ขณะที่หลงอวี้กำลังฝึกฝนอยู่ในหอวิทยายุทธ์ ฝูงชนที่อยู่ด้านนอกต่างก็เริ่มรอไม่ไหวกันแล้ว
“เ้าหมอนั่นคิดจะมุดหัวอยู่ในนั้นนานแค่ไหนเนี่ย หรือมันคิดว่าศิษย์พี่เฟิงกับศิษย์น้องถานจะยอมปล่อยมันไป”
“หึหึ ข้าว่ามันคงกำลังลองฝึกวิชาอยู่ข้างในนั่นแหละ แต่เวลาเพียงวันเดียว ต่อให้เป็อัจฉริยะก็ไม่มีทางบรรลุวิทยายุทธ์ที่ทรงพลังได้แน่!”
“ใช่แล้ว พอถึงเวลาที่มันต้องออกมา มีเฟิงหยางกับฟางคางเฝ้าอยู่แบบนี้ ไอ้หมอนั่นหนีไม่รอดแน่”
ผู้คนพากันวิเคราะห์กันไปต่างๆ นานา ถึงขั้นมีคนจงใจพูดให้เฟิงหยางและถานเยว่ได้ยิน เป้าหมายก็เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งสองคนกลับไปก่อนเพราะรอไม่ไหวเพราะถ้าเป็แบบนั้นพวกเขาก็อดดูเื่สนุกๆ น่ะสิ?
เฟิงหยางเงยหน้าขึ้น กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะกระแทกเสียงเบาๆ
ความอดทนของเขามีมากกว่าที่ใครหลายคนคิด แม้เขาจะเป็พวกมุทะลุ แต่ในเวลาสำคัญเขาก็ไม่ปล่อยให้อารมณ์มาทำให้เสียเื่เหมือนกัน
ส่วนถานเยว่นั้นเกลียดหลงอวี้เข้ากระดูกดำ เช่นนั้นเขาย่อมไม่มีทางกลับไปก่อนแน่
“ฟางคาง เ้าเฝ้ามันให้ดีล่ะ ไอ้สวะนั่นมันต้องทรมานยิ่งกว่าความตาย!”
ถานเยว่ที่นอนอยู่บนเปลหามกัดฟันพูดอย่างเคียดแค้น
ฟางคางที่นั่งสมาธิปรับลมหายใจอยู่ข้างๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“ศิษย์น้องถานเยว่วางใจเถอะ คิดว่าไอ้หนูวิถียุทธ์์ขั้นสี่นั่นจะทำอะไรได้อย่างนั้นหรือ”
“ถ้าได้อย่างนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นเ้าไม่มีทางแก้ตัวต่อหน้าพี่ชายข้าได้แน่”
ถานเยว่ตอบอย่างชิงชัง นางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่หลงอวี้เอาชนะหานเจี้ยนได้ก่อนหน้านี้ ตอนนั้นนางและหานเจี้ยนเองก็คิดว่าหลงอวี้เป็เพียงเศษสวะ ใครจะไปคิดว่ามันกลับสามารถเอาชนะทั้งนางและหานเจี้ยนได้แบบนั้น
แต่รอบนี้เป็ฟางคาง ผู้มีวิถียุทธ์ขั้นหก ไม่ว่าไอ้สวะนั่นจะร้ายกาจเทียมฟ้าเพียงใด ก็ไม่มีทางเอาชนะฟางคางที่ระดับวิถียุทธ์แตกต่างกันถึงสองขั้นได้แน่ สิ่งเดียวที่ต้องกังวลคือไอ้หมอนั่นจะเล่นลูกไม้อะไรหรือไปขอความช่วยเหลือจากผู้าุโหรือเปล่า
แน่นอนว่า ผู้าุโของลัทธิไม่ค่อยยุ่งเื่บาดหมางระหว่างลูกศิษย์ระดับล่างอยู่แล้ว ขอเพียงไม่มีเื่ถึงชีวิต ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่เป็ไร ต่อให้หลงอวี้ไปขอความช่วยเหลือจากผู้าุโระดับล่าง ก็ไม่น่าจะเป็อุปสรรคมาก
ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า รัตติกาลมาเยือนอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ความตื่นเต้นเร่าร้อนของบรรดาผู้คนที่รออยู่ด้านนอกหอวิทยายุทธ์นับร้อยยังไม่มอดดับ ยิ่งมาก็ยิ่งพลุ่งพล่าน
......
