หวังเยี่ยนยืนอยู่ตรงประตู สายตาจับจ้องไปยังหวังซานนิว นางโกรธจนกำมือแน่น
หวังไห่เคยได้ยินเฟิงซื่อบอกแล้วว่า บ้านใหญ่ให้เงินก้นหีบเป็สินเดิมไปเพียงห้าร้อยทองแดง ส่วนของอื่นๆ รวมกันแล้วไม่ถึงหนึ่งตำลึงเงิน จำนวนเช่นนี้ทำให้เขาผิดหวังกับบ้านใหญ่มาก กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “แยกบ้านกันแล้ว สินเดิมของเ้าต้องไปขอกับพ่อแม่เ้า”
หวังซานนิวนึกไม่ถึงว่า จะได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงโกรธจนร้องไห้เสียงดัง “ท่านเป็ปู่ของข้า ท่านต้องดูแลข้าสิ”
หวังไห่กล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว “ข้าดูแลบิดาเ้ามาสามสิบหกปีเต็มๆ ไม่มีแรงกายแรงใจไปดูแลเ้าแล้ว เ้าไปเถิด”
“ท่านพ่อ ดื่มชาเก๊กฮวยดับร้อนก่อนเถิดเ้าค่ะ” หวังเยี่ยนยกชาเก๊กฮวยเข้ามาถ้วยหนึ่ง หวังซานนิววิ่งก้มหน้าเข้ามาชนนางพอดีทำให้ถ้วยกระเบื้องตกแตก น้ำชาหกเลอะเต็มพื้น ส่วนหวังซานนิววิ่งออกไปเช่นนั้นโดยไม่หันมามองหวังเยี่ยนเลยแม้แต่น้อย
หวังไห่โกรธจึงกล่าวเสียงดังว่า “ลูกเยี่ยน ไม่ต้องสนใจนาง ปล่อยให้นางไปขอสินเดิมจากพ่อแม่ของนางเอง”
ณ บ้านหลี่ แต่ละคนต่างเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ
“ท่านแม่เ้าคะ ตั๋วเงินสองใบนี้เก็บไว้กับท่านเถิด เหลือไว้ให้ข้าใช้ใบเดียวพอเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้ส่งตั๋วเงินสองใบที่เพิ่งได้มาสดๆ ร้อนๆ ให้จ้าวซื่อ อีกฝ่ายดีใจจนน้ำตาไหล
จ้าวซื่อหยิบตั๋วเงินมูลค่าสิบตำลึงเงินแผ่นหนึ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ดูรอยประทับอักษรบนตั๋วเงิน กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “หรูอี้ ตั๋วเงินสองใบนี้จะเก็บไว้เป็สินเดิม ไว้ให้เ้ายามแต่งงาน”
หลี่หรูอี้เขินจนหน้าแดง เมื่อเห็นสายตาจริงจังของจ้าวซื่อจึงกล่าวไปว่า “ข้ายังอายุน้อย ไม่ต้องเก็บไว้ให้ข้าหรอกเ้าค่ะ เอาไว้ให้พี่ชายทั้งสี่ไปเรียนที่สำนักศึกษาเถิด”
จ้าวซื่อรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ดวงตาร้อนผ่าวจนน้ำตาคลอเบ้า จับไหล่เล็กๆ ของบุตรีผู้เป็ที่รักยิ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หรูอี้ของข้า ช่างใจดีจริงๆ”
หลี่หรูอี้ยื่นมือออกไปลูบท้องที่ใหญ่ของจ้าวซื่อ กล่าวเบาๆ ว่า “ค่าเรียนของหวังจื้อเกาปีละสามตำลึงเงิน ตั๋วเงินในมือท่านพอให้พี่ชายเรียนแค่ปีเดียวเท่านั้น”
“ข้าก็อยากให้พี่ชายของเ้าไปเรียนที่สำนักศึกษาเช่นกัน เพียงแต่พี่ใหญ่กับพี่รองของเ้า ปีหน้าก็อายุสิบสี่แล้ว ควรดูเื่การแต่งงานได้แล้ว สินสอดทองหมั้นอันใดก็ต้องใช้เงิน ข้ากลัวว่าในบ้านจะมีเงินไม่พอ”
“ข้ามีวิธีทำของกินแบบใหม่ รอให้ท่านพ่อกับท่านอารองกลับมาก่อน หากทำตามที่ข้าบอก จะต้องหาเงินได้มากกว่าไปขายแป้งย่างแน่นอน”
