เมื่อพูดถึงพวกเฮยชี
พวกเขาทั้งห้าลากร่างกายที่หมดสภาพไม่มีชิ้นดี เดินทางรวดเร็ว ไม่กล้ารีรอแม้สักครู่
พวกเขาจึงออกมาจากป่าสายหมอกอย่างรวดเร็ว
เป็ยามเช้าตรู่ที่ท้องฟ้าเพิ่งจะสาง
ยามนี้ พวกเสิ่นซือหยางเองก็ออกมาแล้ว กำลังรออยู่ด้านนอกป่าสายหมอก
เพียงแวบแรกพวกเสิ่นซือหยางก็เห็นพวกเฮยชีทั้งห้าคน เสื้อผ้าบนร่างกายขาดวิ่น บนร่างมีาแถูกสัตว์ป่ากัดไม่น้อยไม่ใหญ่ ราวกับเพิ่งผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมา
ทว่า...ทว่าพวกเขากลับไม่เห็นมู่จื่อหลิง
พวกเฮยชีที่รีบร้อนมาทั้งทางจนเหนื่อยหอบ กลับไม่สนใจจะหายใจ วิ่งเหยาะๆ ไปเบื้องหน้าเสิ่นซือหยางอย่างเร่งรีบ
เมื่อเห็นเช่นนั้นเสิ่นซือหยางก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี หัวคิ้วเขาขมวดน้อยๆ “หวางเฟยเล่า?”
“โอ้กๆๆ” นายน้อยเล่า นายน้อยเล่า
เสี่ยวไตกูที่เดิมหมอบอยู่บนมือเสิ่นซือหยางอย่างเรียบร้อย ไม่เห็นมู่จื่อหลิงก็ร้องขึ้นมาอย่างร้อนรนในทันที
“ใต้เท้า หวางเฟยนาง...นางหายสาบสูญไปแล้ว” เฮยชีรู้สึกผิดนัก น้ำเสียงเจือไปด้วยความโทษตนเอง
“เล่า เกิดเื่ใดขึ้น?” สีหน้าเสิ่นซือหยางเย็นจัด ในใจหดหู่ ท่าทางเผยให้เห็นความว้าวุ่นบางๆ
“ใต้เท้า การเดินทางพวกเราราบรื่นไปทั้งทาง เพียงแต่ต่อมา...” เฮยอู่นำเื่ของพวกเขาที่เกิดขึ้นในป่าสายหมอกบอกกับเสื่นซือหยางโดยไม่ตกหล่น
“เลอะเทอะ” สีหน้าของเสิ่นซือหยางเปลี่ยนไปทันที คิ้วทั้งสองข้างขมวดแน่น สีหน้าปรากฏความตื่นใ
เมื่อคืน พวกเขาก็ได้ยินเสียงเสือขู่หมาป่าหอนที่ดังก้องในบริเวณป่าลึก ในใจเขาก็กังวลอยู่ลางๆ เกิดเื่จริงๆ
“โอ้กๆๆ” ไม่มีทาง นายน้อยไม่มีทางเป็อะไรไป
เสี่ยวไตกูฟังเฮยอู่พูดจบ ก็ร้องอย่างกังวล ขยับเล็กน้อย แล้วลำแสงสีม่วงสายหนึ่งก็หายไปต่อหน้าคนทั้งหมดด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบเพียงชั่วพริบตา วิ่งเข้าไปในป่าสายหมอก
ตอนที่พวกเสิ่นซือหยางได้สติกลับมา้าจะตามไป เสี่ยวไตกูก็หายไปในป่าสายหมอกแล้ว
“ข้าน้อยมีความผิด ไม่ได้ปกป้องหวางเฟยให้ดี ใต้เท้าโปรดลงโทษ” พวกเฮยชีคุกเข่าลงต่อหน้าเสิ่นซือหยางอย่างพร้อมเพรียง ก้มศีรษะลงต่ำ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดและละอายใจ
“ลงโทษ? กลับเข้าไปหาให้ข้าทั้งหมด มีชีวิตรอดต้องเห็นคน สิ้นลมต้องเห็นร่าง เฮยอีกลับไปที่ศาลต้าหลี่ ส่งคนทั้งหมดมาช่วยค้นหา” เสิ่นซือหยางสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง ส่งเสียงอย่างเด็ดขาด ใบหน้าที่ไม่ยิ้มแย้มในที่สุดก็มีร่องรอยโทสะที่ยากต่อการปกปิด
เขาเสียใจในภายหลังแล้ว เขาไม่ควร ไม่ควรเห็นชอบให้เด็กสาวคนนั้นนำกลุ่มค้นหาด้วยตนเอง
เดิมในป่าสายหมอกก็อันตรายยิ่งนัก ต่อให้หลบการจู่โจมของสัตว์ร้ายไปได้อย่างหวุดหวิด ก็หลบการทำร้ายของผู้มีเจตนาไม่พ้น และหนีการไล่ล่าของฝูงสัตว์ป่าไม่พ้นเช่นกัน
เผชิญกับฝูงหมาป่าที่ดุร้ายโเี้ ต่อให้เด็กสาวผู้นั้นจะเฉลียวฉลาดขึ้นไปอีก ใช้ยาพิษเชี่ยวชาญขึ้นไปอีก แต่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ก็ไร้ประโยชน์
สตรีบอบบางมือเปล่าไร้อาวุธเช่นมู่จื่อหลิง จะวิ่งหนีฝูงหมาป่าที่เกิดและเติบโตในป่าไปได้อย่างไร? จะสู้กับหมาป่ามือเปล่าได้อย่างไร?
ั์ตาของเสิ่นซือหยางปรากฏความสิ้นหวังที่ไม่เคยมีมาก่อน
มีชีวิตอยู่ต้องเห็นคน ตายไปต้องเห็นศพ! ก็แค่การปลอบโยนตนเองเท่านั้น
ถูกฝูงหมาป่าไล่ล่า ถ้ามู่จื่อหลิงยังมีชีวิตรอดก็ช่างเถิด ถ้าตายแล้ว เช่นนั้นต้องตายไม่เห็นศพเป็แน่
นอกเสียจากว่ามีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริงๆ มิเช่นนั้นก็คงจบชีวิตลงจริงๆ
เฮยอีรีบร้อนรับคำ แล้วไปที่ศาลต้าหลี่อย่างเร่งรีบ
ทว่าในเวลานี้เอง บนถนนใหญ่ใกล้ๆ ก็มีเสียงเกือกม้าดังก้องกังวานลอยมา ทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวไปของพวกเขาชะงักลงโดยทันที
เสียงเกือกม้าใกล้เข้ามาจากไกลๆ
ราวกับแค่เวลาในชั่วพริบตา เสียงลากยาวกู่ก้องที่ะเืฟ้า ทะลุท้องนภาก็ดังกลบเสียงทั้งสี่ทิศรอบตัว
จากนั้น เสียงกู่ก้องก็หยุดลงกะทันหัน อาชาสีดำงดงามไม่ธรรมดาก็หยุดลงตรงหน้าคนทั้งหมดอย่างหยิ่งยโส
คนทั้งหมดล้วนตื่นใจนไม่อยากจะเชื่อ
อาชาสีดำตัวนี้ในแผ่นดินใหญ่ิเยว่ สามารถพูดได้ว่าไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก
อาชาสีดำที่สูงศักดิ์ตลอดกาล...อาชาเปินเหลย!
