กลิ่นหอมของหมั่นโถวลอยแตะจมูกเล็กเชิดรั้นดังยั่วยุ ร่างบางหันมองพลางน้ำลายซอ หลิวเซียงเอ๋อร์สวมชุดสีพื้นไร้สีสัน ใบหน้าไร้การแต่งแต้ม เธอตั้งใจอีกครั้งที่จะออกมาข้างนอกวังหลวงในยามนี้เพราะด้วยเหตุการณ์ของชายชุดดำทำให้เธออยากรู้นักว่าแท้จริงแล้วเป็กลุ่มกองกำลังลับนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับแคว้นหูเยว่หรือไม่ เธอจึงอาศัย่ที่ฮ่องเต้กำลังวุ่นในการตรวจสอบหาล่องลอยจากศพพวกนั้น เธอจึงใช้โอกาสหลบหลีกออกมาที่หอตั่งรี่ฮวาอีกครั้ง สตรีสองนางจูงมือกันเดินเข้าไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ที่คุ้นเคยก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ
“แม่นางเสี่ยวหง วันนี้คุณชายฉินมีแสดงหรือไม่” เธอเอ่ยถามอย่างเร่งรีบ สายตาสอดส่ายมองหาบุรุษรูปงาม
“วันนี้คุณชายฉินมีแสดงไปแล้ว หากคุณหนู้าพบคุณชายฉินข้าย่อมเรียกให้ท่านได้” เสี่ยวหง หรือหงหว่านลี่ สตรีวัยกลางคนราวอวบอัดผิวขาวดุจสำลียืนถือพัดพับสะบัดตีมือตนเบา ๆ นางยังจดจำได้ดีเมื่อครั้งที่เธอมาคฤหาสน์หลังนี้พร้อมเงินหลายตำลึงทอง
“ดีข้ากำลังอยากฟังเสียงพิณคุณชายอยู่พอดี” หลิวเซียงเอ๋อร์ได้จังหวะพบบุรุษรูปงาม เธออยากเห็นนักว่าบุรุษรูปงามราวภาพวาดจะงดงามเยี่ยงไร
ห้องแยกรับรองแขกชั้นสองของคฤหาสน์ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมรับรอง ร่างบางยืนทอดมองความงามภายในห้องนี้ที่ตกแต่งด้วยผ้าม่านสีครามและภาพวาดบุบผางามที่ติดตามผนังเธอชื่นชมภาพวาดเ่าั้จนมิทันสังเกตุว่ามีบุรุษร่างสูงยืนจ้องมองเธอ
“อึ๊ม!!..” ฉินม่อซีกระแอ่มในลำคอเบา ๆ เพียงให้เธอได้หันมามอง หลิวเซียงเอ๋อร์ยืนจ้องใบหน้างามของบุรุษด้านหน้า รูปตายาวเรียวปลายหางตายกชี้เล็กน้อย จมูกโด่งเป็สันได้รูป ริมฝีปากกระชับอิ่มแดงระเรื่อ คิ้วหนาพาดเฉียง ผิวขาวละเอียดเนียนราวหยก เธอพลางนึกในบทบรรยายของตัวละครอย่างฉินม่อซีว่างดงามราวภาพวาด เธอได้เห็นแล้วจึงยอมรับว่ามิผิดเพี้ยนเลยจริง ๆ
‘งดงามราวภาพวาดจริง ๆ ’ เธอเน้นย้ำในใจก่อนจะดึงสติคืนก่อนจะยกยิ้มให้เขาเล็กน้อย
“เชิญนั่งก่อนคุณชายฉิน” เธอเอ่ยเชื้อเชิญให้บุรุษตรงหน้านั่งลงตรงโต๊ะสำหรับที่จัดวางอาหารและสุราต่าง ๆ ไว้