ภายในหอวิทยายุทธ์ หลงอวี้เริ่มฝึกวิชาวายุก้าวพริบตา
ตอนที่เขาเพิ่งขึ้นมาบนหุบเขาสยบฟ้า คู่ต่อสู้ของเขาอู๋ชิงก็ได้ใช้ท่าวายุก้าวพริบตาให้เห็นแล้ว ตอนนี้หลงอวี้ที่ได้อ่านบทนำของวิชาวายุก้าวพริบตาแล้ว ก็รู้ว่าอู๋ชิงเพิ่งจะฝึกวิชาวายุก้าวพริบตาสำเร็จถึงขั้นกลาง ซึ่งทำให้ร่างกายแ่เบาดุจสายลม เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น
ถ้าฝึกวายุก้าวพริบตาสำเร็จถึงขั้นสูงละก็ เพียงหนึ่งก้าวก็สามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลถึงสามจ้างในพริบตา หากใช้ลอบโจมตีก็จะทำให้เป้าหมายยากจะป้องกัน
แต่ตอนนี้หลงอวี้เหลือเวลาเพียงครึ่งคืน ย่อมไม่มีทางฝึกสำเร็จถึงขั้นสูงได้ทัน
“ขอแค่ฝึกสำเร็จถึงขั้นกลางได้ ก็จะช่วยทำให้ร่างกายเบาบางดุจสายลม ความเร็วในการเคลื่อนตัวรวดเร็วขึ้นห้าในสิบส่วนเป็อย่างน้อย น่าจะพอใช้ต่อกรกับเฟิงหยางได้ระดับหนึ่งแล้ว”
หลงอวี้คิดไปพลางอ่านวิธีการฝึกวิชาวายุก้าวพริบตาอย่างละเอียด
จากนั้นไม่นาน เขาก็ทำตามสิ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ โคจรลมปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่างด้วยเส้นทางพิเศษรูปแบบหนึ่ง ผ่านไปได้ไม่นาน เขาก็ััได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
‘ส่วนต่อไปคือการก้าวเท้า...’
หลงอวี้คิดในใจ ััการโคจรของลมปราณอย่างเป็ระบบทั่วทั้งร่างกาย อดรู้สึกทึ่งกับลมปราณและวิทยายุทธ์ของโลกนี้ไม่ได้
เส้นทางโคจรลมปราณที่แตกต่างกัน ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้โลกนี้มีวิทยายุทธ์อันแข็งแกร่งถือกำเนิดขึ้นมากมายนับพันหมื่นวิชา ถึงขั้นสามารถควบคุมกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน
หลังจากถอนหายใจด้วยความทึ่งแล้ว หลงอวี้ก็เริ่มตั้งใจฝึกฝน สัญลักษณ์ัปรภพตรงอกเริ่มร้อนผ่าว ทำให้ลมปราณภายในร่างกายได้รับผลกระทบ โคจรไปตามหลักของวิชาวายุก้าวพริบตาเอง ทำให้เขาบรรลุวายุก้าวพริบตาได้เร็วขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย
หลังผ่านไปสองชั่วยาม หลงอวี้ก็ได้ลืมตาและยืนขึ้น
“สำเร็จแล้ว วายุก้าวพริบตาขั้นต้น!”
หลงอวี้ลองใช้วิชา ลมปราณภายในร่างกายเริ่มโคจร ร่างกายเบาลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนไหวสูงขึ้นกว่าเดิมสองถึงสามส่วน!
