หวังซิ่วอิงยืนเท้าเอวอยู่หน้าประตูห้องเก่าของซย่านี สีหน้าของเธอเ็ายิ่งนัก เธอจ้องมองซย่านีพร้อมกับถ่มน้ำลายออกมา “เก็บของอะไรของแก? ที่นี่มีอะไรที่เป็ของแกด้วยหรือไง? แกมันก็แค่เด็กบ้านนอกที่มาจากชนบท ตอนมาก็มาแต่ตัวข้าวของในบ้านล้วนแต่เป็ของของพวกเราตระกูลซ่ง! แกจะมาเก็บอะไรฮะ?”
ซย่านีมีสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะกล่าวโต้ตอบอีกฝ่ายว่า “คุณวางใจเถอะค่ะ ฉันจะไม่เอาของอะไรไปจากตระกูลซ่งทั้งนั้น! ฉันแค่มาเก็บเสื้อผ้าของฉันกับลูก และก็หนังสือของพวกเด็กๆ ก็เท่านั้น”
หวังซิ่วอิงยังคงขวางทางไม่ให้ซย่านีเข้ามาใกล้ประตู ทั้งยังกล่าวอย่างมั่นใจอีกว่า “เสื้อผ้าที่ลูกๆ ของเธอใส่อยู่ทุกวันนี้ มีตัวไหนบ้างที่ไม่ใช่ของตระกูลซ่งมอบให้กัน?”
หวังซิ่วอิงไม่กล้าว่าซย่านี นั่นก็เพราะว่าเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่ล้วนเป็เสื้อผ้าที่ซย่านีนำติดตัวมาจากชนบท และตลอดหลายปีมานี้เธอไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่เลยสักชุดเดียวแต่ซ่งวั่งซูและซ่งตงซวี่นั้นไม่เหมือนกัน เด็กเล็กเติบโตค่อนข้างเร็วเสื้อผ้าที่พวกเขานำมาด้วยเมื่อสองปีก่อนนั้นใส่ไม่ได้นานแล้ว ตอนนี้เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่เด็กทั้งสองสวมใส่กันอยู่เป็เสื้อผ้าที่หวังซิ่วอิงหามาให้จากชุดตอนเด็กของซ่งเสี่ยวสยา ทว่าเสื้อผ้าที่เอามาให้ก็มีแต่เสื้อผ้าสีเทา สีน้ำเงิน หรือไม่ก็สีเขียวแบบทหารที่ไม่ได้แบ่งแยกความต่างระหว่างเพศชายกับเพศหญิง
ซย่านีหัวเราะด้วยความโกรธ นี่หวังซิ่วอิงคิดว่าเธออาลัยอาวรณ์เสื้อผ้าโทรมๆ พวกนั้นหรือไง!
“ได้ ฉันไม่้าเสื้อผ้าของพวกคุณตระกูลซ่งหรอกค่ะ ฉันจะเก็บแค่หนังสือเรียนของพวกเด็กๆ ก็น่าจะได้ใช่ไหม?”
หวังซิ่วอิงเชิดหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “หนังสือเรียนที่พวกเขาใช้ ก็เป็เงินที่พวกเราตระกูลซ่งจ่ายให้เหมือนกัน!”
ช่างเป็คนที่หน้าด้านหน้าทนที่สุดในใต้หล้าจริงๆ ซย่านีกล่าวล้อเลียนอีกฝ่าย “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่พูดว่าเด็กสามคนนี้ก็เป็คนแซ่ซ่งและเกิดมาจากคนตระกูลซ่งของพวกคุณด้วยเลยเล่า?”
หวังซิ่วอิงยังกล้าพูดอีกว่า “เหอะ เธอพูดมาก็ถูกนะ งั้นเธอไปได้แต่ต้องทิ้งพวกเด็กๆ ไว้!”