“แม่นางเสี่ยวหงบอกว่าคุณหนูอยากฟังเพลงพิณของข้า”
“ชะ..ใช่ แต่ก่อนที่จะเล่นท่านมาทานอาหารพวกนี้กับข้าก่อนดีหรือไม่”
“ข้าตั้งใจมาเล่นให้คุณหนูฟัง เช่นนั้นเชิญคุณหนูทานอาหารตามสบาย” ฉินม่อซีจัดวางพิณอย่างเบามือก่อนจะเริ่มดีดพิณขับกล่อมนาง
“เมื่อหลายวันก่อนข้าได้ยินมาว่ามีกลุ่มชายชุดดำก่อความวุ่นวายในตลาด” เธอเอ่ยโพลงขึ้นจนเสียงพิณนั้นสะดุด หากแต่บุรุษยังคงดีดพิณนิ่งเงียบราวมิได้ยินเสียงใด ๆ
‘เราคงรีบเกินไป....ไม่ได้ ไม่ได้ เราจะต้องค่อย ๆ สืบเื่นี้’
“คุณชายฉินดีดพิณได้ไพเราะจริง ๆ ข้าคงต้องมาฟังท่านเล่นบ่อย ๆ เสียแล้ว”
“คุณหนูชมข้าเกินไปแล้ว..แต่หากคุณหนูชอบข้าก็ยินดี” ฉินม่อซียกยิ้มมุมปากทำให้รอยบุ๋มข้างแก้มสองข้างเด่นชัดขึ้น เธอแสร้งพูดคุยเื่โน้นทีเื่นี้ทีแต่ดูเหมือนเขาจะมิหลงกลเธอเลยสักครั้ง
“เห้อ..เสียเวลาข้าจริง ๆ บุรุษรูปงามกลับปากหนักดังหิน เห็นทีข้าคงต้องกลับไปที่จวนท่านพ่อเสียแล้ว” หลิวเซียงเอ๋อร์เอ่ยตัดความรำคาญใจ เพราะอยากรีบหาคำตอบที่ขุ่นข้องในใจให้กระจ่างว่าแท้จริงแล้ว เสนาบดีหลิวถูกปรักปรัมหรือตั้งใจก่อฏจริง
“มิได้นะเพค่ะ...พระสนมออกจากตำหนักมาเช่นไรพระองค์ลืมเสียแล้วหรือเพค่ะ” หลินเสียงเตือนสติเธอก่อนจะกำแขนเสื้อเธอดึงหลบทหารเวรที่กำลังเดินตรวจตรา หลิวเซียงเอ๋อร์เหลือบเห็นสตรีนางหนึ่งราวคุ้นเคยเดินหลบไปตามซอยข้างคฤหาสน์ จนเธอเองต้องรีบเร่งฝีเท้าตามอย่างไม่รู้ตัว
“เร็วเข้าหลินเสียงข้ารู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้” หลิวเซียงเอ๋อร์รีบเอ่ยพร้อมเร่งฝีเท้าเดินตาม หากแต่ผู้ที่เธอเอ่ยเรียกกลับไม่ทันฟังทำให้นางถูกชนจนล้มลงก่อนจะเว้นระยะห่างจากเธอ
หลิวเซียงเอ๋อร์หลบมุมซ่อนกายก่อนจะรอบมองเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ยืนหันหน้ามาทางเธอ เธอจำได้ดีว่าบุรุษนี้คือองค์ชายต่างแคว้นหูเยว่
“ข้าว่า..ข้าเจอข่าวดีแล้วล่ะ” หลิวเซียงเอ๋อร์อุทานเบา ๆ ก่อนจะผินมองมาด้านหลังที่ว่างเปล่า ในใจเธอกับวูบไหว ครั้นมองไม่เห็นนางกำนัลคนสนิทจึงรีบที่จะหันกลับไปทางเดิมหากแต่บุรุษร่างสูงใหญ่กลับขวางทางเธอทำให้ไปไม่ได้
“ข้าคิดว่าแม่นางใดกันที่อยากจะพบข้า ไม่คิดว่าสนมหลิวจะติดตามข้ามาด้วย” เขาจ้องมองร่างบางของเธอก่อนจะใช้มือหนึ่งดึงรั้งแขนเธอ
