พวกเขาไม่กี่คนขึ้นรถลาจางเหล่าซานบังคับรถลามุ่งหน้าสู่หมู่บ้านชิงอวี่
ตอนมาสกุลอวี๋ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยฉีเกอเอ๋อร์ไว้ที่สกุลอวี๋ยามนี้เด็กคนนั้นกำลังตั้งใจเรียนรู้ตัวอักษรกับอวี๋ฉี่เจ๋ออยู่ในห้องอย่างตั้งอกตั้งใจจางเหล่าซานกับภรรยาดีใจยิ่งนัก กล่าวตามตรงก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ส่งบุตรไปเรียนเพราะโรคลมชักของฉีเกอเอ๋อร์ยามนี้โรคภัยหายดีแล้ว กำลังเตรียมการเื่นี้พอดี
หลังจากมารับฉีเกอเอ๋อร์ครอบครัวจางเหล่าซานทั้งสามคนจึงพากันเดินทางจากไป
อวี๋หรูไห่เอ่ยถามอวี๋เจียวอย่างรอไม่ไหวว่า “สกุลจางให้เงินค่ารักษามาเท่าใด?”
อวี๋เจียวนำเงินห้าตำลึงออกมาวางลงบนโต๊ะ “สิบตำลึงเ้าค่ะ”
อวี๋หรูไห่คว้าเงินห้าตำลึงบนโต๊ะ ยินดีปรีดาจนไม่อาจหักห้ามตนได้เขาใช้ฟันลองกัดดู ตามด้วยถูลงบนร่าง ดวงตาชราทั้งสองข้างเป็ประกายมุมปากฉีกกว้างจนเกือบถึงใบหู หากเป็เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆสกุลอวี๋ของพวกเขาไม่รุ่งเรืองก็คงจะยาก
สตรีแซ่จ้าวและสามีจดจ้องเงินนั้น ภายในใจต่างรู้สึกไม่ยินดีเมื่อลองคำนวณดู ในมือของอวี๋เจียวมีเงินสิบกว่าตำลึงแล้วนอกจากนั้นล้วนแต่เป็เงินส่วนตัวของนางเอง หากเงินเหล่านี้เป็ของครอบครัวสามจะดีเพียงใด
สตรีแซ่จางของครอบครัวใหญ่เผยสีหน้ายินดี เมื่อลองคำนวณโดยคร่าวตอนนี้ในจวนจะต้องมีเงินมากพอจะส่งจือโจวไปเรียกในสำนักศึกษาระดับอำเภอเช่นกัน
นางพลันเอ่ยออกไปว่า “ต้องพึ่งวาสนาของแม่หนูเมิ่งแล้วจริงๆถึงหาเงินเข้าจวนได้ไม่น้อย ท่านพ่อตอนนี้นับได้ว่าการเงินในจวนของพวกเรามีฐานะดีแล้วจือโจวจะได้ไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอพร้อมกับจิ่นซูแล้วใช่หรือไม่เ้าคะ?”
ยังไม่ทันกำเงินในมือจนอุ่นเมื่อคิดว่าต้องส่งจือโจวไปสำนักระดับอำเภออีกคนเกรงว่าหีบเงินในจวนจะต้องว่างเปล่าเสียแล้วอวี๋หรูไห่รู้สึกเ็ปเนื้อหนังขึ้นมาทันใด เอ่ยอย่างขอไปทีว่า “นี่เพิ่งจะหาเงินได้เท่าใดกันพวกเ้าใหญ่ทั้งสองคนไม่ต้องร้อนใจถึงเพียงนี้ รอปีหน้า หรืออีกปีค่อยส่งจือโจวไปสำนักศึกษาระดับอำเภอ”
มีหรือสตรีแซ่จางจะยอม โชคดีที่บุตรชายคนโตชี้แนะนางมาก่อนนางจึงไม่โหวกเหวกโวยวายอีกครั้ง แต่เอ่ยวิงวอนว่า “หากพลาดปีนี้ไปจือโจวยังต้องรออีกสามปี ถึงตอนนั้นเขาจะหาคู่หมั้นหมายที่ดีได้อย่างไรเ้าคะ? ท่านพ่อ ท่านเมตตาจือโจวสักนิดหากเขาสอบติดบัณฑิตขึ้นมาก็จะได้สร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้สกุลของพวกเรามิใช่หรือเ้าคะ?”