“ยังไม่พอ วิชาวายุก้าวพริบตาที่เป็วิทยายุทธ์ระดับกลาง ต้องฝึกขั้นกลางให้สำเร็จก่อนถึงจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในทักษะการต่อสู้ได้”
หลังจากหลงอวี้วิ่งรอบห้องสองรอบจนคุ้นชินแล้วก็หยุดฝีเท้า กลับมานั่งสมาธิเงียบๆ เพื่อฝึกต่ออีกครั้ง
ความเร็วในการบรรลุวิชาของเขานั้น ทำให้ผู้าุโประจำหอวิทยายุทธ์ที่เฝ้ามองอย่างลับๆ ต้องตกตะลึง!
“ความสามารถในการเรียนรู้ของเ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้เลยหรือ? กายาพิชิตมาร วายุก้าวพริบตา ล้วนบรรลุได้ในเวลาเพียงสองชั่วยาม ความเร็วระดับนี้ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ของลัทธิ! แถมดูเหมือนคืนนี้ยังสามารถบรรลุได้อีกขั้นหนึ่งด้วย...”
ในขณะที่ผู้าุโประจำหอวิทยายุทธ์จับตามองอย่างลับๆ หลงอวี้ยังคงฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยงคืน
วายุก้าวพริบตาที่เป็วิทยายุทธ์ขั้นกลางนั้น ในลัทธิสยบฟ้านับเป็วิชาพื้นฐาน ความยากในการบรรลุไม่ได้สูงนัก มีลูกศิษย์ระดับล่างหลายคนที่สามารถบรรลุถึงขั้นกลางได้อย่างง่ายดาย
แต่การฝึกให้สำเร็จถึงขั้นกลางในเวลาเพียงคืนเดียวนั้น ในประวัติศาสตร์ของลัทธิสยบฟ้ายังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน
สัญลักษณ์ัปรภพช่วยให้การเรียนรู้ของหลงอวี้เร็วกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เพราะว่ามันช่วยทำให้ลมปราณในตัวเขาโคจรไปตามหลักของวิทยายุทธ์วิชานั้นๆ ได้
แค่เื่นี้ก็ทำให้ผู้าุโประจำหอวิทยายุทธ์ตื่นตะลึงได้แล้ว
“วายุก้าวพริบตา สำเร็จขั้นกลาง!”
หลงอวี้ลุกขึ้นอีกครั้ง ัักับร่างกายที่เบาบางราวกับสายลม ลมปราณภายในตัวไหลเวียน เพียงรวบรวมลมปราณไว้ที่ขาทั้งสองข้าง เขาก็จะเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นถึงห้าส่วน
อีกทั้งการใช้วิชาวายุก้าวพริบตาก็ไม่ได้สิ้นเปลืองลมปราณมากนัก สามารถใช้ได้ตลอดการต่อสู้
“ไม่แปลกใจที่วิทยายุทธ์ประเภทท่าร่างจะเป็ที่นิยมกว่าประเภทโจมตีป้องกันทั้งการไล่ตามหรือหลบหนีล้วนจำเป็ต้องพึ่งท่าร่างทั้งสิ้น”
สำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์ในแผ่นดินเทียนอวี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร?
ก็ต้องเป็ชีวิตอยู่แล้ว!
