เสียงกู่ฉินที่ดังและทรงพลังเปรียบเสมือนเงาสะท้อนของดาบที่มีจิติญญาอันแข็งแกร่งดุจทวนทองคำและม้าเหล็ก
ภาพตรงหน้าดูพร่ามัว อวิ๋นจื่อเหมือนจะมองเห็นเสด็จอาซึ่งเป็บิดาผู้ให้กำเนิดของนางและเป็ผู้ครองสนามรบเมื่อยังเยาว์วัย จิติญญาอันมุ่งมั่นและความดุดันของเขาหลอมรวมกลายเป็ความแข็งแกร่งในแบบที่ไม่มีใครเทียบได้
นางรู้สึกประหลาดใจมาก
นอกจากจะประหลาดใจก็ยังสับสนด้วย
ชายผู้นี้เป็ใครกัน?
เขามีความสัมพันธ์แบบใดกับเสด็จอา?
แล้วเขามีความสัมพันธ์แบบใดกับชายที่ปรากฏตัวต่อหน้านางในหอจุ้ยฮวนวันนั้น?
ความสงสัยเหมือนเถาวัลย์ที่เติบโตและคืบคลานอย่างรวดเร็วในใจนาง
หลังจากที่ชายในชุดคลุมสีม่วงเล่นจบ เขาก็กล่าวว่า “เ้าได้ยินชัดเจนหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า
นี่เป็บทกวียาวที่เสด็จแม่เคยสอนนาง ก่อนหน้านั้นนางไม่เคยรู้ว่ามันสามารถทำให้ผู้คนเห็นภาพได้ชัดเจนขนาดนี้
เป็ไปได้หรือไม่ว่ายังมีความหมายอื่นซ่อนอยู่?
ชายในชุดคลุมสีม่วงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เ้าได้ยินแต่ไม่เข้าใจสักนิด น่าเสียดายที่เ้าไม่มีโอกาสได้ยินเขาเล่นเพลงนี้ด้วยหูของเ้าเอง ชีวิตของเขาช่างน่าเวทนาเหลือเกิน”
อวิ๋นจื่อถามเสียงต่ำ “เสด็จอาเป็คนอย่างไร?”
ชายชุดม่วงกล่าวว่า “เขาน่ะหรือ? เขาเป็คนที่น่านับถือมาก แต่ชีวิตอันแสนสั้นของเขาช่างน่าสงสารเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็ความรักหรือครอบครัว เขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างเอื้ออาทรจากใครเลย ไม่สิ ผู้คนมากมายทำให้ชีวิตของเขาต้องยากลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะตกอยู่ในความยากลำบากเพื่อคนคนเดียว”
อวิ๋นจื่อถามว่า “คนคนนั้นคือมารดาของข้าหรือ?”
ชายชุดม่วงพยักหน้า ดวงตาของเขาเศร้าสร้อยมาก “เ้าอาจสงสัยว่าข้าเป็ใคร ข้าบอกได้แค่ว่าบิดามารดาของเ้าเป็ลูกศิษย์ที่ข้าภาคภูมิใจที่สุด”
อวิ๋นจื่อไม่เคยได้ยินเื่นี้จากเสด็จแม่มาก่อน แต่ถึงแม้วันนี้นางจะได้ยินเื่ราวจากปากของชายชุดม่วง นางก็ยังคงมองว่าเสด็จแม่เป็สตรีในห้องหอที่ไม่เคยก้าวเท้าออกจากประตูจวน
บางทีการพบกันระหว่างบิดามารดาของนางอาจกลายเป็ตำนาน
ดวงตาของชายในชุดคลุมสีม่วงทอประกายความเศร้าโศก เขากล่าวว่า “อันที่จริงมารดาของเ้าปลิดชีพตนเอง”
อวิ๋นจื่อไม่เชื่อ นางถามว่า “จริงหรือ?”
