หลังจากที่เื่ต่าง ๆ คลี่คลายลงแล้ว และอารมณ์ของเหยียนลั่วไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เขาซื้ออาหารจากข้างทางแล้วนำมันกลับมา จะได้ไม่ต้องไปรบกวนทางโรงครัว และมือของซือเยี่ยก็ยังไม่สะดวกนัก ในเมื่อเขาออกไปข้างนอกก็ให้เขาไม่ต้องทำอาหารสักวัน พรุ่งนี้ค่อยให้โรงครัวของจวนทำงานอีกครั้ง
เพิ่งเลี้ยวเข้าทางแยกนอกกำแพงในเขตจวนตระกูลเหยียน เขาก็เห็นชายผู้หนึ่งนั่งอยู่บนธรณีประตูภายใต้แสงสลัวที่ส่องสว่างมาจากโคมไฟตรงประตูมาจากในระยะไกล
“คุณชาย... เหยียน ท่านกลับมาแล้ว”
เห็นซือเยี่ยที่กำลังมองออกไปที่ทางแยกและเมื่อเขาได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา
“ไม่ต้องออกมารับถึงหน้าประตู”
เหยียนลั่วพูดออกมา แล้วยื่นอาหารในมือส่งให้เขา
ซือเยี่ยไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด รับของมาแล้วยกขึ้นดม “กลิ่นหอมมาก...” หลังจากได้มาอยู่ที่นี่เขาไม่ค่อยออกไปข้างนอก และก็ไม่เคยลิ้มรสอาหารจากภายนอกด้วยเช่นกัน อีกทั้งเ้าสิ่งนี้ก็ยังมีกลิ่นที่ค่อนข้างหอมด้วย
เมื่อสักครู่นี้หลินชวนมาหาเขาและจะมอบบางอย่างให้แต่เขาปฏิเสธไปหมดแล้ว ท้องกำลังหิวมาก แค่ได้กลิ่นน้ำลายก็ไหลลงมาแล้ว...
เหยียนลั่วยิ้มโดยไม่พูดอะไรออกมา ก้าวผ่านประตูเข้าไป และคนที่ถือสิ่งนั้นก็ตามเข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้น
อาหารที่มีเพียงไม่กี่อย่างถูกนำใส่จานทั้งหมด ทั้งสองนั่งลงบนโต๊ะและเริ่มทานด้วยกัน
“เหยียนลั่ว...”
มองคนเคลื่อนไหวบนโต๊ะอาหารอย่างเป็ระเบียบ ซือเยี่ยก็เรียกออกมาเบา ๆ
เหยียนลั่วมองมาพร้อมกับถามว่า “อะไร?”
“ไม่...” ซือเยี่ยยิ้มอวดฟันขาวจนตาโค้งจนเป็รูปพระจันทร์ “ยิ้มให้เ้าไม่ได้หรือ?”
เหยียนลั่วถูกใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขาส่องประกายใส่ไปหนึ่งครั้ง เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นแตะหัวของเขา “กินข้าว”
ก้มหัวของตนลงแล้วจดจ่ออยู่กับการกินไม่พูดคุยและไม่หันไปมองคนที่ยังยิ้มให้เขาอีก
ซือเยี่ยก็ไม่สนใจเช่นกัน ยังคงจ้องมองอีกฝ่ายในขณะที่รับประทานอาหาร
เหยียนลั่วถูกเขามองจนเริ่มรู้สึกอึดอัด กินไปได้สักพักจึงวางตะเกียบลง
“ข้ากินเสร็จแล้ว เ้าค่อย ๆ กิน ข้าจะไปหาชิงเอ๋อร์ เ้าจัดการตนเองเสร็จก็ไปพักผ่อนได้เลย ไม่ต้องอยู่รอข้าถึงยามค่ำคืน”
สีหน้าของซือเยี่ยแข็งทื่อ “เหยียนลั่ว...”