เทียบกับวิทยายุทธ์ประเภทโจมตีกับป้องกันแล้ว ประเภทท่าร่างนั้นมีผลลัพธ์ในการเอาชีวิตรอดได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
วิชากายาพิชิตมารสำเร็จขั้นต้น ท่าร่างวายุก้าวพริบตาสำเร็จขั้นกลาง หอวิทยายุทธ์ใกล้จะถึงเวลาปิดแล้ว หลงอวี้รู้สึกว่าเท่านี้น่าจะพอใช้ได้ จึงลุกขึ้นเดินออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังประตูทางออกหอวิทยายุทธ์ทันที
หลงอวี้ใช้หัวเข่าคิดก็รู้ว่า นอกหอวิทยายุทธ์ในตอนนี้ต้องมีพวกเฟิงหยางยืนรออยู่แน่ และอาจมีคนอื่นอยู่ด้วย แต่เขาก็ไม่ได้หวาดกลัว ซ้ำยังรอคอย่เวลานี้มาเนิ่นนาน
‘เฟิงหยาง เ้ายึดตราประจำตัวของข้าไป เหยียดข้าดุจเศษสวะ เช่นนั้นก็แสดงให้ข้าเห็นหน่อยเถอะว่าเ้าแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงหรือไม่!’
หลงอวี้คิดในใจก่อนก้าวเท้าออกไปนอกหอวิทยายุทธ์!
แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงพึมพำด้วยความพอใจของชายชรา
“เด็กคนนี้มีพร์ยอดเยี่ยมจนน่าใ ดูท่าหลังจากนี้ ลัทธิสยบฟ้าของเราจะมียอดฝีมือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ให้เข้าไปแย่งชิงความเป็ใหญ่กับเหล่าอัจฉริยะมากมายในอาณาจักรต้าถังแล้ว...”
......
แสงจันทร์ส่องสว่างงดงามราวกับไหมเงิน เงาต้นไม้มากมายทับซ้อน บนลานกว้างนอกหอวิทยายุทธ์ มีลูกศิษย์ระดับล่างของลัทธิสยบฟ้ารวมตัวอยู่นับร้อย ต่างจับจองที่นั่งของตัวเองเตรียมรอชมเื่สนุกที่กำลังจะเกิดขึ้น
เวลาเที่ยงคืน ลูกศิษย์คนอื่นๆ ในหอวิทยายุทธ์ได้กลับไปหมดแล้ว ตอนที่หลงอวี้ออกมา เงาร่างอันโดดเดี่ยวภายใต้แสงจันทร์ของเขาจึงดูโดดเด่นเป็พิเศษ
ทันทีที่เขาปรากฏตัว บรรยากาศด้านนอกหอก็เปลี่ยนไป
“รีบมาดูเร็ว ในที่สุดไอ้หนูนั่นก็ออกมาแล้ว ย่างก้าวแ่เบา ดูท่าจะบรรลุวิชาท่าร่างบางอย่างได้แล้ว!”
“ออกมาแล้วจริงๆ ด้วย ปล่อยให้รอเสียนาน หวังว่ามันจะไม่ใจนคุกเข่าร้องขอชีวิตหรอกนะนะ ไม่อย่างนั้นเราคงเสียเวลาไปเปล่าๆ แน่เลย”
“หึ ต่อให้มันคุกเข่าอ้อนวอนก็ไม่รอด ศิษย์น้องถานเยว่จะยอมปล่อยมันไปเรอะ”
ผู้คนพากันวิเคราะห์ วิจารณ์ไปต่างๆ นานา สายตาที่มองหลงอวี้ส่วนใหญ่ล้วนแฝงความรู้สึกดูถูกเย้ยหยัน พวกเขาคิดว่าเ้าหมอนี่ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย เพิ่งเข้าลัทธิได้ไม่ทันไรก็ทำตัวอวดดีขนาดนี้แล้ว ต้องถูกสั่งสอนให้รู้จักเจียมตัวเสียบ้าง
แต่พวกเขากลับไม่คาดคิดว่า ทุกสิ่งที่หลงอวี้กำลังเผชิญอยู่นั้นล้วนเกิดจากการถูกบีบบังคับทั้งสิ้น
และตอนนี้ ผู้ที่บีบบังคับเขาก็อยู่ตรงหน้าแล้ว
“เฟิงหยาง ข้าออกมาแล้ว”
หลงอวี้ที่เพิ่งออกมาจากหอวิทยายุทธ์ ก็เห็นเงาร่างอันสูงใหญ่ท่ามกลางฝูงชนของเฟิงหยางทันที เขาพูดออกไปด้วยแววตาเฉยชา
“ไอ้สวะ อุตส่าห์กล้าออกมาอีกนะ”
เฟิงหยางลุกขึ้น มองหลงอวี้ด้วยสายตาเหยียดหยาม
“ตอนนี้ข้าจะทำให้เ้าได้รู้ซึ้งว่า การที่สวะอย่างเ้ามาท้าประลองกับข้ามันเป็การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงใด!”
