นับั้แ่วันนั้น กู้หลินหลางก็ไม่ได้กลับมารบกวนนางอีกเลย ทำให้อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจยิ่งนัก การได้สลัดพ้นจากคนเสแสร้งจอมปลอมผู้นั้น ช่างเป็เื่ดีเสียเหลือเกิน วันๆ นางจึงมีเวลาเหลือเฟือสำหรับทำงานอื่นๆ
ตอนแรกอันซิ่วเอ๋อร์ยังกังวลอยู่บ้างว่ากู้หลินหลางอาจพาลไปลงที่อันหรงเหอ คอยหาเื่เขาในห้องเรียน นางจึงตั้งใจหาโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเดิม ลองหยั่งเชิงถามไถ่อันหรงเหอถึงเื่ราวต่างๆ เขาก็ตอบเพียงว่าท่านอาจารย์ยังคงปฏิบัติต่อเขาเหมือนเดิมทุกประการ อันซิ่วเอ๋อร์จึงค่อยวางใจลงได้ หันมาทุ่มเทเวลาให้กับงานของตนเอง ไม่ได้ไต่ถามถึงเื่นี้อีก
เมื่อหลายวันก่อนนางเคยรับปากว่าจะทำรองเท้าให้เหลียงซื่อบัดนี้รองเท้าคู่นั้นก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว อันซิ่วเอ๋อร์เลือกใช้ผ้าเนื้อดีที่สุด ปักลายดอกเบญจมาศห้ากลีบอย่างประณีตงดงาม ลงทั้งแรงกายแรงใจไปไม่น้อย
เมื่อทำรองเท้าให้เหลียงซื่อเสร็จแล้ว นางจึงค่อยนำรองเท้าคู่ที่ทำไว้ให้จางเจิ้นอันออกมาได้ ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะเกรงว่าเหลียงซื่อจะเห็นว่านางลำเอียง รักสามีมากกว่าญาติพี่น้อง
อันที่จริง สตรีที่ออกเรือนไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะต้องคอยเอาใจบ้านเดิมถึงเพียงนี้ ทว่าด้วยเหตุที่บ้านทั้งสองอยู่ใกล้กัน และยามปกติครอบครัวเดิมก็คอยช่วยเหลือจุนเจืออยู่ไม่ขาด หากนางไม่ทำสิ่งใดตอบแทนบุญคุณบิดามารดาบ้าง ในใจก็คงรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
เมื่อนำรองเท้าคู่ที่จะให้เหลียงซื่อออกมา นางก็หาผ้าสะอาดผืนหนึ่งมาห่อไว้อย่างดี แล้วจึงนำรองเท้าเด็กคู่น้อยอีกคู่หนึ่ง และเสื้อผ้าสำหรับเด็กอีกสองชุด ห่อรวมกันไว้ ตั้งใจว่าจะหาเวลาเหมาะสมกลับไปเยี่ยมบ้าน เพื่อนำสิ่งของเหล่านี้ไปมอบให้
หลังจากห่อของขวัญสำหรับบ้านเดิมเสร็จและวางไว้ข้างกาย นางจึงนำรองเท้าอีกคู่ที่ทำไว้ให้จางเจิ้นอัน ซึ่งซ่อนไว้ก้นหีบออกมา สิ่งของทั้งหมดนี้นางนำไปเก็บไว้บนเตียง ส่วนตนเองก็เดินออกไปยังลานหลังบ้าน
่นี้อากาศร้อนอบอ้าวขึ้นทุกวัน ชาวนาจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนมาสวมรองเท้าสานที่ทั้งเบาและระบายอากาศได้ดี อันซิ่วเอ๋อร์จึงคิดจะลองสานรองเท้าให้จางเจิ้นอันสักคู่หนึ่ง หากทำได้ดี ไม่แน่ว่านางอาจจะสานรองเท้าไปขายที่ตลาดในเมืองก็เป็ได้