“พ่อของเ้ายังไม่ยอมกลับบ้าน น่าโมโหจริงๆ!” เมื่อจ้าวซื่อได้ยินบุตรสาวกล่าวถึงหลี่ซาน ในใจก็พลันรู้สึกโมโห บอกให้เขากลับบ้านถึงสองครั้งสองคราแล้ว แต่ก็ไม่ยอมกลับ ตอนนี้ในบ้านมีเงินมากพอทั้งยังเป็ตั๋วเงินอีกด้วย แต่ผู้ชายผู้ใหญ่กลับไม่อยู่บ้านสักคน นางกลัวว่าจะมีคนไม่ดีเข้ามาขโมยของตอนกลางคืน
“ท่านพ่อคิดว่าพวกเราทำอาหารขายไม่มั่นคงเท่างานสร้างกำแพงเมือง เขาอยากหาเงินมากๆ กลับมาให้ท่านใช้” หลี่หรูอี้เข้าใจบิดาของตนอย่างลึกซึ้งว่าเขาดื้อรั้นเพียงใด และมีความอดทนต่อความยากลำบากอย่างมาก
จ้าวซื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าบุตรีสุดที่รักพูดจามีเหตุผล แต่ยังคงกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “รอเขากลับมาก่อน ข้าจะให้เขาทำตามวิธีหาเงินของเ้าแน่ หากเขาไม่ฟังข้าจะพาพวกเ้าไปเอง”
หลี่ิ่หานที่อยู่นอกหน้าต่างพูดอย่างกังวล “ท่านแม่ จะทิ้งท่านพ่อไม่ได้นะขอรับ”
“อีกไม่นานท่านแม่จะคลอดลูกชายให้ท่านพ่อแล้ว จะทิ้งท่านพ่อได้อย่างไร พี่สี่ ท่านรู้จักล้อเล่นจริงๆ” หลี่หรูอี้เดินหัวเราะออกมา “หากท่านพ่อกลับมา ท่านแม่ก็จะส่งพวกท่านไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา”
“จริงหรือ ดีจริงๆ” หลี่ิ่หานดีใจจนะโโลดเต้น รีบวิ่งไปบอกหลี่อิงฮว๋าที่อยู่บริเวณแปลงผักที่สวนด้านหลังอย่างยินดี
ไม่นานหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังก็กลับมาจากตำบลจินจี ในตะกร้าไผ่สานใบใหญ่มีเครื่องในสองชุดบรรจุอยู่
ั้แ่เ้าหน้าที่ในอำเภอฉางผิงสั่งปรับหลิวจู้และภรรยาเื่ขายไส้ทอด คนรอบๆ บริเวณร้อยลี้ก็ไม่กล้าซื้อเครื่องในไปกินอีกเลย กระทั่งภรรยาของคนขายเนื้อแซ่จางก็ไม่กล้ากินเครื่องในหมู คนขายเนื้อแซ่จางก็ไม่กล้าขาย สุดท้ายจึงมอบให้บ้านหลี่ทั้งหมด
หลี่เจี้ยนอันกล่าวอย่างยินดีว่า “วันนี้ลุงจางเชือดหมูสองตัว คะยั้นคะยอให้ข้ารับเครื่องในหมูไว้ ข้ารู้สึกไม่ดีที่จะรับไว้ เขารบเร้าข้าอยู่นาน สุดท้ายจึงต้องรับ เสียเวลาไปครึ่งชั่วยามเชียว”
หลี่ฝูคังเห็นว่าในห้องโถงไม่มีคนอื่นอยู่เลย จึงถามไปว่า “ท่านแม่ขอรับ เมื่อครู่คนในหมู่บ้านพูดกันว่า บ้านเรามีคนจากบ้านเดิมของท่านพ่อมาหาสองคน พวกเขาอยู่ไหนหรือ”
หลี่อิงฮว๋าดีใจจนยิ้มไม่หุบ รีบปิดประตูห้องโถงกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างเบิกบาน “บ้านของพวกเรามีรายได้เข้ามาก้อนใหญ่แล้ว”
หลังจากที่หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังรู้เื่ก็หัวเราะออกมาอย่างดีใจ
หลี่หรูอี้ปล่อยให้พี่ชายทั้งสี่หัวเราะจนพอใจค่อยกล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้อากาศเย็นแล้ว พวกเรากินเครื่องในหมูจนแทบจะเบื่อกันแล้ว วันนี้เอาไส้หมูกับตับหมูไปทำเป็ไส้ตากแห้งกับตับหมูรมควันแล้วกัน จะได้เก็บไว้กินในฤดูหนาว”
พี่ชายทั้งสี่กล่าวพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย “ไส้ตากแห้งกับตับหมูรมควันคืออะไร”
