การได้รับของขวัญติดต่อกันจากคนทั้งสี่ทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกดี และในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาหมดความสนใจที่จะเข้าร่วมการประมูลอีกต่อไป เขาสวมสนับมือยุวราช และเนื่องจากสนับมือยุวราชเป็สมบัติวิเศษ ดังนั้นมันจึงสามารถปรับขนาดของตัวเองได้ และยังมีน้ำหนักเบาเหมาะแก่การสวมใส่โดยไม่รู้สึกอึดอัดอีกด้วย
หลัวเลี่ยผูกเชือกของผ้าคลุมวีรชนไว้รอบคอ ชายผ้าคลุมสีขาวขนาดใหญ่ที่โบกสะบัดปลิวไปตามสายลมทำให้คนที่มองอยู่รู้สึกว่าหลัวเลี่ยช่างสง่างามเหลือเกิน
ส่วนฝักและด้ามจับของกระบี่องค์ชายนั้นล้วนมีสีขาวราวกับหยกหิมะ ตรงปลายฝังด้วยอัญมณีสีใส ซึ่งเปล่งแสงออกมาจางๆ ดูสูงส่ง เมื่อเขานำมันมาไว้ที่ข้างเอวก็ทำให้เขาดูดีขึ้นมาก
และอาชาเดือนดารัญก็เป็ม้าที่มีชื่อเสียง ทั้งบริสุทธิ์และไร้ที่ติ
หลัวเลี่ยปีนขึ้นไปนั่งบนหลังม้าและยื่นมือไปหาเสวี่ยปิงหนิง
เมื่อทุกคนมองที่หลัวเลี่ยซึ่งใส่สมบัติทุกชิ้นครบแล้ว ก็ต้องบอกเลยว่าหลัวเลี่ยที่ไม่เคยแต่งตัวนั้นเปล่งประกายด้วยสมบัติทั้งสี่นี้โดยแท้จริง แม้แต่เสวี่ยปิงหนิงก็ตาพร่าและยื่นมือขาวเรียบเนียนราวกับหยกของนางออกมาทันที
พรึ่บ!
จากนั้นเสวี่ยปิงหนิงก็ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าด้านหน้าหลัวเลี่ย แผ่นหลังของนางพิงอกแกร่งของหลัวเลี่ยอยู่
“ขออภัยที่ข้ารบกวนการประมูล”
“ทุกท่าน ข้าขอลาก่อน”
หลัวเลี่ยหัวเราะพร้อมกับเตะม้าเบาๆ ให้ออกเดินไป
อาชาเดือนดารัญตัวนี้แม้ไม่ได้รับการฝึกฝนมาก่อน แต่มันก็เข้าใจในทันที มันหายใจฟืดฟาดเสียงดังออกมาจากทางจมูก จากนั้นก็สะบัดหางเล็กน้อย แล้วะโเบาๆ บินออกจากเรือัมหาสมุทรคำรนไปไกลกว่าสามสิบจั้ง
อาชาเดือนดารัญมีความสามารถที่แสนพิเศษ นั่นคือการบินขึ้นไปบนท้องฟ้าหรือว่ายลงไปในทะเล
เมื่อออกเดินทางแล้ว หลัวเลี่ยก็หันหน้ากลับไปมองพร้อมกับโบกมือให้ชางจื่อเฟิงและต้วนเหยียนเจี๋ย แล้วเขาก็ใช้ขาทั้งสองข้างเตะเบาๆ ไปที่ตัวม้า เพื่อให้ม้าออกตัวบินขึ้นไปในอากาศเร็วขึ้น ทิ้งไว้เพียงร่องรอยเป็เส้นสีขาวของปุยเมฆเท่านั้น
กว่าชางจื่อเฟิงจะรู้สึกตัว หลัวเลี่ยและเสวี่ยปิงหนิงก็หายลับไปอย่างรวดเร็วแล้ว
ชางจื่อเฟิงและต้วนเหยียนเจี๋ยทำได้เพียงตบไปที่ราวเรือด้วยความกรุ่นโกรธ
“เหลยเจิ้นจื่อ หยางเสี้ยวเสีย ข่งเหรินเจี๋ย เหวินทิงอวี่ พวกเ้าทั้งสี่จะทำเกินไปแล้ว” ต้วนเหยียนเจี๋ยพูดด้วยความโกรธ