สตรีแซ่อวี๋โจวขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสตรีแซ่จางไม่ยอมเพียงแต่ก่อนหน้านี้โหวกเหวกโวยวายไปแล้วรอบหนึ่งตอนนี้นางไม่อาจเอ่ยสิ่งใดมากความได้จริงๆไม่เช่นนั้นเกรงว่าคนครอบครัวใหญ่คงจะแค้นนางเจียนตาย!
นางชำเลืองมองไปทางอวี๋เจียวที่กำลังนั่งดื่มชาอย่างเอ้อระเหยสตรีแซ่อวี๋โจวมีแผนการในใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ภรรยาเ้าใหญ่มิใช่ว่าท่านพ่อของเ้าไม่เมตตาจือโจว แต่เงินทองในจวนมีจำกัดจริงๆหากเอาออกมาใช้ทั้งหมด เงินภายในจวนคงจะหมดเกลี้ยงแล้วจริงๆหากภายหน้ามีเื่เร่งด่วนอะไรคงไร้หนทางเสียแล้ว”
ครั้นได้ยินสตรีแซ่อวี๋โจวเอ่ยเช่นนี้สตรีแซ่จางกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง เพียงแต่ไม่รอให้นางระบายโทสะสตรีแซ่อวี๋โจวกลับเอ่ยเสริมว่า “สิ่งที่เ้าพูดมามีเหตุผล หากต้องรออีกสามปีคงจะสูญเสีย่วัยอันดีของจือโจวไปโดยเปล่าประโยชน์ ข้ากับท่านพ่อของเ้าย่อมไม่อาจหักใจ”
นางมองไปทางอวี๋เจียว เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพลางแย้มยิ้ม“มิสู้เอาเช่นนี้เถิด แม่หนูเมิ่ง ในมือเ้ามีเงินสำรองอยู่จำนวนไม่น้อยใช่หรือไม่? จือโจวจะไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอถือเป็เื่เร่งด่วนเช่นนั้นก็เอาออกมาให้จือโจวใช้ก่อนเถิด”
อวี๋เจียวที่กำลังดื่มชาชะงักชั่วครู่ นางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะดวงตาสุกสกาวดุจผลซิ่งฉายแววเย้ยหยัน ยายเฒ่าผู้นี้ใช้แผนการกับนางอีกแล้ววาจาช่างคล่องแคล่ว เอาออกมาใช้งั้นรึ กระทั่งเขียนสัญญากู้ยืมยังไม่มีเกรงว่าหากเอาออกไปใช้ในครั้งนี้คงไม่มีทางได้กลับคืนมาเสียแล้ว
ยุทธวิธีสี่ตำลึงปาดพันชั่ง [1] เช่นนี้เกรงว่าสตรีแซ่จางของครอบครัวใหญ่คงยินดีจะถูกหลอกใช้เช่นกัน
“นี่...” สตรีแซ่จางหันไปมองทางอวี๋เจียว ภายในใจสั่นไหวเล็กน้อยเพื่อให้จือโจวได้ไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอ นางจึงเอ่ยปากอย่างหน้าทนว่า“แม่หนูเมิ่ง มิเช่นนั้นก็เอาเงินของเ้าออกมาให้จือโจวใช้ก่อน? เ้าวางใจได้ รอกระทั่งภายหน้าจือโจวมีอนาคตขึ้นมาจริงๆครอบครัวใหญ่ของพวกเราจะไม่มีทางลืมพระคุณอันใหญ่หลวงของเ้าแน่นอน”
สตรีแซ่ซ่งที่คอยฟังอยู่ด้านข้างหันไปมองทางอวี๋เจียวอย่างค่อนข้างเป็กังวลนางคิดอยากจะปริปากปกป้องอวี๋เจียว แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะเริ่มอย่างไร
อวี๋เจียวแย้มยิ้มบาง หันไปมองทางสตรีแซ่จาง“ท่านป้าใหญ่อยากจะใช้เงินก็ย่อมได้”
สตรีแซ่จางเผยสีหน้ายินดีทันใด เอ่ยชื่นชมว่า “ป้าใหญ่รู้อยู่แล้วว่าเ้าเด็กคนนี้เป็คนจิตใจดีงามบุญคุณครั้งนี้ พวกเราครอบครัวใหญ่จะจดจำไปชั่วชีวิต”