วันนี้ซย่านีก่อเื่เช่นนี้หวังซิ่วอิงเองก็กลัวอยู่บ้าง หากซย่านีจากไปจริงๆ เธอก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับซ่งหานเจียงอย่างไร ส่วนกับซ่งเป่าเถียนนั้นยิ่งแล้วใหญ่ และที่สำคัญคือวันนี้เป็วันอาทิตย์ซึ่งเป็วันที่ซ่งหานเจียงจะกลับบ้านในตอนเย็นด้วย
หวังซิ่วอิงไม่มีทางยอมถูกเปิดโปงแน่ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าซย่านีแล้วหญิงชราก็ไม่อาจปิดบังสีหน้าไว้ได้เลยสักนิด ซย่านีดักทางเธอไว้เกือบทั้งหมด ซย่านีรู้ว่าทำไมหวังซิ่วอิงถึงมายืนขวางหน้าประตูเช่นนี้ นั่นก็เพราะวันนี้เธอไม่อาจปล่อยให้ซย่านีเก็บเสื้อผ้าแล้วหอบลูกหนีไปจากตระกูลซ่งได้
ซย่านียิ้มเยาะ “ให้ฉันทิ้งลูกไว้ให้พวกคุณทรมานเด็กๆ จนหิวตายงั้นหรือ? คุณเคยปฏิบัติต่อเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์กับหยางหยางเหมือนคนในครอบครัวบ้างไหม? คุณพูดเองว่าซิงซิงอายุหกเดือนไม่จำเป็ต้องกินนมผงแล้ว แถมคุณยังกล้าขโมยนมผงที่พ่อของซิงซิงซื้อไว้ให้เขาอีก! ตอนกลางคืนอากาศหนาวเย็นขนาดนี้เสวี่ยเยวี่ยเอ๋อร์กับหยางหยางเคาะประตูบ้านอยู่ครึ่งชั่วโมง พวกคุณก็ไม่เปิดประตูให้เด็กๆ แถมคุณยังจงใจไม่ทำอาหารให้พวกเขาอีก สุดท้ายพวกคุณก็ปล่อยให้พวกเขาต้องทนหิว ต่อให้ฉันต้องตายก็ไม่มีทางให้ลูกๆ อยู่ที่นี่เด็ดขาด”
ซย่านีก้าวไปข้างหน้าและกระชากตัวหวังซิ่วอิงให้หลีกทาง แม้ว่าซย่านีจะผอมแห้งแต่เธอก็คุ้นเคยกับการทำงานหนักมาั้แ่เด็ก ดังนั้นเธอจึงมีเรี่ยวแรงเยอะมาก หวังซิ่วอิงที่เป็แค่คนแก่ย่อมไม่อาจต้านแรงเธอได้พริบตาเดียวก็ถูกซย่านีกระชากให้พ้นทางแล้ว ก่อนเธอจะบุกเข้าไปในเรือน
ในเวลานี้เซี่ยงเหมยเอารถสามล้อมาถึงแล้ว เธอรีบเข็นรถสามล้อจนมาถึงหน้าประตูบ้านจากนั้นก็ก้าวยาวๆ สองสามก้าว และวิ่งเข้ามากอดหวังซิ่วอิงไว้เพื่อไม่ให้หญิงชราสร้างปัญหาให้ซย่านี
ซย่านีเก็บข้าวของของตนอย่างรวดเร็ว ส่วนหวังซิ่วอิงก็ะโด่าสาปอยู่ตรงหน้าประตูว่า “วางของลงเดี๋ยวนี้เลยนะ! เมื่อครู่แกยังปีกกล้าขาแข็งอยู่ไม่ใช่หรือไง? ดีนักนี่พูดอีกอย่างแต่ทำอีกอย่างงั้นสินะ? นั่นเป็ของของบ้านตระกูลซ่งของฉัน แกจะเก็บไปทำไมฮะ? รีบวางลงเลยนะ...ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ปล่อยสิ ไม่ได้ยินหรือไงว่าฉันบอกให้ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ! พวกแกสองคนร่วมหัวกันรังแกคนแก่อย่างฉันงั้นหรือ? ไม่รู้จักมียางอายบ้างหรือไง?”