เพียงแต่ นางยังไม่แน่ใจนักว่าตนเองจะทำได้หรือไม่ เพราะวิชาสานรองเท้านี้ นางได้เรียนรู้มาจากในความฝัน... ในฝันนั้น สามีคนที่สองที่นางแต่งงานด้วยมีอาชีพขายรองเท้าสาน เมื่อนางแต่งเข้าไปอยู่บ้านเขา ก็จำต้องเรียนรู้วิชานี้เพื่อช่วยกันทำมาหากิน
บัดนี้ เื่ราวในความฝันนั้นเลือนรางไปมากแล้ว ดังนั้นนางจึงต้องลองลงมือทำดูก่อน เพื่อให้รู้แน่ว่านางทำได้จริงหรือไม่ หากทำไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องไปหาซื้อรองเท้าสานจากในตลาดมาสักคู่เพื่อใช้เป็แบบอย่าง เผื่อว่าจะพอแกะวิธีทำออกมาได้
เมื่อเตรียมฟางข้าวไว้พร้อมแล้ว นางก็เริ่มคัดแยก เด็ดกิ่งก้านและใบที่แข็งกระด้างออก เหลือไว้เพียงแกนฟางข้าวที่อ่อนนุ่ม แล้วจึงเตรียมไว้เป็จำนวนมาก จากนั้นนางก็เริ่มลงมือสาน
เดิมทีนางยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มต้นอย่างไร แต่พอแกนฟางข้าวเ่าั้มาอยู่ตรงหน้า มือของนางก็ขยับไปเองอย่างรวดเร็ว คล่องแคล่วราวกับคุ้นเคย แม้ไม่ต้องใช้ความคิด ก็รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร ราวกับว่านางได้เคยสานรองเท้าเช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
เมื่อเห็นรูปทรงของรองเท้าสานเริ่มปรากฏขึ้นในมือ นางก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตนเองสานมันขึ้นมาได้อย่างไร แต่พอสานรองเท้าอีกข้างจนเสร็จสมบูรณ์ นางก็มั่นใจแล้วว่านางมีฝีมือด้านนี้อยู่จริงๆ
ช่างวิเศษเหลือเกิน! ไม่นึกเลยว่าสิ่งที่เคยเห็นในฝัน จะกลายเป็ความรู้ความสามารถที่นางทำได้จริง หากในฝันครานั้น นางไม่ได้อ่อนแอจนคิดสั้นฆ่าตัวตายไปเสียก่อน ก็คงจะได้เรียนรู้อะไรต่อไม่อะไรมากกว่านี้เป็แน่
บางครั้งนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ความฝันนั้นเป็เื่จริง หรือว่านางเคยมีชีวิตเช่นนั้นมาแล้วจริงๆ แต่ครุ่นคิดอยู่นานเท่าใด นางก็ยังคงปฏิเสธความคิดที่ดูเหลวไหลนี้อยู่ดี เพราะนางรู้สึกว่า... สตรีในความฝันนั้น ไม่ใช่ตัวนาง
นางในยามนี้ ไม่คิดจะตายง่ายๆ หากวันใดที่ชีวิตนี้มันทุกข์ทนจนไม่อาจแบกรับไหวจริงๆ หากนางคิดจะตาย นางก็จะหาทางแก้แค้นคนที่เคยทำร้ายนางให้สาสมเสียก่อน แล้วค่อยตายตามไปก็ยังไม่สาย เื่อื่นยังไม่ต้องพูดถึง อย่างน้อยชายหม้ายขี้เมาที่เคยทุบตีนางในฝันคนนั้น นางก็จะไม่มีวันยอมให้เขามีความสุขแน่
ชายหม้ายผู้นั้นชอบดื่มสุราไม่ใช่หรือ? หากนางคิดจะตายจริงๆ นางก็จะไปหาซื้อสุราดีๆ มามากมาย ทำทีเป็เอาอกเอาใจเขาสักครั้ง รอจนเขามึนเมาหลับใหลไป แม้จะไม่ถึงกับเอาชีวิต แต่ก็จะหาไม้หน้าสามฟาดสั่งสอนให้เจ็บหนักปางตาย แล้วตนเองค่อยหนีไปตายอย่างเงียบๆ… แต่คิดอีกที ทำเช่นนั้นมันจะคุ้มค่าได้อย่างไรกัน? ช่างไม่สมควรเลย!