“ปล่อยข้า..ข้าแค่อยากออกมาเปิดหูเปิดตามิได้ติดตามท่านออกมาเสียเมื่อไหร่กัน” หลิวเซียงเอ๋อร์พยายามสะบัดข้อมือเรียวเล็กแต่ก็ไร้ผล เขารากจูงแขนเธอมายังที่ไร้ผู้คนวุ่นวายก่อนเอ่ยถาม
“เมื่อกี้สนมหลิวเห็นสิ่งใดบ้าง” เขากระซิบข้างลำหูเธอด้วยเสียงเ็า
“ข้าบอกแล้วว่าข้ามิได้ตามท่านมา ข้าจะเห็นได้อย่างไรว่าท่านทำสิ่งใด” เขาตวัดสายตามองมาด้วยความเยียบเย็น ยามนี้บุรุษตรงหน้าไร้แววตากรุ่มกริ่มเหมือนที่อยู่ในวัง หากแต่เป็สายตาที่ดูเ็าและน่าสะพรึงกลัวทำให้ใจเธอเริ่มสั่น หากเธอจะใช้ศิลปะป้องกันตัวกับเขาคงจะตกเป็รองบุรุษร่างสูงใหญ่ที่เป็วรยุทธ์นี้
“ฮ่า...ฮ่า..ฮ่า..ข้าแค่หยอกล้อท่านเล่น นี่ท่านกลัวข้าจริง ๆ หรือ” เขาหัวเราะออกมาราวตั้งใจ แต่เธอกลับยังรู้สึกมิคลายกังวลในท่าทางเขาในยามนี้
“ท่านทำท่าทางขึงขังมีหรือสตรีบอกบางเช่นข้าจะมิหวันกลัว เช่นนั้นเชิญท่านตามสบายข้ากำลังจะกลับแล้ว” เธอรีบกล่าวลาเขาก่อนหลีกเลี่ยงกายหมายจะหันหลังกลับ วงแขนแกร่งรวบร่างเธอจนเซอิงแผงอกแกร่งก่อนเขาจะกระซิบกับเธอ
“หากสนมหลิวมิได้นำไปกล่าวที่ใด ข้าก็จะขอบคุณท่านยิ่งนัก” แม้จะเป็เพียงคำราวขอร้อง แต่คนฟังกลับรู้สึกวิตกกังวลใจไม่น้อย เธอไม่รู้ว่าสตรีที่เธอเห็นเป็ใครแต่เธอรู้สึกคล้ายเหมือนรู้จัก หลิวเซียงเอ๋อร์รีบเดินหนีห่างเขาทันทีที่เป็อิสระจากวงแขนนั่น ก่อนจะเดินหาหลินเสียงในยามนี้ใบหน้านางเปียกชุ่มไปด้วยคราบน้ำตา
“เ้าร้องไห้ทำไม”
“พระสนม..กลัวว่าจะเกิดเื่ร้ายกับพระองค์เพค่ะ” หลินเสียงยกมือลูบมือบางของเธอ ก่อนจะรีบเอ่ยกลับวังที่ยามนี้เหล่าทหารเวรยามพลุกพล่านกว่าเดิม คงด้วยเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้มีการตรวจตรามากขึ้น
บุรุษสองนายยืนแอบมุมลึกของอีกฟากคฤหาสน์จ้องมองดูเธอ กล้ามเนื้อทุกมัดเกร็งแน่น เกือบจะระงับโทสะนี้ไว้ไม่อยู่
“ฝ่าา...เราจะทำเช่นไรต่อดี”
“หากนางเป็หนอนจริง ข้าจะลงโทษนางเอง” ความขุ่นเคืองสะท้อนออกมากับน้ำเสียงทุ้มอย่างชัดเจน ร่างทั้งร่างของเขาช่างเยียบชาไร้ความรู้สึก มือหนากำแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกนิ้วลั่น
“พ่ะยะค่ะ” ไป่ฟางหลงยกมือคารวะก่อนจะรีบติดตามดูเธอต่อไป
