สวี่รั่วโหรวกังวลมากจนจะร้องไห้เธอเบ้ปากเล็กน้อยและส่งสายตาอ้อนวอนให้ฉินเฟิงฉินเฟิงยิ้มและคีบเนื้อชิ้นสองชิ้นจากถาดของเขา “ทำไมรั่วโหรวจะไม่ชอบกินเนื้อล่ะ? รั่วโหรวแค่ไม่อยากกินเนื้อจากตะเกียบที่มันเปื้อนน้ำลายชาวบ้านมาเท่านั้นเองมันน่าขยะแขยงไม่ใช่เหรอ?”
“อ่ะนี่ รั่วโหรว กินเนื้อนี่สิ กินให้เยอะ นมจะได้โต”ฉินเฟิงคีบเนื้อไม่กี่ชิ้นยื่นมาให้สวี่รั่วโหรวเธอลังเลก่อนและยื่นถาดของเธอไปรับเนื้อ แล้วก็เริ่มกินด้วยความเอร็ดอร่อย
เมื่อเห็นอย่างนี้หวังเชาโกรธมากจนหน้าแดงอาหารที่เขาคีบมีน้ำลาย แต่อาหารที่ฉินเฟิงคีบมันไม่มีหรือไง? ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะถึงขั้นจูบกันแล้วเขาสงสัยว่าพวกนั้นทำอะไรที่ลึกซึ้งกว่านี้หรือเปล่า
หวังเชาไม่ยอมให้ฉินเฟิงขโมยอาหารอันโอชะอย่างสวี่รั่วโหรวไปได้เด็ดขาด
“รั่วโหรว จริงๆ แล้วอาหารในส่วนของพนักงานธรรมดาของโรงอาหารไม่ค่อยอร่อยมากนักเธอไม่เคยไปกินที่ส่วนของผู้จัดการระดับสูงใช่ไหม? ฉันเคยไปกับหัวหน้าหลี่มาครั้งหนึ่งและอาหารที่นั่นหอมกรุ่นมากเชฟทั้งหมดที่จ้างมาล้วนมาจากโรงแรมห้าดาวทั้งสิ้น...เมื่อมีโอกาสฉันจะพาเธอไปกินฝั่งนั้นกัน”
เมื่อเขากล่าวอย่างนี้หวังเชาก็อดไม่ได้ที่จะเชิดหัวมองเพดาน เขาจ้องฉินเฟิงอย่างพอใจเป็บางครั้ง
สวี่รั่วโหรวอดไม่ได้ที่จะะเิเสียงหัวเราะออกมาเธออยู่ในตำหนักฉินมาระยะหนึ่งแล้วและเธอก็รู้ว่าหัวหน้าเชฟของที่นั่นถูกจ้างมาจากโรงแรมห้าดาวอาหารในตำหนักฉินอร่อยจริงๆ เธอกับฉินเฟิงมีปัญญากินมันทุกวัน
“รั่วโหรว เธอหัวเราะเพื่อ? เธอคิดว่าฉันโม้ใช่ไหม?ฮ่าๆๆ ฉันจะบอกให้รู้นะว่า ฉัน หัวหน้าทีมหวัง ไม่เคยพูดจาโอเว่อร์พูดแต่เื่จริงเท่านั้น รอก่อนเถอะ ในสองวัน ถ้าแผนกการขายมีแขกพิเศษมาแล้วฉันก็จะมีโอกาสได้กินที่ฝั่งนั้น ถึงตอนนั้นฉันจะพาเธอไปและให้เธอมีประสบการณ์กับมันไม่งั้นเธอจะตามต้อยๆ และโดนพนักงานฝ่ายขายที่ไม่มีอนาคตหลอกเอาเราจะทำแบบนั้นไม่ได้”
ทั้งฉินเฟิงและสวี่รั่วโหรวตรวจพบคำพูดของหวังเชาในแง่อื่นสวี่รั่วโหรวเคืองเล็กน้อยเธอเข้ากับฉินเฟิงได้ค่อนข้างดีและคิดว่าเขาดูแลเธอได้ดี ดังนั้นเธอจึงไม่อยากได้ยินคนอื่นพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับตัวเขา
“หัวหน้าทีมหวัง ในเมื่อนายมีหน้ามากนักทำไมไม่พาสวี่รั่วโหรวไปกินที่ฝั่งไฮโซเพื่อประสบกับไอ้สิ่งที่เรียกว่าสังคมระดับสูงตอนนี้เลยล่ะ?”ฉินเฟิงไม่โกรธมันคงจะทำให้เกียรติภูมิของเขาตกต่ำลงถ้าโกรธกับคนอย่างหวังเชา