ดูเหมือนว่าพระโพธิสัตว์คงจะมองอุปนิสัยของนางผิดไป ความจริงแล้ว แม้ภายนอกนางจะดูอ่อนโยน แต่ส่วนลึกในใจกลับมีความแข็งแกร่ง ดื้อรั้น และมีความคิดเป็ของตนเอง ไม่เช่นนั้น นางคงทำตามที่จางเจิ้นอันบอกทุกอย่าง ไม่ใช่เพียงแค่รับปากส่งๆ ไป แต่ลับหลังก็ยังคงทำตามใจตนเองอยู่ดี
จางเจิ้นอันบอกให้นางพักผ่อนอยู่กับบ้านมากๆ อย่ามัวแต่ปักผ้า เดี๋ยวสายตาจะเสีย นางก็รับปากเป็อย่างดี แต่ลับหลัง หากนางอยากปักผ้า นางก็ยังคงปักอยู่ดี
จางเจิ้นอันบอกให้นางอย่าถักพู่ห้อยบ่อยนัก เพราะจะทำให้มือหยาบกร้าน นางก็รับปาก แต่ยามว่างนางก็ยังคงแอบถักพู่ห้อยเล่นอยู่เสมอ
จางเจิ้นอันบอกนางว่าอย่าไปยุ่งกับงานในแปลงผักให้เหนื่อยแรง แต่ทุกวันนางก็ยังคงออกไปดูแลแปลงผักของนางอย่างขะมักเขม้น ใช้จอบเล็กๆ พรวนดิน ่หลังอากาศร้อน นางก็ยังคอยไปรดน้ำให้ผักเขียวชอุ่มอยู่ร่ำไป
นางรู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ก็ดีอยู่แล้ว นางไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอันใด กลับรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า มีเป้าหมาย และมีความสุขยิ่งนัก
ดูสิ! บัดนี้นางได้เรียนรู้วิชาชีพใหม่อีกอย่างแล้ว นางสามารถสอนวิชานี้ให้จางเจิ้นอันได้เช่นกัน หากวันใดฝนตก ออกไปหาปลาไม่ได้ การนั่งสานรองเท้าอยู่ที่บ้านก็เป็ทางเลือกที่ไม่เลวเลย
เพียงแต่... ไม่รู้ว่าเขาจะยอมเรียนหรือไม่ แต่ถึงแม้เขาจะไม่ยอมเรียน นางก็เชื่อว่าตนเองมีวิธีที่จะทำให้เขาเรียนจนได้นั่นแหละ
อันซิ่วเอ๋อร์พลิกดูรองเท้าสานในมืออย่างพินิจพิเคราะห์ ดวงตาเปล่งประกายความภาคภูมิใจ นางตรวจสอบรองเท้าคู่นี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน รู้สึกว่านี่คือรองเท้าสานที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นในละแวกนี้ มันถูกสานขึ้นอย่างประณีตบรรจง ใช้แกนฟางข้าวที่คัดสรรมาแล้วว่าอ่อนนุ่มที่สุด เย็นนี้พอกลับมา จะต้องทำให้เขาประหลาดใจเสียหน่อย
เมื่อนำรองเท้าสานไปเก็บไว้ในบ้านเรียบร้อยแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกตื่นเต้นจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำสิ่งใดต่อ นางรอแทบไม่ไหวที่จะมอบของขวัญสุดพิเศษนี้ให้กับเขา จึงตัดสินใจปิดประตูบ้าน แล้วเดินไปยังริมแม่น้ำเพื่อตามหาเขา
มองออกไปแต่ไกล ก็เห็นเรือลำน้อยของเขาลอยลำอย่างสงบนิ่งอยู่กลางผืนน้ำ ท่ามกลางทัศนียภาพอันเขียวชอุ่มแลดูเงียบสงบ การได้เห็นเขาอยู่บนเรือลำเล็กๆ เช่นนั้น ช่างให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายตาเสียจริง อันซิ่วเอ๋อร์สลัดเื่อื่นๆ ออกจากใจ นางเดินเข้าไปใกล้ริมตลิ่ง ทำมือป้องปาก ตั้งใจจะะโเรียกเขา แต่พลันเหลือบไปเห็นสตรีชาวบ้านบางคนกำลังซักผ้าอยู่ริมน้ำ นางจึงไม่อยากรบกวนความสงบนั้น เลยลดมือลง แล้วยืนรอเขาอยู่บนตลิ่งอย่างเงียบๆ
ขณะนั้น จางเจิ้นอันกำลังเอนกายอยู่บนพื้นเรือ เอามือประสานรองศีรษะไว้ที่ท้ายทอย มองดูท้องฟ้าสีครามและเมฆขาวลอยละล่องอย่างสบายอารมณ์ เขากะเวลาจากสีของท้องฟ้า ตั้งใจว่าจะรออีกสักครู่ แล้วค่อยเก็บแหกลับบ้าน
ทว่า เมื่อเขาเผลอเหลือบสายตาไปยังริมฝั่ง ก็พลันเห็นร่างอันอรชรอ้อนแอ้นของสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ สตรีผู้งามสง่าคนนั้นดูเหมือนจะเห็นว่าเขาหันมา นางจึงโบกมือให้เขาด้วย
ยามปกติ นางไม่อยากจะมาที่ริมแม่น้ำ วันนี้เหตุใดจึงมาที่นี่? หรือว่ามีเื่อันใดเกิดขึ้น?
