง่” หลี่หรูอี้คิดในใจว่า หากจางอวิ๋นเป็สตรีในบ้านเรือนธรรมดาทั่วไปก็แล้วไป แต่นี่นางเป็ถึงบุตรีของจางซิ่วไฉ หากสกุลหลี่จะยกเลิกจางอวิ๋นและไปแต่งกับบ้านอื่น แล้วจะไปอธิบายกับจางซิ่วไฉอย่างไร
บางคราในเื่นี้อาจมีการเข้าใจผิดกัน มีวิธีเดียวก็คือ ต้องพิสูจน์ต่อหน้า
“พี่รอง ไปกัน” หลี่อิงฮว๋าดึงแขนหลี่ฝูคัง
หลี่ฝูคังสะกดเพลิงโทสะในอกเอาไว้แล้วเดินตามน้องชายน้องสาวไป จางอวิ๋นกำลังหัวเราะและพูดคุยอยู่กับเด็กหนุ่มจนไม่ทันเห็นเลยว่า พี่น้องสกุลหลี่มาอยู่ตรงหน้าตนแล้ว
หลี่หรูอี้เอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของหลี่ฝูคัง เป็การบอกให้เขาระงับอารมณ์ไว้ ก่อนจะเอ่ยปากเรียกว่า “จางอวิ๋น”
จางอวิ๋นหันหน้ามาเห็นพี่น้องสกุลหลี่ ซึ่งในนั้นก็มีหลี่ฝูคังอยู่ด้วย นางเห็นหลี่ฝูคังมีแววตาเ็า พลันหันมองเด็กหนุ่มข้างกายตนคราวหนึ่งด้วยท่าทีไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไร จากนั้นในใจของนางก็สับสนวุ่นวายขึ้นมาอย่างประหลาด ลืมพูดจาไปชั่วขณะ
เด็กหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาสวมเสื้อผ้าหรูหราหันมองพี่น้องสกุลหลี่ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ลูกผู้น้อง พวกเขาเป็ผู้ใดหรือ”
จางอวิ๋นกระแอมเบาๆ ก่อนเผยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ลูกผู้พี่เ้าคะ พวกเขาเป็ศิษย์ของท่านพ่อข้าเ้าค่ะ” แล้วหันมาแนะนำเด็กหนุ่มกับคนสกุลหลี่ว่า “นี่คือ ลูกผู้พี่ของข้า”
“ที่แท้เป็… ลูกผู้พี่ของเ้า” หลี่หรูอี้ลากเสียงยาว คิดในใจว่า ใครไม่รู้จะยังนึกว่าเป็พี่ที่รักเสียอีก
เด็กหนุ่มก็คือ หม่าเหลียงฮุย บุตรชายของพี่ชายสามของหม่าซื่อ
หลายวันก่อนหม่าเหลียงฮุยกำลังลาดตระเวนอยู่บนถนนในอำเภอซั่ง บังเอิญเก็บถุงเงินของผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งได้และนำไปส่งคืน ถุงเงินนี้มีความหมายไม่ธรรมดากับผู้สูงศักดิ์ท่านนั้น ของหายแล้วได้คืน เขาจึงขอบใจหม่าเหลียงฮุยอย่างยิ่ง
ผู้สูงศักดิ์เห็นว่าหม่าเหลียงฮุยรูปร่างสูงใหญ่และยังพอเป็วรยุทธ์ด้วย จึงสนับสนุนให้นายอำเภอที่อำเภอซั่งแต่งตั้งเขาเป็หัวหน้ามือปราบ และยังบอกอีกว่า อีกสองปีจะให้หม่าเหลียงฮุยเป็นายทหารในกองทัพ
ปีนี้หม่าเหลียงฮุยอายุสิบเจ็ดปี ก็ได้เป็หัวหน้ามือปราบของอำเภอแล้ว มีหน้ามีตายิ่งนัก ่ปีใหม่เขาได้ยินหม่าซื่อบอกว่า จางซิ่วไฉจะยกจางอวิ๋นให้เป็ภรรยาของครอบครัวชาวนา ทำให้รู้สึกว่า จางอวิ๋นจะไปแต่งกับครอบครัวชาวนาได้อย่างไร จึงไปขอบิดาตนว่าจะแต่งจางอวิ๋นเป็ภรรยา
วันนี้พี่ชายสามของหม่าซื่อพาหม่าเหลียงฮุยมาที่เรือนจางซิ่วไฉก็เพื่อจะขอหมั้นหมายจางอวิ๋น
บนโต๊ะอาหารพี่สามของหม่าซื่อมอบสุราให้จางซิ่วไฉดื่มจนเมามาย พี่ชายสามจึงยังไม่ทันได้บอกกล่าวกับเขา แต่ก็เอ่ยกับหม่าซื่อต่อหน้าจางอวิ๋นพี่น้องแล้ว