เหยียนลั่วเอื้อมมือออกไปแตะลงบนหัวของเขาอีกครั้ง
“หยุดคิดเื่นั้นเสียที ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ตระกูลเหยียนจะชดเชยให้แก่เ้า ข้าจะจัดการหาที่ทางสำหรับให้เ้าได้ฝึกฝนเรียนรู้ใน่ระยะเวลาหนึ่ง และให้เ้าหาสิ่งอื่นทำเพื่อจะได้ค่อย ๆ ทำความคุ้นเคยกับชีวิตที่นี่”
ซือเยี่ยกัดริมฝีปากแล้วเงยหน้าขึ้นจากนั้นจึงพยักหน้าลง “อืม...” เขาไม่ได้้าสิ่งชดเชยใด ๆ ้าเพียงความปลอดภัยในภายภาคหน้า
ในยามที่เหยียนลั่วมาถึงหอชิงเฟิงก็เป็ยามที่เหยียนชิงกับเว่ยซูหานกำลังรับประทานอาหารเย็นกันอยู่ หลังจากที่เห็นเขาจึงขอเพิ่มถ้วยและตะเกียบให้เขาอีกชุด แล้วให้หลินชวนออกไปเตรียมกับแกล้ม เหยียนลั่วไม่ได้รู้สึกเกรงใจแต่อย่างใด เขาเพียงนั่งลงแล้วกินอาหารรวมกับพวกเขา
“ข้าคิดว่าพี่ใหญ่ทานมาเรียบร้อยแล้ว”
เว่ยซูหานพูดขึ้นมา เื่ของตระกูลถังท่านแม่ได้ส่งข่าวมาถึงพวกเขาแล้วเมื่อสักครู่นี้ พวกเขามีความสุขมากที่เหยียนลั่วเข้าไปสั่งสอนเื่นี้ด้วยตนเอง เหยียนิฮ่วนควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง
“กินไปแล้วนิดหน่อย ไม่อิ่ม...” เหยียนลั่วตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าซื้ออาหารกลับมาจากข้างนอก แล้วกินกับซือเยี่ย...”
“เหตุใดจึงไม่กินให้อิ่ม?”
เหยียนชิงถามขึ้นมา เว่ยซูหานที่กำลังรินเหล้าให้เขาหนึ่งจอกก็มองมาด้วยความสงสัยเช่นกัน
เหยียนลั่วขมวดคิ้วแล้วส่ายหัว
“ซือเยี่ยผู้นั้นคาดว่าอารมณ์กำลังไม่คงที่หลังจากถูกกระตุ้นจึงมีท่าทางแปลกๆ ข้าจึงปล่อยให้เขาได้สงบสติอารมณ์ของตน”
เหยียนชิงกับภรรยาหันมามองหน้ากันและต่างเห็นความสับสนภายในดวงตาของกันและกัน ด้วยพวกเขารู้สึกว่าอารมณ์ของซือเยี่ยคงที่มาหลายวันแล้ว...
เหยียนลั่วพูดต่อไปโดยไม่สนใจความสงสัยของพวกเขา
“มีเื่เช่นนี้เกิดขึ้น คงจะไม่สะดวกต่อเขาที่จะอยู่ข้างกายข้า การเข้าดูแลกิจการในภายภาคหน้าย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการพบปะกับตระกูลถังได้ การให้เขาต้องอยู่ต่อหน้าผู้คนในฐานะคนสนิทของข้าไม่ใช่เื่ดีเลย หากไม่ระวังให้ดีจะเป็การดึงดูดความสนใจมากเกินไปและจะทำให้เกิดกิ่งก้านสาขาที่ไม่ควรมีขึ้น อีกทั้งเหยียนิฮ่วนก็ยังเป็คนในตระกูลเหยียน ถือว่าช่วยรักษาใบหน้าของเขา ควรช่วยหาสถานที่ตั้งรกรากให้กับซือเยี่ยเพื่อเป็การชดเชยจากตระกูลเหยียน...”
“ข้าจำได้มีว่าข้างเขตเพาะปลูกมีพื้นที่สวนเล็ก ๆ อยู่ สภาพแวดล้อมดีมากเหมาะแก่การปรับตัว มันมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพรรณไม้ เดิมทีเขาเป็คนชอบทำสวนอยู่แล้ว ปล่อยให้เขาปลูกดอกไม้ที่นั่นหรือทำอะไรทำนองนั้น และให้หลินซิวทำงานเป็ลูกจ้างระยะยาวในสวนดีหรือไม่? ข้าคิดว่าคงเป็เื่ดีสำหรับสองสามีภรรยาคู่นั้น ซูหานเ้าลองไปถามพวกเขาดู หากพวกเขาไม่ชอบก็ให้พวกเขาไปใช้ชีวิตอยู่ในที่ดินแปลงอื่นกับซือเยี่ย เ้าคิดว่าเป็อย่างไร?”