“วะ...วันนี้ไม่สะดวกน่ะ” ท่าทีของหวังเชาเปลี่ยนไปเขาดูเหมือนแมวที่โดนเหยียบหาง
“ไม่สะดวกอะไรล่ะ? หัวหน้าทีมหวังดีแต่พูดมันไม่ดีนะ” ฉินเฟิงยิ้ม
“แก...ฉันี้เีจะสนใจแกแล้ว” หน้าทั้งหน้าของหวังเชาดำมืดเขาเบือนหน้าหนีและไม่พูดอะไร
เขาพบว่าฉินเฟิงคือตัวอันตรายวันๆ มันไม่ทำอะไรเลยนอกจากคอยแขวะเขา
หัวหน้าทีมหวังโกรธมากที่เขาไม่สามารถหาคำใดๆมาเถียงฉินเฟิงได้ ในทางกลับกันเสี่ยวจางที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองดูฉินเฟิงด้วยความไม่พอใจ “ฉินเฟิง นายทำอะไร? นายพูดกับหัวหน้าทีมหวังอย่างนั้นได้อย่างไร? นายทำตัวอย่างกับตัวเองมีความสามารถมากนักถ้านายเจ๋งจริง ก็พาสวี่รั่วโหรวไปกินอีกฝั่งหนึ่งสิ”เสี่ยวจางใช้โอกาสทองนี้เลียขาและรู้สึกเป็สุข
หวังเชาหวั่นไหวสีหน้าหม่นหมองบนใบหน้าหายไปทันที เขาพยักหน้าให้กับเสี่ยวจางพร้อมกับประเมิน“สิ่งที่เสี่ยวจางบอกก็ค่อนข้างมีเหตุผล ท่าทีของสหายฉินเฟิงดูเกริ่นเป็นัยว่าตัวเองมีหน้ามากในบริษัทนี้มันคงจะง่ายที่จะไปไหนมาไหนเพื่อกินอีกฝั่งหัวหน้าทีมอย่างฉันไม่มีความสามารถจริงๆ ถ้าไม่ใช่สถานการณ์พิเศษฉันก็ไม่มีความสามารถที่จะไปกินฝั่งนั้นได้”
“ฉินเฟิง เปิดตาพวกเราที พารั่วโหรวไปกินอาหารดีๆ หน่อยเสี่ยวจางกับฉันจะได้เป็พยานความฉลาดของนาย”
“ใช่แล้วๆ ฉินเฟิง นายเจ๋งมาก นายทำเหมือนกับทุกอย่างมันง่ายไปหมดฉันล่ะสงสัยว่านายก่อตั้งบริษัทนี้หรือเปล่า ไปที่ฝั่งไฮคลาสและเอาอาหารกลับมาบ้างแล้วเราจะได้คุยกัน หัวหน้าทีมหวังครับ คุณเห็นด้วยหรือเปล่า?” เสี่ยวจางเลียขาหวังเชาแทบแฉะ
หวังเชายิ้มจนหุบไม่ลง
เช้านี้เขาเสียลูกน้องที่ซื่อสัตย์สองคนอย่างเสี่ยวชิวและเสี่ยวหม่าดังนั้นเขาจึงเริ่มมองหาลูกน้องคนใหม่ที่เชื่อถือได้เสี่ยวจางผู้นี้พาตัวเองมาถึงหน้าประตู เทียบกับเสี่ยวชิวกับเสี่ยวหม่าแล้วความสามารถในการเลียขาของเสี่ยวจางนั้นไร้เทียมทานฝีมือของเขาทำให้หวังเชามีความสุข
ด้วยความพึงพอใจอย่างนี้เขากวาดสายตาไปรอบๆ เขาเห็นเสี่ยวชิวและเสี่ยวหม่านั่งอยู่ไม่ไกลมากนักพวกเขาก็กำลังมองดูสถานการณ์ตอนนี้อยู่ หวังเชาส่งสายตาดูถูกเหมือนกับพูดว่า“แกเห็นไหม? แม้จะไม่มีพวกแกทั้งคู่มันก็ยังมีคนต่อแถวมาเลียขาพ่ออยู่ดี”
ในทางกลับกันเสี่ยวชิวกับเสี่ยวหม่ามองดูเสี่ยวจางด้วยความเห็นใจ พวกเขาคิดในใจว่าในไม่กี่วันเดี๋ยวมันก็ต้องเข้าโรงพยาบาล