หม่าเหลียงฮุยจึงเสนอว่าจะไปชมโคมไฟกับจางอวิ๋นพี่น้อง
หม่าเหลียงฮุยกับจางอวิ๋นพลัดหลงกับจางฉีพี่น้องขณะดูขบวนแห่ ไม่นานจากนั้นก็ได้มาพบกับพี่น้องสกุลหลี่
หม่าเหลียงฮุยไม่ได้มีท่าทียินดียินร้าย กล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็ศิษย์ของท่านอาเขยนี่เอง พวกเ้าเป็คนที่ใด”
หลี่อิงฮว๋าตอบไปอย่างไม่ประจบไม่ถือดีว่า “หมู่บ้านหลี่”
หม่าเหลียงฮุยกวาดสายตาไปยังพี่น้องสกุลหลี่ แล้วหันมามองจางอวิ๋นที่มีสีหน้าค่อนข้างเครียด จึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าเป็หัวหน้ามือปราบมาตั้งนาน ยังไม่เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านหลี่เลย”
หลี่ฝูคังเข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าจ้องมองสายตาถากถางของหม่าเหลียงฮุย “ดูท่าว่าเ้าคงไม่ใช่หัวหน้ามือปราบของอำเภอฉางผิง”
หม่าเหลียงฮุยเอ่ยยิ้มเยาะ กล่าวว่า “หัวหน้ามือปราบเช่นข้าทำงานอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอซั่ง วันหน้าเมื่อพวกเ้ามีเื่เดือดร้อนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลที่อำเภอซั่งก็ไปหาข้าได้”
จางอวิ๋นพูดเบาๆ ว่า “ลูกผู้พี่เ้าคะ สกุลหลี่จะไม่มีเื่ใดหรอกเ้าค่ะ ปีใหม่แท้ๆ อย่าเอ่ยคำไม่เป็มงคลเช่นนี้เลยเ้าค่ะ”
หม่าเหลียงฮุยเข้าไปกุมมือจางอวิ๋นต่อหน้าต่อตาทุกคน ก่อนจะหันไปยิ้มให้พี่น้องสกุลหลี่
หลี่ฝูคังเห็นว่าจางอวิ๋นไม่ได้มีท่าทีจะปัดมือของหม่าเหลียงฮุยออกเลย จึงรู้ได้อย่างชัดเจนว่าจางอวิ๋นตัดสินใจเลือกอย่างไร พริบตานั้นความรู้สึกดีๆ ทั้งหมดที่เคยมีต่อจางอวิ๋นก็ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว
“เขาคงไม่ได้ตั้งใจ พวกเราไม่ถือสาหรอก จางอวิ๋นพวกเรากลับก่อนนะ” พูดจบหลี่หรูอี้ก็หันหลังจากไปทันที และไม่หันกลับมามองจางอวิ๋นอีกแม้แต่ครั้งเดียว
จางอวิ๋นมองพี่น้องสกุลหลี่เดินจากไป ในใจรู้สึกว่างเปล่า คล้ายว่าได้สูญเสียของล้ำค่าไป
เฮ้อ... ตัวนางเองก็จนใจนัก วันนี้มารดาของนางพูดย้ำกับนางอย่างจริงจังว่า ด้วยเื่ปานแดงขนาดใหญ่บนตัวของนาง หนทางเดียวคือ นางต้องแต่งกับหม่าเหลียงฮุย จึงจะไม่ถูกสามีและแม่สามีรังเกียจเอา…
หม่าเหลียงฮุยเอื้อมมือขวาไปโอบไหล่จางอวิ๋นให้ขยับตัวเข้ามา และกระซิบที่หูของนางว่า “ลูกผู้น้อง พวกเขาเป็พวกขาอยู่ในดินโคลน ไหนเลยจะสอบเข้าสำนักศึกษาได้ง่ายๆ ดังคำท่านอาเขยว่าไว้ ความรู้ความสามารถมีเพียงน้อยนิดเท่านี้ ก็คงจะหยุดอยู่แค่ระดับซิ่วไฉเท่านั้น”
“แล้วถ้าเผื่อพวกเขาสอบได้เล่าเ้าคะ”
หม่าเหลียงฮุยพูดอย่างหนักแน่นยิ่งว่า “ไม่มีทาง”
จางอวิ๋นรู้สึกเศร้าใจนัก ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “พวกเรากลับกันเถิดเ้าค่ะ”
ระหว่างทางกลับบ้าน แม้แต่หลี่สือก็ยังมองออกว่าหลี่หรูอี้อารมณ์ไม่ดี จึงถามว่า “หรูอี้ เ้าเป็อันใดไป”
