"พี่เขย ข้าได้ยินข่าวลือมาว่ามีแพทย์จากแผ่นดินใหญ่มาปรากฏตัวขึ้นในเมืองเทียนหยุนของพวกเรา ท่านสนใจจะไปตามหาแพทย์ท่านนั้นดูหรือไม่? บางทีเขาอาจจะช่วยท่านจากอาการที่ท่านเป็อยู่ตอนนี้ก็เป็ได้" ในระหว่างที่ทั้งสองร่างกำลังเดินออกจากตระกูลฉินไปโดยไม่มีสิ่งใดปิดกั้น ฉินเหวินเทียนก็เอ่ยบางอย่างที่เขาได้ยินมาแว่วๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมุมปากของไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะกระตุกอย่างหนัก
'ฉินฟงมันรีบเร่งอะไรถึงเพียงนั้น? มันอยากจะให้ข้าตกตายไปรวดเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ?'
จากนั้นไป๋เฉินเพียงแค่กระแอมเบาๆพลางแสร้งถาม "แล้วเ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าแพทย์จากแผ่นดินใหญ่ผู้นั้นอยู่ที่ใด?"
ฉินเหวินเทียนส่ายศีรษะอย่างไม่รู้ความ "ข้ายังไม่ทราบข้อมูลตำแหน่งที่แน่ชัด ข้าได้ยินเพียงแค่ข่าวลือที่พูดถึงภายในตระกูลเท่านั้น ตอนนี้ท่านพ่อกำลังตรวจสอบอยู่ว่าข่าวลือนั้นมีที่มาจากที่ใด และข่าวลือนั้นเป็เื่จริงหรือเื่เท็จกันแน่"
"โอ้? ลุงฉินช่างเป็คนที่รอบคอบเช่นเคย" ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะชมเชย ในขณะเดินตรงไปยังใจกลางของเมืองเทียนหยุนอย่างไม่รีบร้อน
.
.
.
ไป๋เฉินเดินทางเท้าริมทางสัญจรในขณะสายตาทอดมองไปรอบๆราวกับกำลังสังเกตการณ์ รอยยิ้มจางๆฉาบอยู่บนใบหน้าราวกับว่าเขาเป็ชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่เดินท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิ
หลังจากเดินเท้าไปได้ชั่วครู่ไป๋เฉินก็หยุดฝีเท้าอย่างกะทันหัน ตรงหน้าปรากฏให้เห็นอาคารสองชั้นที่ดูงดงามตกแต่งประดับประดาไปด้วยรูปสลักของหมู่เมฆ
สถานที่แห่งนี้คือสมาคมช่างหลอมศาสตราวุธที่ขึ้นชื่อในด้านของคุณภาพและยอดเยี่ยมในเมืองเทียนหยุนที่มีนามว่าศาลาเมฆินทร์
ศาลาเมฆินทร์ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองเทียนหยุนซ้ำยังเป็จุดศูนย์รวมของสิ่งประดิษฐ์หรือศาสตราวุธที่มีค่าทุกประเภท เพราะฉะนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วกลุ่มพ่อค้าหรือเศรษฐีหลายๆคนต่างก็เดินทางมาเพื่อจับจ่ายใช้สอยโดยที่ไม่สนใจเกี่ยวกับราคา แม้นว่าราคาของศาลาเมฆินทร์นั้นมีมูลค่าสูงกว่าร้านขายอาวุธอื่นๆเกือบจะสามเท่าก็ตามที