ทว่า สิ่งที่พวกเขาตื่นใมิใช่เพียงแค่อาชาเปินเหลยที่หยิ่งยโสไม่ธรรมดาตัวนั้น สิ่งที่น่าตื่นใยิ่งกว่าคือผู้ที่ขี่อาชาเปินเหลยอยู่ต่างหาก
ผู้ที่พวกเขาคาดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง
เห็นเขาสวมใส่อาภรณ์สีเข้ม ไร้ลวดลาย ไร้อัญมณีเครื่องประดับ เครื่องประดับเพียงหนึ่งเดียวก็คือกระบี่อ่อนสีม่วงที่ม้วนอยู่รอบเอวต่างเข็มขัด
การจับคู่สองสีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อประดับอยู่บนตัวเขากลับเข้ากันอย่างน่าประหลาด ไร้ซึ่งความรู้สึกว่าไม่เข้ากัน
ความน่าเกรงขามอันติดตัวมาั้แ่กำเนิด ความยอดเยี่ยมในทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหว หยิ่งทระนง ราวกับาาผู้ปกครองใต้หล้า
เขาผู้มีความน่าเกรงขามและสูงศักดิ์เกินกว่าจะเทียบ ทั้งตัวแผ่บรรยากาศเ็ามิให้คนเข้าใกล้ ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าจ้องมองตรงๆ เคารพนอบน้อมอยู่ห่างๆ
“ข้าน้อยคารวะฉีอ๋อง ขอให้ฉีอ๋องอายุยืนพันปีพันปีพันพันปี” เสิ่นซือหยางได้สติกลับมาก่อน โค้งคำนับด้วยความนอบน้อม
พวกเฮยชีข้างหลังเขาใจนคุกเข่าหมอบอยู่กับพื้นในทันที ก้มศีรษะลงไม่กล้าขยับเขยื้อน
พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าฉีอ๋องจะมา
เหตุใดฉีอ๋องถึงมาได้?
หรือว่ามาเพราะคดีขององค์ชายห้า? หรือว่ามาเพราะฉีหวางเฟย?
ทว่าความจริงนั้นเป็อย่างหลัง
หลงเซี่ยวอวี่ก้มตัวลงมา กวาดสายตามองคนทั้งหมดอย่างเย็นเยียบ สายตาหนาวเหน็บคมปลาบ ราวกับกระบี่เย็นเยียบที่คมกริบและพร่างพราย
คิ้วกระบี่ของเขายกขึ้นน้อยๆ สายตาลุ่มลึกเย็นเฉียบราวกับบ่อน้ำแข็ง แผ่ความกดดัน น้ำเสียงเฉียบขาด “ฉีหวางเฟยเล่า?”
หลงเซี่ยวอวี่ได้รับข่าวั้แ่เช้า กุ่ยเม่ยส่งองครักษ์เงาเข้าไปค้นหาในป่าสายหมอกทั้งคืน คาดไม่ถึงว่าจะไม่พบร่องรอยของพวกมู่จื่อหลิง
ในระหว่างนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้พิษที่ซ่อนตัวอยู่คอยก่อกวนการค้นหาขององครักษ์เงาไปทั้งทาง
ต่อมา องครักษ์เงาก็ได้ยินเสียงเสือคำรามหมาป่าหอนมาจากที่เดียวกันในป่าลึก รอจนยามที่พวกเขาไปถึงก็เห็นเพียงเสือที่ถูกยาพิษ ส่วนหมาป่านั้นไม่เห็นแม้แต่เงา
จากนั้น องครักษ์เงาก็พบทหารที่าเ็และอิดโรย สีหน้าร้อนใจ พยุงกันออกไปจากป่าสายหมอก แต่กลับไม่มีเงาของมู่จื่อหลิงเช่นเดิม
ตอนที่กุ่ยเม่ยไปรายงาน เขารู้สึกได้ว่ามีความรู้สึกกระวนกระวายบังเกิดขึ้นในหัวใจอย่างรางๆ ผู้ที่ทำให้องครักษ์ที่ฝึกฝนมาจากอวี่กงหาทั้งคืนก็ยังหาไม่พบ ได้แต่พูดว่าสตรีโง่งมผู้นั้นเกิดเื่ขึ้นจริงๆ แล้ว