หลี่หรูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ทางใต้มีอาหารประเภทหนึ่งเรียกว่า เนื้อตากแห้ง คือการนำเนื้อไปหมักเครื่องปรุงแล้วนำไปตากลม มีรสชาติอร่อยเป็เอกลักษณ์ ไส้หมูกับตับหมูก็เป็เนื้อเช่นกัน ข้าจะเอาพวกมันมาทำด้วยวิธีเดียวกันกับเนื้อตากแห้ง”
สายตาของหลี่ฝูคังมองตรงมา “เพียงได้ยินก็น่ากินแล้ว”
หลี่อิงฮว๋าถามว่า “วิธีทำซับซ้อนหรือไม่”
“ไม่ซับซ้อน แค่ยุ่งยากกว่ากิมจิเล็กน้อย พวกท่านมายืนดูข้างๆ ตอนที่ข้าทำก็จะรู้แล้วเ้าค่ะ”
เนื้อตากแห้งและกิมจิหรือที่เรียกกันว่า ผักแช่ เป็อาหารที่เป็เอกลักษณ์ของทางภาคใต้ในโลกเดิมของนาง
เมื่อมาเกิดใหม่ หลี่หรูอี้ไม่รู้ว่าภาคใต้ของแคว้นต้าโจวมีอาหารสองชนิดนี้หรือไม่
จ้าวซื่อถามอย่างแปลกใจ “หรูอี้ หากทำไส้กับตับเสร็จแล้วจะเก็บไว้กินใน่ฤดูหนาวได้หรือ”
“ได้เ้าค่ะ บ้านของพวกเราเพิ่งขุดหลุมใต้ดินขึ้นมาใหม่ หากนำไส้หมูกับตับหมูตากแห้งไปเก็บไว้ด้านใน จะเก็บไว้ได้ครึ่งปี” ไม่กี่วันก่อนหลี่หรูอี้เพิ่งให้คนมาขุดหลุมสำหรับเก็บอาหารบริเวณใต้ห้องใหญ่สามห้อง นอกจากเก็บธัญพืชแล้วยังคิดจะนำของกินอย่างอื่นไปเก็บไว้อีกด้วย
ทุกบ้านในหมู่บ้านต่างก็มีหลุมเก็บอาหารกันทั้งนั้น แต่ไม่มีหลุมเก็บอาหารบ้านใดที่ใหญ่เท่ากับที่บ้านหลี่
จ้าวซื่อกล่าวเสียงอ่อยๆ “ท่านพ่อกับท่านอารองของเ้าไปสร้างกำแพงเมืองอยู่ที่เมืองเยี่ยน ไม่ได้เห็นเนื้อมาหลายเดือนแล้วกระมัง ประเดี๋ยวพวกเขากลับมาก็ให้พวกเขากินไส้หมูกับตับหมูตากแห้งแล้วกัน”
“ท่านแม่ ข้าก็คิดเช่นนี้เ้าค่ะ” หลี่หรูอี้รู้ว่าในใจของท่านแม่เป็ห่วงท่านพ่ออยู่ตลอด ส่วนท่านอารองผู้โง่งม ในใจของท่านแม่ก็เห็นเป็เหมือนบุตรชายคนหนึ่ง
หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานนำเครื่องในหมูไปล้างอย่างเบิกบาน
“วันนี้มีเครื่องในหมูถึงสองชุด เดี๋ยวข้าช่วยพวกเ้าเอง” หลี่ฝูคังวิ่งเหยาะๆ ไปที่ห้องครัว
เมื่อคนเรามีเื่ดีๆ จิตใจก็ย่อมเบิกบานไปด้วย จ้าวซื่อยิ้มจนตาหยี ดวงตาแดงระเรื่อ กล่าวกับหลี่เจี้ยนอันว่า “รอพ่อเ้ากลับมาก่อน พวกเ้าพี่น้องจะได้ไปเรียนที่สำนักศึกษากันทุกคน”
หลี่เจี้ยนอันไม่ได้ดีใจจนะโโลดเต้นเหมือนตอนที่หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานรู้เื่นี้ เขาดีใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็นิ่งลง “ท่านแม่ กว่าท่านพ่อจะกลับมาก็ต้นฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นแล้ว บางทีอาจมีหิมะตก สำนักศึกษาในตำบลปิดเรียน่อากาศหนาวขอรับ”
“เช่นนั้นก็เริ่มฤดูใบไม้ผลิปีหน้า” จ้าวซื่อวางมือลงบนท้อง ในฤดูหนาวจะมีเด็กทารกเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน จะมีเื่ให้ทำมากมาย ้าคนช่วยงาน
ในห้องครัว หลี่หรูอี้ที่กำลังผัดพริกไทยสำหรับใช้หมักเนื้อตากแห้งเอ่ยถามว่า “พรุ่งนี้จะมีตลาดที่เปิดขายทุกๆ สิบวันแล้วกระมัง?”