“เยาวชนทุกคนใต้หล้านี้ล้วนอยากประลองกับหลัวเลี่ย แต่สี่คนนั้นกลับช่วยหลัวเลี่ยเพื่อแสดงความใจกว้างของตัวเองหรือ? ช่างน่าขันเสียจริง เช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเ้ากลายเป็ตัวตลกเอง หลัวเลี่ยอย่าว่าแต่จะหาลูกปัดูเา แม่น้ำ สายลม และสายฝนเลย แม้แต่ชีวิตข้าก็จะทำให้เ้าไม่ได้อยู่ต่อ” ชางจื่อเฟิงกล่าวอย่างมาดร้าย “สหายต้วน เ้ายินดีที่จะแบ่งปันข้อมูลของเ้ากับข้าหรือไม่”
ต้วนเหยียนเจี๋ยกล่าวว่า “แน่นอน”
ชางจื่อเฟิงกล่าวเสียงดังว่า “เมื่อนำข้อมูลของพวกเราทั้งสองมารวมกันแล้ว ข้าก็ไม่เชื่อว่าหลัวเลี่ยจะสามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของข้าไปได้”
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองก็เร่งกระจายข่าวเพื่อค้นหาร่องรอยของหลัวเลี่ยทันที
เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว หลัวเลี่ยไม่ได้จงใจหลบซ่อนตัวมากเกินไปนัก เพราะเมื่อมีอาชาเดือนดารัญแล้วก็ยากที่จะสามารถกักขังหลัวเลี่ยเอาไว้ได้ ต่อให้จะหาเขาพบและเริ่มไล่ตามแล้ว เขาก็จะเร่งความเร็วของอาชาเดือนดารัญจนสามารถหลบหนีหายไปอีกได้อยู่ดี
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า อาชาเดือนดารัญเป็ตัวช่วยเพิ่มโอกาสในการทำภารกิจให้สำเร็จมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าไม่มีใครคาดคิดว่าหลัวเลี่ยจะไม่ได้จากไปจริงๆ
หลังจากที่ชางจื่อเฟิง ต้วนเหยียนเจี๋ย และคนอื่นๆ จากไปไม่นาน เงาร่างของหลัวเลี่ยก็ปรากฏขึ้นในน้ำ
อาชาเดือนดารัญสามารถเคลื่อนไหวในน้ำได้อย่างอิสระเช่นเดียวกับเมื่อตอนที่มันเคลื่อนไหวอยู่บนบก ขนสีขาวทั่วตัวของมันดูเหมือนจะมีพลังพิเศษที่ส่งผลให้สามารถต้านทานแรงกดดันและการสำลักน้ำได้
หลัวเลี่ยมีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับหยินหยาง และเสวี่ยปิงหนิงก็เป็นักเวทระดับแสงแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและเป็ธรรมชาติในน้ำ
หลัวเลี่ยและเสวี่ยปิงหนิงใช้วิธีนี้เข้าใกล้เรือัมหาสมุทรคำรนอย่างเงียบๆ อีกครั้ง
เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากเรือัมหาสมุทรคำรนประมาณสามจั้ง เสวี่ยปิงหนิงก็หยิบพู่กันวิเศษออกมาและร่ายมนตร์ รวบรวมลำแสง จากนั้นนางก็โบกพู่กันเบาๆ สองครั้ง ส่งพลังไปที่ด้านล่างของเรือัมหาสมุทรคำรน
ลำแสงรูปร่างเหมือนัลำหนึ่งพุ่งออกมาจากปลายพู่กันวิเศษ แล้วซึมหายเข้าไปที่ใต้ท้องเรือ
