หลิวเฟินแค่ทึ่ม และทึ่มไม่ใช่โง่
เข็มให้น้ำเกลือบนมือของทังหงเอินยังไม่ถูกดึงออกด้วยซ้ำ จะถือถ้วยรับประทานโจ๊กเองได้อย่างไร?
หลิวเฟินช่วยยกชาม ทังหงเอินซดโจ๊กหมดในคราวเดียว ภายในท้องของเขารู้สึกอบอุ่นมาก ทั้งร่างกายก็มีกำลังเพิ่มขึ้นอีกด้วย เขาถามหลิวเฟินเกี่ยวกับรายละเอียดของสถานการณ์ รับทราบว่าเสี่ยวหวังและเซี่ยเสี่ยวหลานไปยังชุมชนเพื่อขอยืมโทรศัพท์ เขารู้ดี แพทย์แจ้งว่าเขาเป็ปอดอักเสบเฉียบพลัน ไม่สามารถรักษาต่อไปในสถานพยาบาลขนาดเล็กแห่งนี้ได้แน่นอน
โรงพยาบาลเล็กไม่ได้รับการจัดสรรยาคุณภาพสูง ที่เขาสร่างไข้รวดเร็วขนาดนี้ถือว่าเป็ปาฏิหาริย์แล้ว
เมื่อััได้ถึงความประหม่าของหลิวเฟิน ทังหงเอินจึงเริ่มเปิดประเด็นสนทนาเื่สัพเพเหระกับเธอ ทังหงเอินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในครอบครัวของเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่หลิวเฟินเรียบง่ายและซื่อตรง เป็สตรีจากชนบทอย่างแท้จริง ข้อกังขาของทังหงเอินไม่ต่างจากของย่าอวี๋สักเท่าไร คนแบบนี้ให้กำเนิดบุตรสาวอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานคนนั้นได้จริงหรือ?
พูดถึงเื่อื่นหลิวเฟินประหม่า พอพูดถึงลูกสาวเธอน้ำไหลไฟดับเลยทีเดียว
เซี่ยเสี่ยวหลานควรค่าให้เธอโอ้อวดอย่างแน่นอน ทั้งสวยและรู้คิด แถมเรียนหนังสือเก่งอีกด้วย
“...เพิ่งสอบคัดเลือกรอบแรกเสร็จน่ะค่ะ งานนำเข้าสินค้าของร้านขาดเธอไม่ได้ ทั้งที่จริงฉันอยากให้ลูกได้อ่านหนังสือมากกว่า”
นี่คือสิ่งที่ทังหงเอินไม่รู้ เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานทำได้ดีในฐานะเ้าของธุรกิจ ทว่าเธอยังเป็นักเรียนอีกด้วย? กระทั่งคนมากประสบการณ์อย่างทังหงเอินก็รู้สึกใไม่น้อย ไม่ได้เป็เพียงนักเรียนมัธยมปลายปีสามธรรมดาเท่านั้น ผลการเรียนของเธอยังยอดเยี่ยมด้วย ทังหงเอินเกิดข้อสงสัยใหม่ขึ้นมา รัฐฟื้นฟูการสอบเกาเข่าได้เพียงไม่กี่ปี กระนั้นชนบทไกลปืนเที่ยงยังรู้ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำคัญมากเพียงใด ต่อให้ครอบครัวยากจนข้นแค้นขนาดไหน แม้ต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างก็จะทำให้ลูกหลานที่มีความหวังเข้ามหาวิทยาลัยได้จดจ่อกับการเล่าเรียน ทำไมเซี่ยเสี่ยวหลานต้องขึ้นเหนือล่องใต้ทำธุรกิจอิสระอีกเล่า?
หลิวเฟินละอายใจเหลือเกิน
เื่ส่วนตัวประเภทนี้ เธออยากให้เน่าสลายในท้องไส้ไปเสียใจแทบขาด ไม่ต้องแตะถึงมันต่อหน้าคนอื่น
แต่ ‘คุณผู้ชายทัง’ ถาม หลิวเฟินก็คิดว่ากำลังถูกสอบสวนโดยเ้าหน้าที่รัฐ เธอจะไม่กล้าตอบได้อย่างไร
“ฉันไม่เอาไหนน่ะค่ะ ถึงได้หย่ากับพ่อของเสี่ยวหลาน ทำให้เสี่ยวหลานต้องสู้ชีวิตถึงขนาดนี้ เป็ลูกสาวแท้ๆ แต่ต้องไปทำงานหนักเหมือนตัวเองเป็ผู้ชาย...”
หลิวเฟินสมองระดับไหน แล้วทังหงเอินสมองระดับไหน ซักถามแค่ไม่กี่ประโยค เื้ัของสองแม่ลูกก็ถูกปะติดปะต่อกันออกมาจนครบถ้วน ทังหงเอินมีมุมมองใหม่ต่อเซี่ยเสี่ยวหลาน รวมถึงเกิดความประทับใจต่อหลิวเฟินเช่นเดียวกันด้วยซ้ำ ผู้หญิงควรขอั้แ่หย่าเมื่อไร? ภายใต้สภาพแวดล้อมชนบทแบบนั้น คนส่วนใหญ่ล้วนยอมกล้ำกลืนฝืนทนจนวันตาย ก่อนหน้านี้หลิวเฟินก็เป็เช่นนั้น แต่การแข็งข้อเพื่อบุตรสาว ถือว่าทำได้ดีมากทีเดียว
ทังหงเอินเป็บุคคลที่มีงานรัดตัว และต้องหัวหมุนกับเื่สำคัญมากมายในทุกๆ วัน เป็เหตุเขาให้จดจำบุคคลธรรมดาทั่วไปไม่ได้เลย
อีกทั้งหลิวเฟินปรากฏตัวเพียงสองหน ซึ่งเป็การปรากฏตัวที่ยืนเคียงข้างเซี่ยเสี่ยวหลานเสมอ รัศมีของลูกสาวเธอโดดเด่นสะดุดตายิ่งนัก ใครจะจดจำเธอได้?