ตอนนั้นนางอายุเพียงสิบขวบ
โดยปกติแล้วเด็กสิบขวบจะอยู่รอดในกำแพงวังอันหนาวเหน็บได้อย่างไร? แต่ขณะที่นางกำลังดิ้นรนอยู่ในวัง สิ่งที่ทำให้นางยังคงมีชีวิตรอดคือความรักอันลึกซึ้งที่มารดามีต่อนางและความเกลียดชังอันไม่มีที่สิ้นสุดที่นางมีต่อโจวกุ้ยเฟย
เมื่อก่อนนางอ่อนแอมาก อาจเป็ไปได้ว่าในสายตาของโจวกุ้ยเฟย นางเป็เหมือนมดปลวกที่สามารถเหยียบย่ำให้จมดินได้ทุกเมื่อ
เด็กน้อยอายุเพียงสิบขวบต้องคอยปกป้องน้องชายของตนเอง นางต่อสู้จนกระทั่งกลายเป็องค์หญิงเหวินฮวาที่พอจะมีอำนาจต่อรองขึ้นมาบ้าง นางจำเหตุการณ์ทุกอย่างได้เป็อย่างดี
อวิ๋นจื่อจำได้ว่าตอนที่นางยังเด็ก นางต้องเผชิญกับความยากลำบากและต้องกล้ำกลืนความโกรธเคืองของตนเองเอาไว้
ที่พึ่งพิงของนางคือเสด็จแม่กับไทเฮาผู้เป็ย่าที่ไม่ใคร่สนใจในเื่ของวังหลังนัก นอกจากนี้ การเป็ที่โปรดปรานของเสด็จพ่อย่อมทำให้ชีวิตของนางราบรื่นไม่น้อย
เมื่อเวลาผ่านไปโจวกุ้ยเฟยก็ไม่ใช่ภัยคุกคามของนางอีกต่อไป แม้โจวกุ้ยเฟยจะเป็ผู้ปกครองวังหลัง แต่นางไม่สามารถใช้อำนาจของตนเองต่อหน้าท้องพระโรง เก้าในสิบของผู้คนในวังหลวงล้วนให้ความสำคัญกับองค์หญิงใหญ่ที่ฮ่องเต้โปรดปราน ไม่ใช่โจวกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์
อวิ๋นจื่อจำได้ว่าค่ำคืนนั้นเป็ค่ำคืนอันมืดมิด สายฝนกระหน่ำและฟ้าร้องดังลั่น นางร้องไห้จนลืมวันลืมคืน สิ่งที่นางได้ยินตลอดทั้งค่ำคืนอันยาวนานนั้นไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากเสียงลมที่ดังกึกก้อง
นางจำได้ว่านั่นเป็ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิ
โจวกุ้ยเฟยตรงมาที่ตำหนักเหวินฮวาท่ามกลางสายฝน นางพาผู้ติดตามมาเป็จำนวนมาก ขณะที่นางกำลังส่งเสียงสาปแช่งที่หน้าตำหนักเหวินฮวา อวิ๋นจื่อกลับรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอและทำอะไรไม่ถูก
ไม่นานข่าวนี้ก็ไปถึงหูเสด็จพ่อและในไม่ช้าโจวกุ้ยเฟยก็ถูกลดขั้น
ในสายตาของเสด็จพ่อ อวิ๋นจื่อคือคนที่เ็ปที่สุด เพราะนางคือบุตรีของเขา เพราะนางคือทายาทของเขา
นี่อาจเรียกได้ว่าความรักในครอบครัวหรือไม่ก็ความเห็นอกเห็นใจ
เสด็จพ่อรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของนางหรือไม่?
เสด็จพ่อไม่สามารถให้ความกระจ่างแก่นางได้ เพราะภาพสุดท้ายของเสด็จพ่อที่นางจำได้คือตอนนอนจมกองเืในวันนั้น
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว อวิ๋นจื่อก็รู้สึกเ็ป
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าโจวกุ้ยเฟยเป็ผู้สังหารเสด็จแม่ เพราะก่อนจะสิ้นใจ คำพูดของเสด็จแม่ดูจะพุ่งเป้าไปที่โจวกุ้ยเฟย
อย่างไรก็ตาม ชายผู้นี้กลับบอกว่าตนเองมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเสด็จอา ทันใดนั้นอวิ๋นจื่อก็ตระหนักว่าบางทีที่ผ่านมานางอาจเกลียดผิดคน
ดูเหมือนเสด็จแม่จะบอกใบ้บางอย่างกับนาง
ตอนนั้นท่าทีของเสด็จแม่ดูไม่เหมือนผู้ที่คิดจะปลิดชีพตนเอง
‘อันที่จริงถ้าดูจากความทุกข์ทรมานในใจของข้า ข้าสามารถปลิดชีพตนเองได้ั้แ่ตอนที่ข้ากำลังเดินทางมาเมืองหยงโจว แต่เหตุใดข้าถึงไม่ทำเช่นนั้น? เห็นได้ชัดว่าข้าเกลียดตนเองจนสุดหัวใจ แต่ข้าก็เลือกที่จะวิ่งหนีและไม่มีวันปลิดชีพตนเองเป็อันขาด’
‘มีสิ่งใดที่ข้ามองข้ามไปหรือไม่?’