"เอาล่ะ เข้าไปดูกันเถอะ" ไป๋เฉินเดินเข้าไปในศาลาภายใต้สายตาดูถูกเหยียดหยามจากคนรอบกาย แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าไป๋เฉินคือคนไร้ประโยชน์ในตระกูลฉิน ซ้ำยังเป็คู่หมั้นกับหงส์ฟ้าอย่างฉินเยว่ฉานอีกต่างหาก แน่นอนว่าต้องมีชายหนุ่มมากมายที่อิจฉาตาร้อนและริษยาเขาเป็ธรรมดา
"โอ๊ะโอ๊ะโอ ดูซิว่าใครมา...ที่แท้ก็นายน้อยไป๋ผู้ตกอับนี่เอง" ยังไม่ทันที่ไป๋เฉินจะได้ข้ามผ่านธรณีประตูไป เสียงเยาะเย้ยของชายหนุ่มกลับดังขึ้นไม่ไกลจากด้านในศาลา
เมื่อหันหน้าไปไป๋เฉินก็เจอะเจอกับชายหนุ่มในอาภรณ์สีม่วงแลดูมีสง่าราศี หากจะมองดูให้ดีที่ด้านหลังของเขามีคำว่าหยางสลักไว้
ไป๋เฉินเหลือบมองด้วยหางตาแค่ชั่วครู่ก่อนจะเมินเฉยและเดินผ่านไปโดยไม่ให้ค่า
'เ้าพวกนี้เป็ได้เพียงแค่ตัวละครกีกี้อันธพาลตามท้องถนนเฉกเช่นนิยายกำลังภายในทั่วๆไป แน่นอนว่าข้าที่เป็ตัวเอกต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้เป็ธรรมดา'
'เฮ้อ~ เกิดมาเป็พระเอกก็ลำบากแท้'
"เ้า!" ชายหนุ่มร่างสีม่วงอดไม่ได้ที่จะเดือดดาลเมื่อััได้ถึงสายตาเหยียดหยามของไป๋เฉิน
ร่างของมันพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าปิดกั้นเส้นทางของไป๋เฉินด้วยรอยยิ้มลับลมคมในและย่างกรายเข้าใกล้ด้วยฝีเท้าเชื่องช้า "ไม่คาดคิดว่านายน้อยไป๋จะมีเงินมากมายที่จะเข้ามาในศาลาเมฆินทร์ได้ ดูเหมือนว่านายน้อยไป๋คงจะร่ำรวยไม่น้อย"
แม้นว่าไป๋เฉินจะเป็คู่หมั้นและเป็บุตรบุญธรรมของตระกูลฉินก็จริง แต่ทว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็หนึ่งในนายน้อยของตระกูลหยางที่ซึ่งเป็ตระกูลลำดับที่สองของเมืองเทียนหยุน
แน่นอนว่าหากเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเยาว์ จะไม่มีผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องได้ และหากไป๋เฉินต้องประสบพบเจอกับปัญหามีเพียงแต่ต้องแก้ไขด้วยตัวเองเท่านั้น
ฉินเหวินเทียนมองชายหนุ่มด้วยสายตาที่ไม่เป็มิตรและเดินขึ้นมาปิดกั้นไป๋เฉินไว้ราวกับว่ากำลังปกป้อง "หยางเหมิน เ้า้าอะไร?"
ฉินเหวินเทียนรู้ดีว่าพี่เขยของเขานั้นเคยแข็งแกร่งมาก่อน แต่ทว่าตอนนี่พี่เขยของเขาไม่ต่างจากคนธรรมดาสามัญชนที่ไร้การฝึกฝน แน่นอนว่าเขาต้องออกตัวปกป้องไป๋เฉินเป็ธรรมดา
"หืม? ไป๋เฉินเก่งแต่หลบซ่อนอยู่ข้างหลังผู้อื่นหรือไม่? ช่างน่าเวทนาเสียเหลือเกิน" หยางเหมินส่ายศีรษะพลางถอนหายใจราวกับว่ากำลังสงสาร หากแต่ประโยคของมันกลับแฝงไปด้วยความดูถูกอย่างชัดเจน
ฉินเหวินเทียนแสดงแววตาเ็า แต่ทว่าไป๋เฉินก็ได้ห้ามเขาเอาไว้พลางชายตามองหยางเหมินด้วยสายตาไม่แยแส "สุนัขที่ดีจะไม่ขวางทาง ไสหัวไป!"