“ในเมื่อหัวหน้าทีมหวังกับไอ้ขี้ประจบขอร้องฉันถึงขนาดนี้ฉันคงรู้สึกแย่ถ้าปฏิเสธ รั่วโหรว ไปกันเถอะ ไปกินที่ฝั่งไฮคลาสกันมันมีพวกแมลงวันที่คอยบินหึ่งๆ อยู่แถวๆ หูของเรา แค่ได้ยินก็รำคาญแล้ว”ฉินเฟิงยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มและยื่นมือไปหาสวี่รั่วโหรว
สวี่รั่วโหรวก้มหน้าอย่างเขินอายเธอจับมือฉินเฟิงและเดินไป
ขณะมองหลังของทั้งสองที่กำลังเดินไปยังฝั่งไฮคลาสเสี่ยวจางก็กัดฟันและด่าในใจ “แกสิไอ้ขี้ประจบ ขี้ประจบทั้งตระกูล”
“ฉินเฟิง ระ...เราจะไปฝั่งนั้นจริงๆ เหรอ? ระ...เรามีตำแหน่งสูงไม่พอนะ”สวี่รั่วโหรวกล่าวด้วยความกังวลใจนิดหน่อยเมื่อเห็นว่าพวกเธอกำลังเข้าไปในส่วนไฮคลาส
“แน่นอน ฉันรู้อยู่แล้ว พอดีฉันบังเอิญเห็นผู้ช่วยหานกำลังนั่งกินอยู่ดังนั้นเราจะแกล้งทำเป็ทักทายเพื่อให้หวังเชามันเคือง” ฉินเฟิงไม่หยุดเขาจับมือสวี่รั่วโหรวและเยื้องย่างเข้าไปในพื้นที่รับประทานอาหารระดับไฮคลาส
ตอนนี้หานอิ๋งอิ๋งกำลังนั่งกินอย่างสง่างามเธอถูกล้อมรอบด้วยไม้แกะสลักสองข้างผู้ชายนับไม่ถ้วนจากทุกทิศทางมีสายตาเกาะติดผนังกระจกห้องนั้นพวกเขามองผ่านและแอบดูหานอิ๋งอิ๋งที่อยู่ด้านในพวกเขารู้สึกถึงความงามราวกับชื่นชมดอกไม้ผ่านหมอก
มือของเธอถือส้อมและมีดอย่างอ่อนช้อยขณะกำลังกินสเต๊กการเคลื่อนไหวของเธออรชรและสง่างาม เธอหั่นสเต๊กเป็ชิ้นเล็กๆ ด้วยความประณีตนำเข้าริมฝีปากสีแดงสุดเซ็กซี่ของเธอ ปิดดวงตาอันงดงามของเธอเล็กน้อย ค่อยๆเคี้ยวมันและกลืนด้วยท่าทางมีเสน่ห์
สาวสวยที่ฉลาดและเซ็กซี่แบบนี้กลายเป็หัวข้อของคนระดับสูงหลังจากเข้าบริษัทมาได้ไม่นานอย่างไรก็ตาม เพราะเธอมีความเ็าและทิฐิเป็ปกติ และเป็ผู้ช่วยของท่านประธานฉินคนพวกนั้นจึงทำได้แค่แอบมองเธอแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปในห้องของเธอและรบกวนการกินของเธอ
ดังนั้นฉินเฟิงจึงทำลายกำแพงพิเศษนี้ ด้วยการจูงสวี่รั่วโหรว เขาเดินยิ้มเข้าไปในห้องของหานอิ๋งอิ๋ง
“ผู้ช่วยหาน ชีวิตคุณนี่ดีจริงๆ” หลังจากเข้าไปในห้องแล้วฉินเฟิงนั่งตรงข้ามหานอิ๋งอิ๋งอย่างไม่ใส่ใจเหมือนกับว่าเข้าบ้านตัวเอง
เมื่อหานอิ๋งอิ๋งได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาในห้องส่วนตัวของเธอชั้นน้ำแข็งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ แต่หลังจากได้ยินเสียงของคนคนนั้นชั้นน้ำแข็งก็หายไปกลายเป็สีหน้าอบอุ่นน่ารักขึ้นมาแทนเมื่อเธอเห็นสวี่รั่วโหรวยืนคุมเชิงอยู่ที่ประตูเพราะกลัวที่จะเข้าไปเธอก็กวักมือเรียกให้เข้ามา