เหยียนชิงวางตะเกียบลงแล้วคิดอย่างจริงจังก่อนจะพยักหน้า
“พี่ใหญ่ควรคิดได้รอบคอบแล้ว การให้ซือเยี่ยได้อยู่ในที่ที่ไม่มีใครสังเกตเห็นนั้นดีสำหรับตัวเขาและพวกเรา หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไปหวังว่าเหยียนิฮ่วนจะสามารถยับยั้งอารมณ์ของเขาได้ ซูหานเ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”
เว่ยซูหานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่เหยียนลั่วพูดมานั้นดูสมเหตุสมผลจริง ๆ เขาจึงพยักหน้าให้
“พรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้คนไปจัดการให้”
แม้ว่าซือเยี่ยจะเป็ผู้บริสุทธิ์ แต่เหยียนิฮ่วนไม่ใช่คนที่มีเมตตา หากยังปล่อยให้ซือเยี่ยวนเวียนอยู่ข้างกายเหยียนลั่ว บางทีมันอาจเป็การกระตุ้นไอ้สารเลวนั่นอีก หากไม่จัดการให้ดีมันอาจจะสร้างปัญหาขึ้นมาได้ วิธีจัดการของเหยียนลั่วนั้นเหมาะสมมาก
เื่การหาสถานที่ตั้งรกรากของซือเยี่ยได้ข้อสรุปแล้ว เหยียนชิงยิ้มและมองไปที่พี่ชายของตนแล้วถามว่า
“พี่ใหญ่ ท่านลงโทษเหยียนิฮ่วนอย่างไร?”
เหยียนลั่วเลิกคิ้ว
“อย่างไรก็เป็ญาติพี่น้อง แม้ว่าเขาจะละเมิดหลักคำสอนของตระกูลแต่ข้าก็ทำเพียงลงโทษความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อไม่ให้เขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในภายภาคหน้า ใช้กำลังภายในสองส่วนตบหน้าเขา จากนั้น... ทำให้ร่างกายส่วนล่างของเขาได้พักผ่อนเป็เวลาครึ่งปี”
เหยียนชิงและเว่ยซูหานแสดงความใออกมาพร้อม ๆ กัน “ที่บอกว่าทำให้ร่างกายส่วนล่างของเขาได้พักผ่อนเป็เวลาครึ่งปีหมายความว่าอย่างไร?”
เหยียนลั่วดื่มเหล้าเข้าไปหนึ่งอึก
“ใช้กำลังภายในผนึกเอวและหน้าท้องของเขาไว้สองจุด ทำให้ไม่สามารถใช้การได้ชั่วคราว และมันจะดีขึ้นเองในเวลาครึ่งปี เมื่อเทียบกับการถูกเนรเทศสามปีตามหลักคำสอนของตระกูลนี่ถือว่าดีมากแล้วใช่ไหม?”
“หึ...” เว่ยซูหานแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “นี่ไม่เท่ากับว่าเขากลายเป็ขยะหรือ?”
คนเช่นนั้นถูกทำเช่นนี้ใส่คงทำให้เขารู้สึกพังทลายไม่ต่างจากการโดนควักเนื้อออกมา ยิ่งไปกว่านั้นงานแต่งงานกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ต้องเริ่มต้นกับภรรยาด้วยการทำให้นางรู้สึกราวกับเป็ม่าย คิดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่จะโกรธเคืองจนลงมือหนักถึงเพียงนี้ แต่ก็โล่งใจมาก สิ่งนี้มันทำให้พวกเขาได้หายใจเอากลิ่นปากออกมา [1] เสียที
ดวงตาของเหยียนชิงเป็ประกาย รู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่งกับวิธีการของพี่ชาย “พี่ใหญ่มีเมตตายิ่งนัก”
เขาอยากใช้วิธีการเช่นนี้ลงโทษเหยียนิฮ่วนที่ไม่สามารถควบคุมสัตว์เดรัจฉานใต้ร่มผ้าของตนเองได้มานานมากแล้ว ยิ่งนึกถึงความคับข้องใจที่ภรรยาได้รับในชาติที่แล้ว เขายังคิดว่ายังสามารถทำรุนแรงได้มากกว่านี้อีก...
เหยียนลั่วอยู่พูดคุยเื่ต่าง ๆ กับเหยียนชิงและภรรยาที่หอชิงเฟิงจนดึกดื่น ในยามที่กลับมาถึงเรือนก็เห็นซือเยี่ยนั่งงีบหลับอยู่ข้างเสาบนขั้นบันไดหน้าห้องของเขา ซือเยี่ยสวมชุดเรียบง่ายไร้สีสันทำให้เขายิ่งดูบอบบางมากขึ้นไปอีก
“ข้าบอกเ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องรอ?”