"เ้าพูดว่าอะไร!" หยางเหมินแสดงสีหน้าเดือดดาล นิ้วที่สั่นเทาชี้หน้าไป๋เฉินด้วยด้วยความโกรธ
แต่ก่อนที่ไป๋เฉินจะได้กล่าวต่อ สายตาของหยางเหมินกลับสบเข้ากับกระบี่โบราณข้างเอว มันสามารถบ่งบอกได้ว่ากระบี่เล่มนี้ต้องมีมูลค่าและคุณค่าที่สูงยิ่งกว่าที่มันเคยพบเจอมาเสียอีก "โอ้? เ้ามีของดีเลยนี่หว่า..."
เมื่อรับรู้ถึงสายตาวิตถารมองลงมายัง่ล่าง ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะขนลุกกอดร่างของเขาไว้ราวกำลังกับหนาวสั่น "ข้าไม่มีรสนิยมชมชอบไม้ป่าเดียวกัน หากเ้า้าทำเื่อย่างว่าก็ให้ไปที่ย่านบุปผาซะ"
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า"
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า"
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า"
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า"
เมื่อได้ยินประโยคนั้นชายหนุ่มและหญิงสาวอีกหลายคนต่างก็มิอาจอั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้อีกต่อไป
ไม่ว่าจะมองอย่างไรการแสดงออกของหยางเหมินนั้นเป็อย่างที่ไป๋เฉินกล่าวทุกประการ
เมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าใจผิดใบหน้าของหยางเหมินบิดเบี้ยวจนแทบจะเป็สีเขียว "ไป๋เฉิน! อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า! ส่งมอบกระบี่เล่มนั้นมาให้ข้าซะแล้วข้าจะปล่อยเ้าไป!"
ในที่สุดมันก็เปิดเผยวัตถุประสงค์ที่แท้จริง
ไป๋เฉินเพียงเผยรอยยิ้มเลศนัยที่มุมปาก "นายน้อยหยาง้ากระบี่ของข้างั้นหรือ?"
"โอ้? เ้าช่างแสนรู้ดีจริงๆ" หยางเหมินลูบมือด้วยแววตาโลภมาก
ไป๋เฉินอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะอย่างเห็นอกเห็นใจ "ไม่คาดคิดว่าบุคคลที่มีฐานะร่ำรวยเช่นเ้ายังต้องมาขอทานกระบี่ของผู้อื่นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าตระกูลหยางจะเป็เพียงขอทานที่อ้างตนว่าเป็ตระกูลอันดับสองเท่านั้น"
"เฮ้อ~ช่างน่าเห็นอกเห็นใจเสียนี่กระไร"
"หุบปาก! ข้าไม่มีเวลามาเสียกับเ้า! ส่งมอบกระบี่มาหากเ้าไม่อยากเจ็บตัว!" หยางเหมินกล่าวด้วยสีหน้าชั่วร้ายสุดขีด ในขณะเดียวกันมันกวักมือเรียกชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังอีกสองคนมาปิดล้อมเส้นทางไว้
เมื่อััได้ว่าทั้งสามมิได้คิดจะตนปล่อยผ่านไป รูม่านตาสีโลหิตของไป๋เฉินส่องประกายความเฉียบแหลมในชั่วครู่ "ข้าเตือนเ้าแล้ว..."
ไม่ทันจะได้สิ้นสุดคำพูด ร่างสีขาวอันหล่อเหลาของไป๋เฉินกลับหายไปในชั่วพริบตาด้วยความเร็วเหนือแสงราวกับสายฟ้าไร้รูปร่าง
พรึ่บ!