หวังซิ่วอิงยิ่งด่าแรงขึ้นเท่าไหร่ ซย่านีก็ยิ่งเก็บของมากขึ้นเท่านั้น เธอคิดออกแล้วเสื้อผ้าของเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์กับหยางหยางนั้นโทรมมากแล้ว เธอจึงไม่สนใจของพวกนี้หรอกแต่หากเธอเก็บของพวกนี้ไปด้วยล่ะก็ มันจะทำให้หวังซิ่วอิงเจ็บใจมากขึ้น ตราบใดที่เป็เื่ที่ทำให้หวังซิ่วอิงไม่มีความสุขซย่านีก็ยินดีทำทั้งนั้น เธอขอโยนเสื้อผ้าโทรมๆ พวกนี้ทิ้งยังดีกว่าทิ้งมันไว้ให้หวังซิ่วอิงที่นี่!
หลังจากเก็บของทุกอย่างขึ้นรถสามล้อเรียบร้อยแล้ว ซย่านีก็ร้องเรียกเซี่ยงเหมย “เรียบร้อยแล้ว พวกเราไปกันเถอะค่ะ”
เซี่ยงเหมยปล่อยตัวหวังซิ่วอิงแล้วรีบวิ่งตึกตักขึ้นไปนั่งบนรถทันที จากนั้นซย่านีก็ถีบรถสามล้อหนีไป หวังซิ่วอิงไล่ตามมาถึงที่ประตูก็ไม่ได้ไล่ตามต่อ
เพื่อนบ้านที่มุงดูเื่สนุกอยู่รอบๆ ก็พากันพูดโน้มน้าวหวังซิ่วอิง
“ซิ่วอิงเอ๋ย อากาศเย็นเช่นนี้หากเธอไม่ให้ซย่านีเก็บเสื้อผ้าของพวกเด็กๆ ไปด้วยเช่นนั้นจะปล่อยให้พวกเด็กๆ หนาวตายงั้นหรือ? นั่นเป็หลานแท้ๆ ของเธอนะ”
บางคนก็บอกว่า “เวลานี้เธอยังจะมัวแต่สนใจเสื้อผ้าอะไรนั่นอีกหรือ หรือว่าเธออยากให้ซย่านีหอบลูกหนีไปจริงๆ? เธอรีบวิ่งตามไปสิอีกนิดเดียวก็ขวางซย่านีไว้ได้แล้วเชียว!”
ทว่าบางคนก็รู้สึกยินดีในความโชคร้ายของคนอื่น
“ป้าหวัง ป้าเองก็รังเกียจลูกสะใภ้จากชนบทคนนี้มาตลอดเลยไม่ใช่หรือ ตอนนี้ในที่สุดเธอก็จากไปแล้ว ป้าควรจะดีใจสิถึงจะถูกก็แค่เสียเศษผ้าขี้ริ้วไม่กี่ชิ้นเองไม่ใช่หรือไง!”
หวังซิ่วอิงโกรธเป็ฟืนเป็ไฟแต่กลับไม่มีที่ให้ระบายโทสะ ใช่แล้วเธอไม่อยากได้ลูกสะใภ้ที่ไม่เป็ที่เชิดหน้าชูตาจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่านั่นมันควรจะเป็เพราะซย่านีทำความผิดก็เลยถูกแม่สามีอย่างเธอไล่ตะเพิดออกจากบ้านต่างหาก ตอนนี้ดันกลับตาลปัตรไปแล้ว ทุกคนต่างก็คิดว่าเธอเป็แม่สามีใจร้ายที่บีบให้ลูกสะใภ้กับหลานชายหลานสาวต้องออกจากบ้านไป!