เหยียนลั่วถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ เขานั่งลงแล้วจิ้มลงไปบนหน้าของซือเยี่ย
“เหตุใดเ้าถึงไม่เชื่อฟัง?”
“อือ เหยียนลั่วเ้ากลับมาแล้ว...”
คนที่กำลังงัวเงียลืมตาขึ้นมาส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของเขาในทันที...
เหยียนลั่วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งทั้งตัวราวกับถูกแช่แข็ง มองดูคนที่กำลังถูแขนของตนอยู่ด้วยดวงตาที่มืดครึ้มลงไปในทันที “ซือเยี่ย อย่าซน”
ซือเยี่ยดูเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ซุกไซ้อยู่ที่หน้าอกอีกครู่หนึ่งก่อนจะยอมผละออกไป และยกมือขวาที่ได้รับาเ็ขึ้นมา
“เหยียนลั่ว ช่วยเปลี่ยนยาให้หน่อยได้หรือไม่?”
เหยียนลั่วมองดูผ้าพันแผลที่เริ่มหลุดแล้วจึงพยักหน้า “ได้”
พูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วถอยห่างออกจากเขาในทันที ด้วยเกรงว่าเขาจะทำอะไรแปลก ๆ ออกมาอีกครั้ง
ซือเยี่ยยิ้มแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องของตน นำผงยา ผ้าพันแผลที่สะอาดออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งลงด้วยความสบายใจ
เหยียนลั่วเดินเข้ามา นั่งลงข้าง ๆ เพื่อช่วยทำแผลให้เขา
าแบนฝ่ามือค่อนข้างลึก ทั้งที่แผลเริ่มแห้งแล้ว แต่เมื่อเห็นมันอยู่บนผิวเนื้อขาวเนียนแล้วก็น่าปวดใจ สามารถนึกภาพได้เลยว่าในยามนั้นคนผู้นี้รู้สึกหวาดกลัวมากมายขนาดไหน... เขาตบเหยียนิฮ่วนไปเพียงหนึ่งครั้งดูเหมือนจะยังเบาไป
“อือ...”
ซือเยี่ยขมวดคิ้วและร้องออกมาเบา ๆ ในยามที่ใส่ยาใหม่ลงไป
“อดทนหน่อย...”
เหยียนลั่วเอ่ยปลอบ ฝ่ามือเคลื่อนไหวเบาลงอีกเล็กน้อย
เปลี่ยนผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้ว เหยียนลั่วลุกขึ้นและโยนผ้าพันแผลผืนเก่าลงในที่ทิ้งขยะแล้วหันกลับมาเอ่ยเตือนผู้ที่ยังหัวเราะเขาด้วยท่าทางแปลก ๆ
“แผลเริ่มสมานตัวแล้ว เ้าพยายามอย่ายกของหนัก มันจะทำให้แผลปริได้”
ซือเยี่ยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “รู้แล้ว แต่ว่า ข้าไม่สามารถปรนนิบัติเ้าได้แล้ว”
เหยียนลั่วเลิกคิ้วขึ้นอย่างสง่างาม “ั้แ่เ้าเข้ามาจนถึงตอนนี้ข้าเคยให้เ้าปรนนิบัติด้วยหรือ?”
เป็เพราะเขาใฝ่ฝันถึงการออกไปใช้ชีวิตในโลกภายนอกมาตลอด ดังนั้นเขาจึงมีความสามารถในการดูแลตนเองที่ดีมากมาั้แ่เขายังเป็เด็ก เพื่อให้สามารถดูแลตนเองได้ในยามที่ต้องอยู่ไกลจากจวน ดังนั้นเื่ใดที่เขาสามารถทำได้ด้วยตนเองโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่จำเป็ต้องให้ผู้อื่นเข้ามาปรนนิบัติดูแล แม้กระทั่งเยี่ยหลานที่อยู่ข้างกายมาหลายปีก็จะลงมือในยามที่จำเป็จริง ๆ เท่านั้น
“ใช่...”