น้ำเสียงของอวี๋เจียวพลันแปรเปลี่ยน “เพียงแต่จะต้องเป็การยืม เมื่อเป็การยืมมียืมก็ต้องมีคืนเ้าค่ะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของสตรีแซ่จางแข็งค้าง นางจดจ้องอวี๋เจียวชั่วครู่เมื่อเห็นว่าไม่เหมือนกำลังหยอกล้อจึงขมวดคิ้วอย่างไม่อาจเลี่ยง เงินสิบกว่าตำลึงเมื่อใช้ไปแล้ว บอกให้คืนก็จะคืนได้อย่างไร? ต่อให้ครอบครัวใหญ่ของพวกนางมีความสามารถหาเงินเป็เวลาสามถึงห้าปี แต่คงไม่อาจคืนเงินจำนวนนี้แล้วจะนับประสาอะไรกับยามนี้ที่ยังไม่แยกบ้าน สามีของตนไปล่าสัตว์เอาไปขายแลกเงินก็ได้เงินมาไม่เท่าใดเงินที่ได้มายังถูกท่านผู้เฒ่ากับฮูหยินเฒ่ารีดไถไปจนหมด
เมื่อเห็นแม่สามีไร้ความคิด หวังเมิ่งเยียนลอบส่ายหน้าพ่อและแม่สามีของตนเป็คนซื่อตรงจริงๆ ไม่มีลูกไม้มากมายถึงเพียงนั้นยังไม่รู้ว่าตนถูกผู้อื่นหลอกใช้เสียแล้ว
นางไม่อาจคอยดูอย่างเงียบเชียบ ย่อมต้องช่วยเหลือแม่สามีของตนเอ่ยออกไปว่า “ท่านปู่ ท่านย่าพี่รองกับพี่สี่ล้วนใช้เงินส่วนรวมไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอหากจือโจวไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอ ย่อมต้องใช้เงินส่วนรวมเช่นกันกระมัง?”
ดวงตาของสตรีแซ่จางเป็ประกาย เหตุใดนางถึงนึกไม่ถึงข้อนี้ นางพลันเอ่ยคล้อยตามทันใด“ใช่แล้ว จือโจวต้องใช้เงินส่วนรวมไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอหากจะยืมแม่หนูเมิ่ง ภายหน้าก็ต้องคืนด้วยเงินส่วนรวมเ้าค่ะ!”
เมื่อครู่สตรีแซ่อวี๋โจวลอบลำพองใจและทำราวเื่นี้ไม่เกี่ยวกับตนครั้นยามนี้ได้ยินวาจาเช่นนี้พลันขมวดคิ้วอย่างไม่อาจเลี่ยงชำเลืองมองไปทางหวังเมิ่งเยียนเพียงครู่ ครอบครัวใหญ่แต่งสะใภ้ที่ดีจริงๆ
ก่อนหน้านี้อวี๋หรูไห่ยังคิดว่าฮูหยินเฒ่าของตนมีความคิดที่ดีเดิมทีเงินในมือของเมิ่งอวี๋เจียวก็ควรเป็ของสกุลอวี๋หากจะเอาออกมาใช้ย่อมเป็สิ่งถูกต้องแต่เมื่อได้ยินว่าใช้คืนด้วยเงินส่วนรวมกลับไม่พอใจในทันใด เอ่ยด้วยใบหน้าไม่ยินดี“แม่หนูเมิ่ง พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกันคนในครอบครัวเดียวกันใช้เงินยังต้องคืนไม่คืนงั้นหรือ? เ้าเป็สตรีนางหนึ่งเก็บเงินมากมายเช่นนั้นไว้คนเดียวก็ไม่มีประโยชน์เอาออกมาให้พี่สามไปร่ำเรียนถึงจะเป็สิ่งที่ถูกต้อง”
เพราะกลัวว่าอวี๋เจียวจะเอ่ยสิ่งใดออกมาอีกอวี๋หรูไห่รีบมองไปทางสตรีแซ่ซ่ง เอ่ยต่อไปว่า “สะใภ้รองแม่หนูเมิ่งเป็คนครอบครัวรองของเ้าให้นางเอาเงินออกมาส่งจือโจวไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอครอบครัวรองของพวกเ้าไม่มีข้อโต้แย้งอะไรใช่หรือไม่?”