เมื่อซย่านีถีบรถสามล้อผ่านหน้าประตูบ้านของเซี่ยงเหมย เด็กทั้งสองก็เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว พวกเขายืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้านอีกทั้งซ่งวั่งซูยังอุ้มซิงซิงไว้ในอ้อมแขนอีกด้วย
ซิงซิงอายุได้หกเดือน เขาตัวหนักขึ้นเรื่อยๆ ซ่งวั่งซูแทบจะอุ้มเขาไม่ไหว ครึ่งหนึ่งของร่างกายเด็กน้อยจวนจะหลุดออกจากอ้อมแขนของซ่งวั่งซูอยู่รอมร่อ
เซี่ยงเหมยเห็นดังนั้นจึงรีบะโลงจากรถแล้วไปอุ้มซิงซิงมาไว้ในอ้อมแขนของตนแทน
ขณะเดียวกันนั้นซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่ก็วิ่งกรูเข้ามาพร้อมกันก่อนจะะโขึ้นรถสามล้อ ต้องขอบคุณที่รถสามล้อในยุคนี้คุณภาพดีมาก รถคันหนึ่งสามารถบรรทุกได้ทั้งคนและสิ่งของทแค่ว่าเวลาถีบรถสามล้อจะค่อนข้างหนักไปหน่อยเท่านั้น
แต่ซย่านีกลับมีความสุขในใจ เมื่อจิตใจมีความสุขร่างกายก็พลอยมีกำลังวังชาขึ้นมาเธอถีบคันเหยียบอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เธอไม่รู้สึกหนักเลยสักนิด
“แม่ บ้านใหม่อยู่ไกลไหมคะ?”
ซย่านีตอบลูก “ไม่ใกล้และก็ไม่ไกลนัก โอ้ แต่ว่ามันค่อนข้างอยู่ใกล้กับโรงเรียนของลูกๆ เลยทีเดียว เดินสักสิบนาทีก็ถึงประตูโรงเรียนแล้วนะ”
“ถ้างั้นต่อไปนี้ หนูกับหยางหยางก็สามารถนอนเพิ่มได้อีกสิบนาทีใช่ไหมคะ?”
ซย่านีอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ใช่จ้ะ เ้าลูกหมูี้เีสองตัวของแม่ พวกลูกยังสามารถนอนเพิ่มได้อีกสิบนาทีเลยจ้ะ”
“แม่ฮะ บ้านใหม่ใหญ่ไหมฮะ? วันหน้าผมขอชวนเพื่อนร่วมชั้นมาเล่นที่บ้านพวกเราได้ไหม?”
ซย่านีตอบลูกชาย “ได้แน่นอน ถึงตอนนั้นแม่จะเตรียมของอร่อยๆ ไว้ให้ลูกๆ ด้วยนะ”
“ซย่านี เธอจอดรถก่อนเถอะให้ฉันถีบรถสามล้อแทนดีไหม?” จู่ๆ เซี่ยงเหมยก็พูดขึ้นมา
ซย่านีส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่เหนื่อยเดี๋ยวก็ถึงแล้ว อีกอย่างพี่ก็ไม่รู้ด้วยว่าฉันเช่าบ้านอยู่ที่ไหนใช่ไหมล่ะคะ?”
เธอไม่ได้พูดปด มันใกล้จะถึงแล้วจริงๆ เธอเพิ่งถีบรถสามล้อผ่านโรงเรียนของพวกเด็กๆ ไปเมื่อครู่นี้ การเดินทางที่เหลือน่าจะใช้เวลาประมาณห้านาทีเท่านั้น
ไม่นานเธอก็จอดรถสามล้อลงที่หน้าประตูบานใหญ่ของบ้านหลังหนึ่ง
ประตูบ้านเป็สีแดงชาด้ามีฉิ่งประตู[1] เป็ทองสัมฤทธิ์รูปสิงโตทองสองตัวกำลังอ้าปากอยู่ นอกจากนี้ด้านข้างยังมีปิ่นประตู[2] เป็รูปดอกไม้อยู่ข้างๆ แค่มองไปที่ประตูใหญ่ก็ให้กลิ่นอายความหรูหรากว่าบ้านตระกูลซ่งมากนัก
หลังจากปลดกลอนประตูและผลักประตูใหญ่ให้เปิดออก ซย่านีก็ยืนผายมืออยู่ที่หน้าประตูบ้าน ก่อนจะกวักมือเรียกลูกๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “รีบเข้ามาเร็ว มาดูบ้านใหม่ของพวกเราสิ”
[1] ฉิ่งประตู 门钹 คือที่เคาะประตู
[2] ปิ่นประตู 门簪 คือส่วนประกอบของประตูอาคารแบบจีนโบราณ สำหรับยึดทับหลัง กลอน และตกแต่งประตูสถาปัตยกรรมจีนจะอยู่เหนือประตู