ซือเยี่ยบิดแขนเสื้อของตนด้วยความเขินอาย ความสามารถในการดูแลตนเองของเหยียนลั่วนั้นดีกว่าเขามาก
“ความจริงแล้วเ้าไม่ใช่บ่าวรับใช้ ซือเยี่ย ดังนั้นอย่าคิดมาก อย่าวางฐานะตนเองให้ต่ำต้อยจนเกินไป... เมื่อครู่ข้าได้พูดคุยกับซูหานและชิงเอ๋อร์แล้ว ในอีกสองวันเราจะจัดเตรียมให้เ้าย้ายไปอยู่ที่อื่น ที่นั่นมีสภาพแวดล้อมที่ดี จะไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับเ้าได้ สามารถทำให้เ้าผ่อนคลายได้ทั้งยังเป็ที่ที่เหมาะกับการเพาะปลูก”
ซือเยี่ยก้มหน้าลงอย่างไม่เต็มใจแล้วพูดด้วยความเสียใจว่า
“ไม่ไปได้หรือไม่? ข้าอยู่ในจวนของเ้าไม่ได้หรือ? หากเ้าเกรงว่าจะมีผลกระทบ ข้าก็แค่ไม่ออกไปไหนก็คงได้แล้ว ข้าเชื่อฟังมากนะ...”
เหยียนลั่วส่ายหัว
“ไม่ได้ นี่ก็เพื่อตัวเ้าเอง เชื่อข้า เ้ารู้จักคู่สามีภรรยาหลินซิวหรือไม่? พวกเขาเป็คนงานระยะยาวของเขตเพาะปลูกตระกูลเหยียน เป็คนที่อ่อนโยนมาก ข้าจะให้พวกเขาไปกับเ้า เ้าจะไม่เบื่อกับการอาศัยอยู่ในสวนเล็ก ๆ ในเขตเพาะปลูก เ้าไม่อยากใช้ชีวิตที่นี่หรือ? สามารถค่อย ๆ ศึกษาเรียนรู้ได้ อยากทำอะไรก็สามารถทำได้”
ซือเยี่ยกัดริมฝีปากอย่างที่ชอบทำเป็ประจำ มองดูเขาอย่างขุ่นเคืองใจ บนหน้าราวกับมีอักษรตัวใหญ่แปะเอาไว้ว่า ไม่้า
“พักผ่อนก่อนเถอะ”
เหยียนลั่วเพิกเฉยต่อการประท้วงของเขา แล้วหันหลังเดินออกไป
คนที่กำลังสูญเสียกำลังใจไล่ตามไปคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ “เหยียนลั่ว ข้าจะไม่สร้างปัญหาให้เ้าจริง ๆนะ...”
มองดูท่าทางของเขาที่เหมือนสัตว์ตัวน้อยที่กำลังจะถูกทอดทิ้ง เหยียนลั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “นี่ก็เพื่อปกป้องเ้า”
ซือเยี่ยกัดฟันแน่นก่อนหลับตาลง “เช่นนั้นข้าขออยู่เคียงข้างเ้า” ยามที่พูดหูของเขาก็ร้อนขึ้น
เมื่อเหยียนลั่วได้ยินเช่นนั้นก็กระชับมือของคนข้างกายให้แน่นขึ้น จากนั้นเขาก็ดึงแขนเสื้อออกจากมือของซือเยี่ย พูดอย่างเ็าว่า
“หากเ้าไม่ไป ข้าก็จะส่งเ้ากลับ ในอีกไม่กี่วันตระกูลเหยียนจะมีกองคาราวานเดินทางไปนอกด่านทางตอนใต้พอดี เ้าตัดสินใจเองแล้วกัน ข้ายุ่งมาก ไม่มีเวลาดูแลเ้า นอกจากนี้คนผู้หนึ่งจะไม่ออกไปไหนเลยเป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้ อย่าดื้อรั้น”
พูดจบก็เดินออกไป ซือเยี่ยยืนมองประตูที่ค่อย ๆ ปิดลงด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ขยี้ตาอย่างแรง มีหยดน้ำคลออยู่ในดวงตาด้วยความคับข้องใจที่เขาไม่อาจอธิบายออกมาได้ จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของเขา
มันเกี่ยวกันตรงไหน ก่อนที่เขาจะถูกส่งออกมาจากราชสำนักก็ล้วนถูกคุมขังไม่สามารถไปไหนได้อยู่แล้ว อยู่ที่นี่เขาก็ไม่สามารถแม้แต่จะออกไปข้างนอกได้ ก็แค่อยู่ในจวนทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตนสามารถทำได้...
เชิงอรรถ
[1] หายใจเอากลิ่นปากออกมา (出了口恶气) หมายความว่าได้เอาคืน ใช้ในสถานการณ์ที่มีใครบางคนเขามาทำให้ไม่พอใจก็เลยเอาคืนหนักๆ กลับไปสักที เช่นต่อยกลับไปสักทีเป็การระบายความโกรธ