หลิวเซียงเอ๋อร์รู้สึกผ่อนคลายหลังจากที่กลับมาถึงตำหนักตน ร่างบางเปลื้องอาภรณ์ก่อนจะขยับกายย่อลงในอ่างน้ำใบใหญ่พร้อมด้วยน้ำอุ่นที่โอบล้อมกายเธอ กลิ่นหอมของน้ำมันระเหยทำให้รู้สึกโล่งสบาย เธอชอบเวลาที่ได้แช่น้ำคนเดียว มันทำให้รู้สึกได้มีพื้นที่ส่วนตัวเพราะั้แ่ที่เธอมาอยู่นี่ รอบตัวเธอก็มักจะมีนางกำนัลข้างกายตลอดเวลาแม้จะสะดวกสบายแต่ก็หาได้ส่วนตัวไม่ ยามนี้เธอรู้สึกชอบที่ได้อยู่คนเดียวถึงแม้ว่าในคราแรกหลินเสียงจะมิยอมแต่ด้วยความดื้อรั้นของเธอก็ทำให้หลินเสียงต้องยอมเฝ้าอยู่ได้เพียงหน้าประตูห้องหอ บุรุษร่างสูงยืนจับจ้องร่างเปลือยยามนี้ไร้อาภรณ์ แต่ภายในใจของเขาพลันมีโทสะพวยพุ่งขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
“ฝ่ะ..ฝ่าา” หลิวเซียงเอ๋อร์ใเพราะเห็นฮ่องเต้หนุ่มยืนอยู่หน้าอ่างน้ำร่างบางเหลือบมองหาผ้าคลุมแต่ไร้ประโยชน์ มือหนากระชากแขนเล็กอย่างเต็มแรงความโกรธแค้นที่ถ่าถมเป็ดั่งไฟโทสะั์ตาเข้มฉายประกายเหี้ยมขึ้นมาจนเธอสะดุ้งกลัว เขาหลุบตามองร่างเปลือยตรงหน้าก่อนบดเบียดริมฝีปากลง ลมหายใจร้อนผ่าวแฝงด้วยโทสะเป่ารดปรายจมูกเธอ ลิ้นอุ่นร้อนแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดลิ้นนุ่มอย่างจาบจ้วงเอาแต่ใจ พลางฝ่ามือใหญ่ทาบบนแผ่นหลังเรียบชวนน่าขนลุก หนานรั่วหานยามนี้เขาเองรู้สึกเหมือนเป็สัตว์ป่าที่หลังจากได้ลิ้มรสรัญจวนใจนี้แล้วก็ยากที่จะยับยั้งชั่งใจเขากอดร่างเปลือยเปล่าของเธอแแ่อกอิ่มทาบแนบกับแผงอกกำยำของเขาอย่างไร้สิ่งใดปิดกั้น
“เดี๋ยวเพค่ะ!!..” ยังไม่ทันที่เธอจะห้ามปรามเขา แก่นกายเขาได้ลุกล้ำขยับเข้ามากลางกายเธอทรวงอกอิ่มสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะ เธอครางเสียงกระเส่าปล่อยให้ตนเองเพลิดเพลินไปกับห้วงอารมณ์เสน่หาที่เขาปลุกเร้าขึ้น ร่างบางสั่นเทิ้มอยู่หลายครั้งจนสิ้นไร้เรียวแรงร่างแกร่งจึงต้องยกตัวเธอวางบนที่นอนหนานุ่มอย่างเบามือ
หนานรั่วหานจ้องมองใบหน้าที่หลับตานิ่งขนตาเป็แพรหนาไร้ความซุกซน หากแต่ความโกรธแค้นกลับสุ่มแรงขึ้นอีกครั้งเมื่อนึกเห็นภาพเธอกับองค์ชายต่างแคว้น เขาลุกสวมอาภรณ์ก่อนจะเดินออกจากห้องหอเธอไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้