อวิ๋นจื่อคิดไม่ออกจริงๆ
นางไม่รู้ว่าเหตุใดเสด็จแม่ถึงปลิดชีพตนเอง
ทันใดนั้นอวิ๋นจื่อก็รู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของเสด็จแม่ นางคิดว่า ‘เหตุใดเสด็จแม่ถึงได้ใจร้ายเพียงนี้? ท่านทอดทิ้งข้ากับน้องชายได้อย่างไร? เหตุใดท่านถึงเลือกที่จะทำเช่นนั้น?’
ในตอนนั้นเสด็จแม่มีพร้อมทั้งอำนาจและตำแหน่งที่มั่นคง รวมถึงยังมีโอรสและพระธิดาที่น่ารัก ต่อให้โจวกุ้ยเฟยเป็ที่โปรดปราน แต่นางก็เป็เพียงสนมผู้สูงศักดิ์ที่ไม่มีทายาท
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เสด็จอาสิ้นพระชนม์อย่างกระทันหันและหลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งปีเสด็จแม่ก็จากไป
เป็ไปได้หรือไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับทั้งสองคน?
ดวงตาที่ทอแววงุนงงของอวิ๋นจื่อสบเข้ากับดวงตาของชายชุดม่วง แต่ชายชุดม่วงก็ไม่ได้อธิบายสิ่งใดอีก เขากล่าวเพียงว่า
“อย่าโทษมารดาของเ้าเลย นางต้องทนทุกข์ทรมานมาก การพบเจอกันทีู่เาขงถงคงเป็การอำลาครั้งสุดท้ายระหว่างข้ากับนาง อันที่จริงในหมู่พวกเราไม่มีใครรู้ว่าเื่ราวจะเป็เช่นนี้ เอาล่ะ ข้าจะเล่นเพลงโปรดของมารดาเ้าให้ฟัง”
เสียงกู่ฉินดังขึ้นอีกครั้ง
“เด็กสาวผู้หนึ่งที่ไว้ผมหน้าม้านั่งพับดอกไม้เล่นหน้าประตู
ส่วนเด็กหนุ่มขี่ม้าไม้ไผ่วิ่งไปตามรั้วที่กั้นรอบบ่อน้ำพลางโยนลูกบ๊วยสีเขียวใส่เด็กสาว
ใช้เวลาด้วยกันในฉางกันหลี่[1] เด็กน้อยทั้งสองมีความสุข
เมื่อสิบสี่ขวบก็กลายเป็ภรรยาของเขา
ครั้งหนึ่งเขาหันไปที่กำแพงและร้องะโเป็พันครั้ง แต่ข้าก็ไม่หันกลับมามอง
เมื่ออายุได้สิบห้า ข้าก็ปรารถนาจะอยู่เคียงข้างเขาจนกว่าจะกลายเป็ฝุ่นและขี้เถ้า
ข้าจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างสามีด้วยความแน่วแน่จนกว่าจะตาย
เมื่ออายุสิบหก ชายหนุ่มออกเดินทางไกลไปยังเหยียนอวี้ตุยในชิวถัง[2]
แต่ในเดือนห้าน้ำขึ้นไม่อาจข้ามผ่านได้ เขาได้ยินเสียงฝูงลิงเรียกหากันจากสองฟากฝั่ง
บริเวณหน้าประตูมีรอยเท้าเขาที่ก้าวออกจากบ้าน มันถูกปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำสีเขียว
ตะไคร่น้ำหนาเกิดกว่าจะขัดออก เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้จำนวนมากก็จะร่วงหล่นทับถมตะไคร่น้ำ