เมื่อความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว จางเจิ้นอันก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว คว้าไม้พายแล้วรีบพายเรือเข้าหาฝั่งตรงมายังอันซิ่วเอ๋อร์ทันที ความเร็วของเขานั้นน่าทึ่งมาก เพียงชั่วอึดใจเดียว เรือลำน้อยก็เข้าเทียบตลิ่ง
"ซิ่วเอ๋อร์! เ้ามาที่นี่ทำไม? หรือว่าที่บ้านเกิดเื่อันใดขึ้น? หรือว่า... ไอ้สารเลวนั่นกลับไปก่อกวนเ้าอีก?" ทันทีที่เห็นหน้านาง เขาก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนเต็มไปด้วยความกังวล
อันซิ่วเอ๋อร์เม้มปากเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า เมื่อเห็นสีหน้าของเขายังคงวิตก นางจึงเอ่ยขึ้นว่า "ข้าอยู่ที่บ้านคนเดียวรู้สึกเบื่อๆ น่ะเ้าค่ะ เลยออกมาหาท่าน ท่านทำงานเสร็จแล้วหรือยังเ้าคะ?"
"ยังหรอก เหลืออีกแหเดียวก็จะกลับแล้ว" จางเจิ้นอันตอบ พลางยื่นมือออกไปตรงหน้านางอย่างเป็ธรรมชาติ อันซิ่วเอ๋อร์วางมือลงบนฝ่ามือแข็งแรงของเขา เขาออกแรงดึงเพียงเล็กน้อย ร่างของนางก็ก้าวขึ้นไปบนเรือได้อย่างง่ายดาย
"ข้าไปเก็บแหก่อนนะ" จางเจิ้นอันบอก แล้วเริ่มพายเรือมุ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง อันซิ่วเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างกายเขา มองดูท่วงท่าการพายเรือของเขาด้วยความสนใจ จางเจิ้นอันถูกนางจ้องมองเช่นนั้น ก็อดที่จะรู้สึกเก้อเขินขึ้นมาไม่ได้ เขาเบือนหน้าหนีเล็กน้อย มองตรงไปยังเบื้องหน้า แสร้งทำทีเป็สงบนิ่ง พลางพายเรือไปพลางกล่าวกับนางว่า "ดูนั่นสิ แหที่ข้าหว่านไว้อยู่ตรงนั้น"
"อืม" อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับ มองตามทิศที่เขาชี้ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเื่การหาปลานักก็ตาม
"ตรงนั้นมีกอหญ้าใต้น้ำอุดมสมบูรณ์ พวกปลามักจะไปรวมกันอยู่แถวนั้น ข้าเลยหว่านแหดักไว้ รับรองว่าต้องได้ผลแน่นอน" จางเจิ้นอันอธิบายให้นางฟังอีกครั้ง
"ท่านพี่ฉลาดจริงๆ ไม่น่าเล่า ่นี้ถึงจับปลาได้มากมาย" อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยชมอย่างไม่ปิดบัง
จางเจิ้นอันเม้มริมฝีปากเล็กน้อย เหลือบมองนางแวบหนึ่ง อันซิ่วเอ๋อร์มองดูเขาพายเรือแล้วก็รู้สึกสนใจขึ้นมา จึงเอ่ยถามว่า "ข้าลองพายดูบ้างได้หรือไม่เ้าคะ?"
"ได้สิ" จางเจิ้นอันตอบรับ แล้วขยับสลับตำแหน่งให้นาง ปลายนิ้วของเขาบังเอิญััหลังมือของอันซิ่วเอ๋อร์แ่เบา เขารีบชักมือกลับ แล้วเริ่มบอกวิธีการพายเรือให้นางฟัง
"ยืนให้มั่น หลังกับเอวตั้งตรง มองไปข้างหน้า มือจับไม้พายให้แน่น ใช้แรงจากข้อศอก..."
ดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงกลับยากเย็นยิ่งนัก! จางเจิ้นอันพายเรือได้อย่างคล่องแคล่วสบายๆ แต่กว่านางจะจ้วงไม้พายลงน้ำได้แต่ละครั้งช่างทุลักทุเล เรืออยู่ในน้ำ หากไม่พายไปข้างหน้าก็จะลอยถอยหลัง พอมีคลื่นลูกเล็กๆ ซัดมา หัวเรือก็แกว่งไปเล็กน้อย
อันซิ่วเอ๋อร์เสียหลักจนร้องอุทานออกมา โชคดีที่จางเจิ้นอันคว้าตัวนางไว้ได้ทันท่วงที รอจนนางยืนทรงตัวได้มั่นคงแล้ว เขาจึงกล่าวกับนางด้วยสีหน้าจริงจังว่า "พายเรือมันไม่ง่ายเหมือนดูหรอก เ้านั่งพักเฉยๆ เถอะ"
อันซิ่วเอ๋อร์มีสีหน้าเจื่อนๆ ลงเล็กน้อย แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ก็ทำให้นางยิ่งตระหนักว่าสิ่งที่จางเจิ้นอันทำอยู่ทุกวันนั้นไม่ง่ายเลย คนอื่นมองดูเขาพายเรือ อาจคิดว่าเขากำลังเล่นสนุก แต่ใครจะรู้ว่าต้องใช้เรี่ยวแรงมากเพียงใด ไม้พายที่นางต้องออกแรงอย่างยากลำบากกว่าจะแกว่งไกวได้ ในมือของเขากลับดูราวกับของเล่นชิ้นเล็กๆ เบาหวิวเสียเหลือเกิน
ทั้งสองเดินทางถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว จางเจิ้นอันชี้ตำแหน่งที่เขาหว่านแหไว้ ความเร็วของเขานั้นน่าทึ่งมาก เขาไม่ได้ทอดสมอเรือด้วยซ้ำ เพียงแค่พุ่งตัวลงจากเรืออย่างคล่องแคล่ว ดึงแหขึ้นมา ในขณะที่อันซิ่วเอ๋อร์กำลังกังวลว่าเขาจะกลับขึ้นเรือทันหรือไม่ เขาก็พุ่งตัวกลับขึ้นมาบนเรืออีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมองปลาในแห เพียงแค่แขวนตาข่ายไว้ที่ท้ายเรือ แล้วเดินกลับไปที่หัวเรือ คว้าไม้พายมาถือไว้อย่างเป็ธรรมชาติ เพียงชั่วครู่เดียว ทั้งสองก็กลับมาถึงริมตลิ่งอีกครั้ง
นี่เป็ครั้งแรกที่อันซิ่วเอ๋อร์ได้ออกมาหาปลากับจางเจิ้นอัน แม้จะเป็่เวลาสั้นๆ แต่นางก็รู้สึกสนุกสนานและตื่นเต้นไม่น้อย
นางยืนรออยู่บนฝั่ง มองดูจางเจิ้นอันผูกเรือ ดึงแหที่ท้ายเรือขึ้นมา เทปลาทั้งหมดลงในตะกร้า แล้วจึงก้าวขึ้นฝั่ง ทั้งสองเดินเคียงข้างกันกลับบ้าน
ยามนั้น ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงลับทิวเขา แสงสีทองสุดท้ายของวันสาดส่องลงมา ปูพรมสีทองทาบทาลงบนถนนสายเล็กๆ ที่ทอดนำทางกลับบ้าน ต้นไม้ใบหญ้าสองข้างทางต่างอาบไล้ด้วยแสงตะวันอันอ่อนโยน เปล่งประกายงดงามแปลกตา
อันซิ่วเอ๋อร์เดินอยู่ข้างกายจางเจิ้นอัน พลางเงยหน้ามองเขาไปด้วย "เดี๋ยวพอกลับถึงบ้าน ข้ามีของขวัญจะให้ท่านด้วยนะเ้าคะ"
จางเจิ้นอันก้มลงมองนางแวบหนึ่ง ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น ใบหน้าที่เดิมขาวผ่องของนาง บัดนี้กลับดูนวลเนียนเรืองรองด้วยสีเหลืองอ่อนๆ งดงามราวกับเทพธิดาในภาพวาดโบราณ ทำให้หัวใจของเขาพลันเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เขาแสร้งทำเป็ไม่ใส่ใจ หันหน้าไปอีกทางพลางถามว่า "ของขวัญอะไรหรือ?"
"ข้าทำรองเท้าให้ท่านคู่หนึ่งเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางแย้มยิ้ม รอยลักยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากอย่างน่าเอ็นดู