เมื่อเผชิญกับสายตาของอวี๋หรูไห่ สตรีแซ่ซ่งหดคอลงหากเป็เมื่อก่อน นางจะต้องไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดแน่นอน แต่ในยามนี้สตรีแซ่ซ่งหันไปมองอวี๋เจียว ท้ายที่สุดปลุกความกล้าเอ่ยออกมาว่า“ข้าไม่อาจตัดสินใจในเื่ของแม่หนูเมิ่งได้เ้าค่ะ”
อวี๋หรูไห่ปริปากเอ่ยตำหนิ “นางคือภรรยาของฉี่เจ๋อ เ้าเป็แม่สามีเหตุใดถึงตัดสินใจไม่ได้? เื่นี้ตกลงกันตามนี้...”
วาจาของเขายังไม่ทันสิ้นเสียงอวี๋เจียวพลันส่งเสียงหัวเราะแต่ไม่ได้ดูผิดจังหวะแต่อย่างใด“เงินของข้าย่อมต้องเป็ของข้า มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถตัดสินใจ!ในเมื่อพวกท่านไม่คิดจะใช้คืน ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องยืมแล้ว”
กล่าวจบ อวี๋เจียวหยัดกายลุกขึ้นเดินออกไปนอกห้องหลงเหลือไว้เพียงคนทั้งห้องที่ใบหน้าดำทะมึนดุจก้นหม้อและขมวดคิ้วด้วยความขุ่นเคือง
“นางต่อต้านแล้ว!” อวี๋หรูไห่เต้นผางด้วยความโกรธตะคอกไปทางสตรีแซ่ซ่ง “สะใภ้สกุลใดไม่เจียมตัวเช่นนางบ้าง!แม่สามีเช่นเ้าช่างไม่ได้เื่แม้แต่นิด! เ้าไปบอกฉี่เจ๋อสั่งให้เขาสั่งสอนภรรยาผู้นี้ของเขาให้ดีสตรีผู้หนึ่งเช่นนางยังจะเป็เ้านายครอบครัวรองของพวกเ้าได้งั้นหรือ?”
สตรีแซ่ซ่งถูกตะคอกจนใบหน้าซีดเผือด ลอบเอ่ยในใจว่าท่านเป็ถึงผู้นำครอบครัวยังทำอะไรไม่ได้ ผู้อื่นยังจะมีสิทธิ์เอ่ยสิ่งใดได้งั้นหรือ? จะว่าไปแล้วเงินที่แม่หนูเมิ่งหามาได้แบ่งครึ่งกับคนในสกุลแล้วส่วนที่เหลือก็คือเงินของนางผู้เดียว เหตุใดต้องเอาออกมาใช้โดยเปล่าประโยชน์เล่า
“แม่ชุน เ้าช่วยข้าเกลี้ยกล่อมแม่หนูเมิ่งสักหน่อยการส่งจือโจวไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอถือเป็เื่สำคัญมากสำหรับครอบครัวใหญ่ของพวกเราเ้าถือเสียว่าพี่สะใภ้ใหญ่ขอร้องเ้าแล้ว”สตรีแซ่จางมองไปทางสตรีแซ่ซ่งพลางเอ่ยขอร้อง
เชิงอรรถ
[1] ยุทธวิธีสี่ตำลึงปาดพันชั่ง เป็"หลักการ"การใช้แรงของเป็การเปลี่ยนทิศของแรงหรือยืมแรงฝ่ายตรงข้ามมาใช้ โดยฝ่ายตนใช้แรงเพียงนิดเดียว
สี่ตำลึงปาดพันชั่งเป็หลักปรัชญาเต๋า ปรากฏบันทึกอยู่ในคัมภีร์ไท้เก๊กแต่งโดยหวังจงเยว่ ตามจุดมุ่งหมายของคัมภีร์นี้คือเทคนิคและศิลปะการใช้แรงขั้นสูง เน้นที่การไม่ใช้แรงของตนเองไปปะทะแรงของคู่ต่อสู้ สามารถดึงพลังของคู่ต่อสู้ไปสู่ความว่างเปล่า หลีกเลี่ยงแรงปะทะตรงๆ ทำให้แรงที่มาจากภายนอกยากที่จะัักับร่างกายของตนเอง และใช้เทคนิคการปิดพลังเพื่อตัดกำลังคู่ต่อสู้ไม่ให้ปลดปล่อยพลังออกมาได้ นี่จึงเป็จุดเด่นเฉพาะตัวของวิชาไท้เก๊ก คำว่าสี่ตำลึงปาดพันชั่งก็คือการใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่าได้นั่นเอง