ในเดือนแปดปีกผีเสื้อเปลี่ยนเป็สีเหลือง พวกมันโบยบินเหนือต้นหญ้าในสวนทางทิศตะวันตก
ภาพที่เห็นทำให้หัวใจของข้าเ็ป และข้าก็รู้สึกเศร้าใจเมื่อความงามของข้าค่อยๆ เลือนหาย
ข้าหวังว่าเขาจะส่งข่าวมาบ้าง
เราอาจได้พบกันที่ฉางเฟิงซา[3]
หวนนึกถึงเื่ราวในอดีต ข้าไม่เคยต้องลม ฝุ่น และเม็ดทราย
แต่เมื่อแต่งงานกับเขาผู้เป็พ่อค้า ข้ากลับต้องยืนรอคอยเขาทั้งวันบนผืนทรายริมฝั่งแม่น้ำ
ลมใต้ในเดือนห้าคงใกล้พัดพามาถึงปาหลิง[4]
ในเดือนแปดลมตะวันตกคงพัดพามาตามแม่น้ำแยงซี
ได้พบหน้าเพียงชั่วครู่ แต่กลับแยกทางกันเป็เวลานาน นี่ทำให้ข้าโศกเศร้า
เมื่อใดจะถึงเซียงถาน[5] ยามหลับใหลข้าฝันว่าได้ข้ามฝั่งไปกับท่าน
ลมกรรโชกแรงต้นไม้หักโค่น ข้ามองไปที่แม่น้ำกว้างใหญ่ผ่านม่านหมอก
เห็นเพียงความมืดมิดอันไร้ขอบเขต ข้าสงสัยว่าสามีของข้าอยู่ที่ใด?
เขาคงล่องอยู่กลางคงคา
เมื่อตกค่ำก็ค้างแรม แต่ไม่ยอมล่องมาทางทิศตะวันออกเสียที
ข้าอยากขี่ก้อนเมฆไปทางทิศตะวันออกของเมืองหลันจู
เป็ดน้ำยวนยางลอยเหนือสระมรกต
ข้าสงสารตนเองยิ่งนัก เฝ้ารอคอยจนลูกท้อกลายเป็สีแดง
ในฐานะภรรยาของพ่อค้า ข้าย่อมกังวลเื่น้ำเชี่ยวและทิศทางลม”
เพลงนี้นับว่าเรียบง่ายมาก อีกทั้งท่วงทำนองยังฟังดูใสบริสุทธิ์
เสด็จแม่ในวัยเยาว์ช่างดูใสซื่อและน่ารัก
------------------------
[1] ฉางกันหลี่ตั้งอยู่ในเขตฉินฮ่วยของเมืองหนานจิง เป็ชื่อสถานที่อันโด่งดังในจีนโบราณและเป็สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาเรียกว่า “ตรอกพระพุทธเ้า” มีบทกวีและเพลงมากมายที่บรรยายถึงชีวิต ความรัก และขนบธรรมเนียมในฉางกันหลี่
[2] เหยียนอวี้ตุยในชิวถัง กลางน้ำมีหินก้อนใหญ่ซึ่งแบ่งผืนน้ำออกเป็สองฝั่ง ทำให้ลำธารแคบลงและน้ำไหลเชี่ยว นี่ก่อให้เกิดโค้งแม่น้ำที่เชิงเมืองไป่ตี้ซึ่งกลายเป็ที่หลบภัยตามธรรมชาติ สถานที่แห่งนี้เป็สัญลักษณ์ของความลังเล ว่ากันว่าเรือมักไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะแล่นไปตามสายน้ำฝั่งใด
[3] ฉางเฟิงชา เป็ชื่อสถานที่ริมฝั่งแม่น้ำแยงซีในเมืองอันชิงมณฑลอานฮุยในปัจจุบัน อยู่ห่างจากหนานจิงประมาณ 700 ไมล์
[4] ปาหลิง เป็ชื่อมณฑลหนึ่งในจีนโบราณ
[5] เซียงถาน เป็ชื่อเมืองที่ตั้งอยู่ตอนกลางของแม่น้ำแยงซี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้