หลังจากนั้นใต้ท้องเรือบริเวณที่เสวี่ยปิงหนิงร่ายเวทลงไปก็เกิดการเคลื่อนไหว ปรากฏประตูสว่างวาบออกมา
จากนั้นเสวี่ยปิงหนิงก็ตีอาชาเดือนดารัญ
อาชาเดือนดารัญเข้าใจสถานการณ์เป็อย่างดี มันออกตัวพาทั้งสองคนตรงเข้าไปในประตูนั้น
หลังจากที่พวกเขาผ่านเข้าประตูไปแล้ว ประตูก็ปิดลงทันที และสิ่งที่ปรากฏในมิติลวงตาข้างหน้าพวกเขาคือทางเดินรูปั ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายั
ในตอนนั้นเองหลัวเลี่ยก็มองไปที่เสวี่ยปิงหนิงด้วยความสงสัย
เดิมทีหลัวเลี่ยตั้งใจจะขี่อาชาเดือนดารัญไปจนถึงแคว้นชื่อเซียว แต่เสวี่ยปิงหนิงเป็คนขอให้เขาวกกลับมา
“แม้ว่าอาชาเดือนดารัญจะเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่สามารถหลบหนีการขัดขวางของจ้าวแห่งท้องทะเล โดยเฉพาะคนจากเผ่าัเ่าั้ได้ พวกเขาเปรียบดั่งปลาที่เมื่ออยู่ในทะเลก็สามารถใช้เวทมนตร์ได้ทุกรูปแบบ จนสามารถขัดขวางพวกเราได้อย่างง่ายดายโดยที่พวกเราตอบโต้กลับได้ยาก” เสวี่ยปิงหนิงอธิบาย
หลัวเลี่ยยอมรับในเื่นี้เช่นกัน
เผ่าัเย่อหยิ่งมาก
และเป็เพราะพวกเขาเย่อหยิ่งเกินไป ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้เริ่มลงมือแล้วก็แสดงว่าพวกเขามั่นใจว่ามันจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน และหากพวกเขาคิดว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะล้มเหลว พวกเขาก็จะไม่สนใจลงมือทำั้แ่แรก เพราะคิดว่ามันคือศักดิ์ศรีของเผ่าั เื่นี้ถือได้ว่าซับซ้อนมาก
มันไม่ง่ายเลยที่จะผ่านด่านนี้ไปอย่างสบายๆ
เสวี่ยปิงหนิงยิ้มและพูดว่า “ตอนที่ข้าจากมา หงเหยียนได้บอกข้าว่า เรือัมหาสมุทรคำรนลำนี้ แม้คนภายนอกจะเล่ากันว่ามีตระกูลใหญ่ของเผ่ามนุษย์เป็เ้าของ แต่แท้จริงแล้วมันถูกควบคุมโดยเผ่าั และตระกูลที่เป็เผ่ามนุษย์นั้นก็มีสายเืของเผ่าัเช่นกัน ดังนั้นเรือัมหาสมุทรคำรนจึงถือว่าเป็สิ่งของของเผ่าัครึ่งหนึ่ง และความพิเศษของเผ่าัก็คือ พวกเขาได้ทิ้งสายเืัไว้ในเผ่ามนุษย์มากมายเหลือเกิน”
“ในขณะเดียวกัน เผ่าัก็ได้รับมนุษย์ที่มีเืของเผ่าัเข้าเผ่าด้วย แต่เงื่อนไขของการเข้าเผ่านั้นก็เข้มงวดมาก หากไม่มีความสามารถมากพุ์คนนั้นก็ไม่อาจเข้าเผ่าัได้ ดังนั้นพวกคนจากเผ่าัจึงได้จัดการทดสอบพิเศษขึ้นที่ภายในเรือัมหาสมุทรคำรนลำนี้ และผู้ที่ผ่านการทดสอบก็จะมีสิทธิ์เข้าเผ่าั ดังนั้นทุกคนที่ขึ้นมาบนเรือลำนี้ แท้จริงแล้วก็เพื่อมารับการทดสอบ หากมีสายเืของเผ่าัและผ่านการทดสอบก็จะถูกหมายตาไว้ทันที”