“ใช่แล้ว พรุ่งนี้ข้ากับพี่สี่ของเ้าจะไปขายแป้งย่างที่ตลาด” หลี่อิงฮว๋าตักขี้เถ้าออกมาจากเตา นำไปใส่ในกะละมังไม้ใบใหญ่ที่บรรจุไส้หมูเอาไว้จนเต็ม จากนั้นจึงนำขี้เถ้าไปถูกับไส้หมูจนกลิ่นเหม็นของไส้หมูหมดไป ทำให้ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาของเด็กหนุ่มรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
หลี่ฝูคังหัวเราะ “พรุ่งนี้ครอบครัวเราขายแป้งย่างใส่ไข่ไม่ได้แล้ว ขายได้แต่แป้งย่างต้นหอม”
หลี่ิ่หานพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “แป้งย่างต้นหอมที่น้องห้าทำ ในระยะหลายสิบลี้นี้เรียกได้ว่าเป็หนึ่งไม่มีสอง พวกเราต้องขายแป้งย่างต้นหอมหมดแน่นอน”
หลี่หรูอี้ถือตั๋วเงินอยู่เช่นนั้น ในใจตัดสินใจแล้ว “พรุ่งนี้เช้าไม่ต้องขายแป้งย่างแล้ว พวกเราจะไปซื้อลาที่ตลาดแต่เช้า หากที่ตลาดไม่มีก็ไปที่อำเภอ”
เด็กหนุ่มทั้งสามดีอกดีใจมาก หลี่อิงฮว๋ากะพริบตาให้หลี่หรูอี้ พูดยิ้มๆ ว่า “เ้ากลัวว่าหากท่านพ่อกลับมาแล้วจะไม่ยอมให้ซื้อลากระมัง?”
แม้หลี่หรูอี้จะถูกพี่ชายมองออกก็ไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วน จึงรับคำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า “ใช่แล้วเ้าค่ะ”
“ท่านพ่อจะต้องพูดว่า ซื้อลาอันใดกัน ลาทำอะไรได้ ข้าก็ทำได้ทั้งนั้น ถ้าทำไม่ได้ก็ยังมีอารองของพวกเ้าอยู่ อารองของพวกเ้ามีแรงมากกว่าลาเสียอีก” หลี่อิงฮว๋าเลียนแบบท่าทีของหลี่ซาน ทำให้อีกสามคนที่เหลือหัวเราะออกมา
หลี่หรูอี้นำพริกไทยที่ผัดเสร็จแล้วออกมาตวงใส่ชาม “ที่ข้าอยากซื้อลาเพราะจะได้ออกไปไหนสะดวก” ซื้อม้าไม่ไหว และไม่กล้าซื้อวัว เช่นนั้นก็ต้องซื้อลาแล้ว
หลี่อิงฮว๋าหันหน้ามาถามว่า “พี่รอง พี่สี่ พวกเราอย่าเพิ่งบอกท่านแม่ พรุ่งนี้ไปซื้อลากลับมาเลย ให้ท่านแม่แปลกใจเสียหน่อย”
หลี่ิ่หานจึงพูดว่า “เช่นนั้นจะบอกพี่ใหญ่หรือไม่”
.......................................