ไป๋เฉินปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหยางเหมินและชายหนุ่มทั้งสองโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ข้อมือผอมเพรียวทั้งสองข้างตวัดนิ้วกดไปต้นคอทั้งสามด้วยความเร็วที่ยากจะมองตามทัน
พรึบ
พรึบ
พรึบ
ด้วยความเร็วที่ปราดเปรียว ร่างทั้งสามที่กำลังปิดกั้นเส้นทางก็ล้มลงหมดสติไปโดยไม่ทันจะได้ตอบโต้
และแน่นอนว่าตำแหน่งที่ไป๋เฉินจู่โจมนั้นเป็จุดการไหลเวียนโลหิตหลักเพื่อหยุดการทำงานจึงส่งผลให้ไม่มีเืไปเลี้ยงสมองเพียงพอ ผลสุดท้ายผู้ที่โดนกดจุดนั้นก็หมดสติไปโดยปริยาย
ทว่ายังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น เมื่อร่างของพวกมันกำลังจะทิ้งตัวลง ไป๋เฉินยกขาขึ้นมาหมุนตัวกลางอากาศ เตะจระเข้ฟาดหางใส่พวกมันทั้งสามคนกระดอนจนไปกองอยู่หน้าศาลาอย่างไม่สนใจสายตาของผู้ใด
"โครม!"
ร่างของทั้งสามนอนหมอบคว่ำหน้าคะมำโดยหมดสติไปอย่างไม่เป็ท่า
"อ่อนแอเช่นนี้ยังกล้าจะมาอวดเบ่ง ช่างไม่สำเหนียกตน" ไป๋เฉินสะบัดฝุ่นบางเบาราวกับเพิ่งกลับมาจากสวนหลังบ้าน และเดินเข้าสู่ศาลาเมฆินทร์ด้วยมือที่ไพล่หลังอย่างสุภาพ
ทุกผู้คนที่มองอยู่ต่างก็อ้าปากค้างกับสิ่งที่ไป๋เฉินแสดงออกมา ฝูงชนต่างกระซิบกระซาบกันไปต่างๆนานา
"ไป๋เฉินมันเป็ขยะไร้ค่ามิใช่หรอกหรือ? เหตุใดมันจึงล้มหยางเหมินที่มีระดับการบำเพ็ญปราณปฐีลงได้เล่า?"
"ไม่น่าเชื่อ! แม้นว่ามันจะเป็คนไร้ประโยชน์แต่การเคลื่อนไหวของมันกลับเฉียบแหลมและเฉียบคมยิ่ง ชนิดที่ว่าหยางเหมินไม่มีโอกาสเปล่งเสียงกรีดร้องเสียด้วยซ้ำ"
"ดูเหมือนว่าขยะอย่างที่ใครหลายๆคนร่ำลือกันคงจะเป็ข่าวเท็จที่แพร่ต่อๆกันมาเท่านั้น"
แน่นอนว่าไป๋เฉินจะไม่ใช้ปราณในการต่อสู้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เนื่องจากตอนนี้จำต้องระมัดระวังในทุกย่างก้าวเพื่อมิให้เป็ที่สงสัยต่อฉินฟงมากจนเกินไป
ฉะนั้นเพียงแค่ใช้วิทยายุทธ์การเคลื่อนไหวก็น่าจะเพียงพอต่อการที่ไม่ให้หยางเหมินมายุ่งกับตนอีกต่อไป
ั์ตาฉินเหวินเทียนที่ส่องประกายอย่างเคารพเลื่อมใส เขาวิ่งตามไป๋เฉินไปอย่างกระชั้นชิด "พี่เขย ท่านทำเช่นนั้นได้อย่างไร? กระบวนท่าเมื่อครู่เป็กระบวนท่าที่ข้าไม่เคยพบเจอมาก่อน"
"เ้า้าจะเรียนรู้งั้นหรือ...ไว้ว่างๆข้าจะสอนให้" ไป๋เฉินลูบหัวของฉินเหวินเทียนอย่างเบามือก่อนจะเดินจากไปภายในห้องโถงของศาลาเมฆินทร์โดยปล่อยให้หยางเหมินและอีกสองคนนอนกองอยู่หน้าศาลาเช่นนั้นต่อไป
.
.
.