ทันทีที่คำพูดเรียบง่ายเพียงสี่คำของหลงเซี่ยวอวี่ออกมา บรรยากาศโดยรอบที่ถูกแสงอาทิตย์สาดส่อง ก็ลดลงจนถึงจุดเยือกแข็งในชั่วพริบตา ความหนาวเหน็บอันเย็นเยียบเสียดแทงกระดูกราวกับกระบี่คมกริบ แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของทุกคน
บรรยากาศโดยรอบประหนึ่งปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง คนทั้งหมดรู้สึกว่าหัวใจทั้งเย็นเฉียบและสั่นระรัว ไอเย็นเยียบที่ไม่เคยมีมาก่อน ในชั่วขณะนั้นก็ไหลเข้าสู่กระดูกในแขนและขา
แม้พวกเขาจะคาดเดาได้ว่าฉีอ๋องมาในครานี้ อาจจะมาเพราะฉีหวางเฟย แต่เมื่อได้ยินกับหูตนเอง ความรู้สึกกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สี่คำที่หนาวเหน็บไปถึงกระดูกนั้น เสมือนกับคำชี้ชะตาของพญายม
หัวข้อนี้ เพียงชั่วพริบตาก็ทำให้ในใจเสิ่นซือหยางที่ซื่อตรงเที่ยงธรรมปรากฏความหวาดกลัวไม่ทราบชื่อ
เขาคุกเข่าลงกับพื้นจนเกิดเสียงตุ้บ สีหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ “ข้าน้อยประมาท เมื่อคืนหวางเฟยถูกฝูงหมาป่าไล่ตาม ยามนี้ไม่รู้”
เสิ่นซือหยางยังไม่ได้พูด ‘หายสาบสูญ’ คำนี้ออกมา ก็ถูกไอสังหารเย็นเยียบอันเข้มงวดตัดบท “ต่อให้ต้องพลิกทั้งป่าสายหมอก ก็ต้องหานางให้เจอ”
สิ้นคำพูด ได้ยินเพียงอาชาเปินเหลยส่งเสียงร้องยาว ตะกุยสี่เท้า พัดละอองดินฟุ้ง วิ่งห้อเข้าไปในป่าสายหมอก...
ในเวลาเดียวกันนี้ กุ่ยหยิ่งกุ่ยเม่ยก็ควบม้ามาถึงอย่างเร่งรีบ พวกเขาชำเลืองมองคนกลุ่มนั้นที่ตัวสั่นงันงก
ทั้งสองคนสบสายตากันอย่างเคร่งขรึม เข้าใจกันโดยไม่ต้องปริปากพูด
พวกเขาย่อมได้ยินประโยคสุดท้ายที่หลงเซี่ยวอวี่ทิ้งไว้ ป่าสายหมอกกว้างใหญ่เพียงใดนั้นพวกเขาไม่รู้ แต่ถ้าหาหวางเฟยไม่พบ ไม่ว่าผืนป่ากว้างใหญ่แค่ไหนก็ต้องถูกทำให้ราบเป็หน้ากลอง
กุ่ยหยิ่งส่งสัญญาณพิเศษขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่กล้ารั้งอยู่สักชั่วขณะ จากนั้นทั้งสองคนจึงติดตามหลงเซี่ยวอวี่ไปติดๆ
กระทั่งเศษฝุ่นที่ลอยฟุ้งไปทั่วท้องฟ้าตกลงมา
คนทั้งหมดถึงเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวังและกระวนกระวาย เมื่อมองไปทางป่าสายหมอกด้วยใจที่หวาดผวา เงานั้นก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
‘ต่อให้ต้องพลิกทั้งป่าสายหมอกก็ต้องหานางมาให้เปิ่นหวาง’ ประโยคนี้หลอกหลอนอยู่ในหัวคนทั้งหมดไม่จากไปไหนอยู่นาน
ประโยคที่เด็ดเดี่ยวหนักแน่นเพียงนี้ เพียงพออธิบายฐานะของฉีหวางเฟยในใจของฉีอ๋อง
ฉีอ๋องผู้เ็าไร้ความปรานี คาดไม่ถึงว่าจะมีเวลาที่ใจร้อนรนดั่งไฟ
ใจของฉีอ๋องร้อนรน เพราะสตรีเพียงผู้เดียว...มู่จื่อหลิง
เื่นี้ใหญ่จริงๆ ไม่เพียงแค่เพราะการหายตัวไปของฉีหวางเฟย แต่ยิ่งไปกว่านั้นเป็เพราะฐานะของฉีหวางเฟยในใจฉีอ๋อง
ชั่วขณะนี้ พวกเขารู้เพียงว่า...จบเห่แล้ว!