หลี่หรูอี้บอกว่า “ท่านอารอง ข้าแค่รู้สึกหนาวสักหน่อยเท่านั้น อยากรีบกลับเรือนอุ่นๆ ให้เร็วๆ เ้าค่ะ”
นางรู้สึกว่าตัวของนางเย็นจริงๆ แต่พี่ชายรองของนางนั้นคงะเืใจเสียยิ่งกว่า
เมื่อครู่หากไม่ได้เห็นกับตาและเข้าไปพิสูจน์ความจริง นางก็ยากจะเชื่อได้
ไม่รู้ว่าจางซิ่วไฉจะมองเื่นี้เช่นใด แต่สกุลหลี่จะไม่แต่งจางอวิ๋นเด็ดขาด
ทันใดนั้นเสียงของอู่โก่วจื่อก็ดังขึ้นมา “หรูอี้ เ้าคิดว่าเ้าแม่กวนอิมหน้าตาดีหรือไม่”
“ดีสิ” หลี่หรูอี้คิดในใจว่า พอมีขบวนโถกเถกมาเปรียบเทียบแล้วจะหน้าตาไม่ดีได้อย่างไร
อู่โก่วจื่อเอ่ยด้วยท่าทีตื่นเต้นและดีใจว่า “ข้าชอบเ้าแม่กวนอิมแล้ว ทำอย่างไรดี”
หลี่หรูอี้พลันหัวเราะออกมา แต่พอสูดหายใจเอาลมหนาวเข้าไปก็ต้องรีบปิดปากทันที
มีจินตนาการเปี่ยมล้นอยู่ในน้ำเสียงของอู่โก่วจื่อ “ถ้าข้าได้แต่งกับคนที่แสดงเป็เ้าแม่กวนอิมก็คงดี”
ไม่รู้ว่าจู่ๆ หลี่อิงฮว๋าโผล่มาจากที่ใด “อู่โก่วจื่อ เ้าไม่อายหรือไร อยากแต่งกับเ้าแม่กวนอิมเสียด้วย”
อู่โก่วจื่อเอ่ยอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง “หลี่อิงฮว๋า นี่เ้าแอบฟังพวกเราคุยกันรึ!”
ซื่อโก่วจื่อรีบบอกว่า “อิงฮว๋า เมื่อครู่มีเด็กผู้หญิงตั้งหลายคนบอกว่า อยากแต่งกับเ้าแม่กวนอิม เ้าอย่ามาเยาะน้องสาวข้านะ”
หลี่อิงฮว๋าเอ่ยอย่างมีเหตุมีผลว่า “ข้าไม่ได้เยาะนาง ข้าแค่ไม่อยากให้นางคิดเพ้อเจ้อเท่านั้น”
ทุกคนกระเซ้าอู่โก่วจื่อมาตลอดทาง ต่อให้อู่โก่วจื่อหน้าหนาอีกสักปานใดก็ยังอายจนหน้าแดง แต่เพราะเป็ยามค่ำคืนใครๆ จึงมองสีหน้าของนางได้ไม่ชัดเจน
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านก็ไปที่บ้านสกุลสวี่ก่อน หลี่ิ่หานอดกลั้นแทบแย่มาตลอดทาง ตอนนี้จึงตั้งใจพูดเสียงดังว่า “อู่โก่วจื่อ เมื่อครู่ข้าได้ยินว่า ท่านปู่ที่ขายเกี๊ยวน้ำที่ในตำบลบอกว่า เด็กหนุ่มที่แต่งตัวเป็เ้าแม่กวนอิมนั้นแต่งงานไปตั้งนานแล้ว ลูกเขาโตจนวิ่งได้แล้วด้วย”
อู่โก่วจื่ออดที่จะยกเท้าขึ้นมาถีบเ้าคนไม่รู้จักกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายเสียจนกระเด็น พร้อมกับร้องลั่นว่า “หลี่ิ่หาน”
หลี่อิงฮว๋าดึงให้หลี่ิ่หานวิ่งหนีไปข้างหน้า ว่าแล้วก็วิ่งไปะโไปว่า “อู่โก่วจื่อโหดร้ายปานนี้ ข้าว่าคงจะได้แต่งกับหัวหน้าโจรูเา ไปเป็ฮูหยินกันโทสะ[1]ได้เท่านั้นแล้ว”
คู่แฝดวิ่งไปพลางหัวเราะร่าดังลั่น ท่ามกลางเสียงะโด่าทอของอู่โก่วจื่อ แต่ว่าสนุกมากก็ทุกข์มาก ขณะวิ่งไปบนถนนในหมู่บ้านกลับสะดุดก้อนหินจนล้มลงเสียงดังปึก
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ฮูหยินกันโทสะ หมายถึง ภรรยาของหัวหน้าโจรูเา (โจรูเาไม่มีภรรยาจะทำให้มีอารมณ์ฉุนเฉียวและหงุดหงิด เมื่อมีภรรยาแล้วก็จะจิตใจสงบลง จึงเรียกภรรยาของเขาว่า ฮูหยินกันโทสะ)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้