“และการทดสอบนี้ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”
“เนื้อหาของบททดสอบก็คือกลองจู่หลง ว่ากันว่ามันมีพลังของผู้แข็งแกร่งสายเืเผ่าัที่อยู่ในระดับบรรพชนปะปนอยู่ ดังนั้นในระหว่างที่ทำบททดสอบ มันจะสามารถบอกได้ว่าเ้ามีสายเืเผ่าัหรือไม่ กลองจู่หลงนี้ส่งเสียงดังยากมาก หากใครที่สามารถทำให้มันดังได้ถึงสองครั้ง ก็หมายความว่าความสามารถของคนคนนั้นได้รับการยอมรับจากเผ่าัแล้ว”
“หากดังถึงห้าครั้ง คนคนนั้นก็จะได้รับการต้อนรับให้เข้าร่วมเผ่าัเป็อย่างดีทันที”
“หากดังมากกว่าเจ็ดครั้ง และคนคนนั้นมีสายเืของเผ่าั คนคนนั้นก็จะได้รับแก่นพลังัและกลายเป็ัแท้ทันที แต่ถ้าไม่มีสายเืของเผ่าั คนคนนั้นก็จะสามารถท่องไปทั่วทะเลได้โดยที่เผ่าัจะไม่มารบกวนอย่างเด็ดขาด รวมทั้งเขายังสามารถหาสมบัติได้โดยไม่ถูกขัดขวางอีกด้วย”
เมื่อฟังจนจบประโยค หลัวเลี่ยก็เข้าใจในทันที
นี่เป็วิธีขจัดสิ่งที่คอยขัดขวางพวกเขาตลอดไป
“แม้ว่าเผ่าัจะยอมรับผู้ที่มีสายเืของเผ่าั แต่ข้าคิดว่าเื่นี้เป็ความลับที่ยิ่งใหญ่มากจนไม่ได้ประกาศออกไปทั่ว แล้วหงเหยียนรู้เื่นี้ได้อย่างไร” หลัวเลี่ยถาม
เสวี่ยปิงหนิงส่ายหัวด้วยความสับสน “ข้าไม่แน่ใจ ดูเหมือนว่าหงเหยียนจะมีหลายเื่อยู่ภายในใจ โดยเฉพาะเื่ที่เกี่ยวข้องกับเผ่าั”
หลัวเลี่ยแอบพึมพำกับตัวเองว่า ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลิวหงเหยียนและเผ่าัจะลึกลับมาก และยิ่งเขาเห็นว่าหลิวหงเหยียนดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าัเป็อย่างมาก เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าสิ่งที่หลิวหงเหยียนกำลังแบกอยู่นั้นคงจะหนักและน่ากลัวมาก
“เห็นทีว่าคงมีเพียงการแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถไขความลับนี้ได้”
หลัวเลี่ยทำได้เพียงหยุดคิดไปก่อนแล้วก้าวเข้าสู่ทางเดินั
ทันทีที่หลัวเลี่ยเดินเข้าไป เส้นทางเดินรูปัก็สว่างขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ลูกแก้วสีใสขนาดปานกลางซึ่งภายในมีหมอกลอยอยู่ ในหมอกนั้นปรากฏภาพของหลัวเลี่ยที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางรูปั ลูกแก้วนี้ตั้งอยู่ภายในห้องโถงที่อยู่ในวังัใต้ทะเลซึ่งห่างไกลจากหลัวเลี่ยออกไป
และมีคนสองคนยืนอยู่หน้าลูกแก้ว
พวกเขาคือหลงโต้วไห่นายพลแห่งเผ่าั และหลงชาผู้ดำรงตำแหน่งอ๋องแห่งเผ่าั
พวกเขาไม่แปลกใจเลยที่เห็นหลัวเลี่ย และหลงโต้วไห่ก็พึมพำขึ้นมาว่า “ในที่สุดหลัวเลี่ยก็มาแล้ว”