“ผิดพลาดหรือไม่ เดี๋ยวเ้าก็รู้ เ้าพกโอสถชิงหัวมาด้วยหรือเปล่า”
หลงอวี้โบกมือเปลี่ยนคำถามอย่างไม่ยี่หระ
“โอสถชิงหัว หึ เ้าคิดว่าจะชิงโอสถชิงหัวไปได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
เฟิงหยางหัวเราะ สีหน้าดูแคลนสุดขีด ไอ้สวะหลงอวี้มันคิดว่าจะชนะเขาได้จริงๆ หรือ ฝันลมๆ แล้งๆ!
“เห้ยๆ นัดต้องเป็นัดสิ เ้าเป็ถึงลูกผู้ชายอกสามศอก จะพูดแล้วคืนคำไม่ได้นะ!”
ในตอนนั้นเอง ร่างอันน่าทะนุถนอมได้ะโออกมาจากด้านข้าง เป็เลี่ยวเล่อเล่อที่วิ่งหนีไปก่อนหน้านี้นั่นเอง!
เพียงแต่เลี่ยวเล่อเล่อในตอนนี้ เปลี่ยนไปสวมชุดสีเทาแทน ดูก็รู้ว่าไม่ใช่เครื่องแบบของลัทธิสยบฟ้า อีกทั้งด้านหลังของนางยังสะพายถุงผ้าถุงหนึ่งไว้ท่าทางเตรียมพร้อมหนีตลอดเวลา
หลงอวี้เห็นเช่นนั้นก็อดยิ้มไม่ได้
“เลี่ยวเล่อเล่อ นี่เ้าเตรียมตัวรอให้ข้าแพ้แล้วหนีออกจากลัทธิสยบฟ้าทันทีเลยหรือไง?”
เลี่ยวเล่อเล่อหันมาค้อนควักใส่
“เหลวไหล ข้าเลี่ยวเล่อเล่อผู้นี้จะเป็พวกชั้นต่ำที่ไม่รักษาสัญญาได้อย่างไร ที่ข้าเตรียมตัวแบบนี้ก็เพราะถ้าเ้าเป็ฝ่ายแพ้ ข้าจะได้ย้ายไปอยู่กับไอ้หมูตอนนั่นเลยอย่างไรล่ะ!”
หมูตอน!
เฟิงหยางได้ยินเช่นนั้นก็หน้าเขียวไปทันที นังบ้านี่บังอาจเรียกเขาว่า ‘หมูตอน’อย่างนั้นเหรอ มันน่าโมโหชะมัด!
แต่พอได้เห็นท่าทางของเลี่ยวเล่อเล่อแล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่านังบ้านี่คิดอะไรอยู่
“หึ ไอ้สวะหลงอวี้ เดี๋ยวพอเ้าแพ้แล้ว ต่อให้นังบ้านี่คิดหนีก็หนีไม่รอดแน่ เพื่อป้องกันไม่ให้เ้ากล่าวหาว่าข้าผิดคำพูด ข้าจะพกโอสถชิงหัวนี่ติดตัว ถ้ามีปัญญาก็มาเอาไปเลย!”
เฟิงหยางกระแทกเสียงออกมา ร่างมหึมาเคลื่อนตัวไปข้างหน้า เพียงครู่เดียวก็มาถึงใจกลางลานกว้าง เข้าเผชิญหน้ากับหลงอวี้!