จวบจนบัดนี้พวกเขาก็ไม่มีความหวังแม้แต่น้อย
ถ้าหาฉีหวางเฟยไม่เจอจริงๆ ถ้าฉีหวางเฟยสิ้นลมหายใจในสภาพไม่สมบูรณ์จริงๆ ฉีอ๋องบันดาลโทสะขึ้นมา พวกเขาทั้งหมดคงจบสิ้นแล้ว
และผู้ที่เกี่ยวพันกับคดีนี้จะหนีรอดสักกี่คน?
เสิ่นซือหยางส่ายศีรษะพลางถอนหายใจอย่างอดไม่อยู่ เขานึกไม่ถึงว่าเด็กสาวเฉลียวฉลาดน่าพิศวงผู้นั้นจะพิเศษจนทำให้หลงเซี่ยวอวี่สนใจได้
แต่ตอนนี้ สนใจก็ดี ไม่สนใจก็ช่าง หากหาคนไม่เจอ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไร้ค่า
-
เวลาเที่ยงวันใกล้จะมาถึงอย่างไม่รู้ตัว
มู่จื่อหลิงไม่กล้าหมกมุ่นกับการสกัดยาในระบบซิงเฉินมากเกินไป อย่างไรเสียก็อยู่ในถิ่นของสัตว์ป่า ทั้งยังอยู่บนต้นไม้สูง นางเกรงว่าจะไม่ระวังจนตกลงไป
นางจะตื่นขึ้นมาใน่เวลาที่ห่างกันสั้นๆ หนึ่งครั้ง ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาหมาป่าก็ยังคงไม่จากไปไหน
เย่จื่อมู่ก็ยังคงกอดอกปิดตางีบหลับอย่างสบายๆ ราวกับมองไม่เห็นหมาป่าที่ดุร้ายใต้ต้นไม้
ในที่สุด...
“พ่อค้าหน้าเื หมาป่าฝูงนี้ดูเหมือนจะมีความสามารถยิ่งนัก ไม่มีความคิดจะไปเลยแม้แต่น้อย มิอาจรอต่อไปได้แล้ว ขืนรอต่อไปอีกพวกเราคงได้หิวตายอยู่บนต้นไม้” มู่จื่อหลิงเท้าคางอย่างหงุดหงิด มองฝูงหมาป่าใต้ต้นไม้
เย่จื่อมู่ลืมตาขึ้นน้อยๆ ริมฝีปากสีชมพูที่ค่อยๆ กลับมามีสีเืยกขึ้นน้อยๆ “เถ้าแก่มู่ ที่แท้ท่านก็้ารอให้สุนัขหมาป่าจากไปนี่เอง เช่นนั้นท่านต้องรอหน่อยแล้ว ไม่ถึงสิบวันพวกมันก็ไม่มีทางไป”
“อะไรนะ? ท่านก็รู้อยู่แล้ว เหตุใดยังต้องพูดว่ารอพวกมันไปเล่า?” มู่จื่อหลิงเบิกตากว้างขึ้นมาทันที กระวนกระวายโดยพลัน
ล้อเล่นอันใดกัน ถ้าสิบกว่าวันสุนัขหมาป่าไม่หิวตาย พวกเขาก็คงต้องหิวตาย พ่อค้าหน้าเืผู้นี้ยังจะให้รอ? รอได้ด้วยหรือ?
“ข้าพูดั้แ่เมื่อใดว่ารอให้สุนัขหมาป่าจากไป?” เย่จื่อมู่พูดอย่างไม่ใส่ใจ
มู่จื่อหลิงค้อนใส่เขาอย่างไม่พอใจ “ตอนเช้าตรู่เ้าไม่ได้พูดว่าต้องรอหรือ?”
“อืม เช่นนั้นก็รอต่อไป” เย่จื่อมู่ระบายยิ้มอย่างเกียจคร้าน
...ยังรอ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้