ทังหงเอินพบว่าตนเองนึกไม่ออกว่าหญิงชนบทคนนี้รูปร่างหน้าตาเป็อย่างไร เขาจดจำได้เพียงรูปร่างผอมแห้ง ตัวไม่สูงนัก ตอนนี้เขาไม่ได้สวมแว่นตา ช่างไม่สะดวกเอาเสียเลย มองอะไรก็เป็ภาพเลือนรางไปหมด
“หัวหน้าตื่นแล้วหรือครับ?”
“เ้านายครับ ผมเสี่ยวเผิง คุณเป็อย่างไรบ้าง? รถอยู่ข้างนอกนี่เอง อีกเดี๋ยวจะพาคุณย้ายโรงพยาบาลทันทีเลยครับ”
คนขับรถและเลขาเข้ามาพร้อมกัน เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลี่ต้งเหลียงตามมาด้านหลัง หลิวเฟินรู้สึกโล่งใจมาก ถ้าถามต่อไปเธอก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรแล้ว โชคดีที่เซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาทันเวลา อีกทั้งยังพาคนที่สามารถช่วยเหลือได้กลับมาด้วย
การเดินทางครั้งนี้ของหลี่ต้งเหลียงซับซ้อนมาก ขณะเขาเพิ่งพาตัวเลขาของทังหงเอินมา ก็ประจวบเหมาะที่เสี่ยวหวังและเซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางไปสำนักงานชุมชนเพื่อขอยืมโทรศัพท์พอดี ตอนนั้นเลขาพร้อมหลี่ต้งเหลียงและคุณหมอใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว ย่อมไม่ได้รับโทรศัพท์เป็ธรรมดา
ทว่าคนทั้งสองกลุ่มก็ได้เจอกันระหว่างทาง พอถึงโรงพยาบาลได้ยินว่าคนไข้ที่ปอดอักเสบเฉียบพลันคืนสติแล้ว เสี่ยวหวังกับเลขาเผิงยื้อแย่งกันถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเ้านาย ลืมเลือนพวกเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งสามคนไปสนิท
เซี่ยเสี่ยวหลาน หลิวเฟิน รวมถึงหลี่ต้งเหลียงเหนื่อยล้าแสนสาหัส ทังหงเอินถูกย้ายขึ้นยังเตียงผู้ป่วยสำหรับรักษาตัวอย่างรวดเร็ว เป็เื่ดีที่ทังหงเอินเองยังมีจิตสำนึก เขาให้เสี่ยวหวังอยู่ก่อน “เสี่ยวหวัง นายกลับเข้าเมืองไปพร้อมกับพวกเธอซะ”
----------------------------------------
เพียงอาการปอดอักเสบเฉียบพลัน เลขาของทังหงเอินกลับตีตนตายก่อนไข้ ถ้าไม่ใช่เพราะทังหงเอินไม่เห็นด้วย เลขาเผิงจะจัดแจงพาเขาส่งไปโรงพยาบาลใหญ่ในหยางเฉิงให้ได้ในบัดดล
ทุกอย่างในเขตพิเศษล้วนคือสิ่งปลูกสร้างใหม่ เลขาเผิงจึงไว้วางใจมาตรฐานโรงพยาบาลของหยางเฉิงมากกว่า
ทังหงเอินนึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะมาเยี่ยมไข้ที่โรงพยาบาลเสียอีก เด็กคนนั้นถึงขั้นแผ่ซ่านความฉลาดหลักแหลมออกมาจากเส้นผม หากไม่ใช้โอกาสนี้แสดงความห่วงใยสักหน่อย ก็ไม่ใช่วิถีของเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว ใครจะรู้ว่าเธอกลับทำสิ่งตรงกันข้าม สารถีเสี่ยวหวังเดินทางมาโรงพยาบาลเพียงคนเดียว และหอบกล่องขนาดใหญ่มาด้วย
“หัวหน้าครับ นี่เป็ของฝากจากอวี้หนานที่เซี่ยเสี่ยวหลานให้มาครับ”
“อืม พวกเขาล่ะ?”
“เธอเอาของให้ผมแล้วก็ไปทันทีครับ บอกว่าต้องรีบกลับซางตู”
เสี่ยวหวังคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานสมองกลับแน่ ไม่ใช่ว่ากำลังพยายามประจบเ้านายอย่างออกหน้าออกตาหรอกหรือ? ครั้งนี้ดูท่าทางสำเร็จแล้ว ทว่ากลับไม่ฉวยชัยชนะไล่ตามศัตรู
เสี่ยวหวังไม่เข้าใจ ทว่าทังหงเอินพอคาดเดาเหตุผลได้
นี่คงรีบกลับไปอ่านหนังสือทบทวนสินะ เหลือเวลาสำหรับเกาเข่าไม่ถึงสองเดือน นักเรียนปีสามคนไหนยังเที่ยวเล่นอยู่ต่างถิ่นบ้าง ยิ่งผลคะแนนดี ยิ่ง้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ ทังหงเอินไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาล้มป่วยคราวนี้ รักษาตัวในโรงพยาบาลสามสี่วันกว่าจะหาย ก่อนหน้านี้ยังปิดบังไว้ แต่ภายหลังหลายๆ คนมาเยี่ยมไข้ ของเยี่ยมที่ส่งมากองเต็มห้องผู้ป่วย
ก่อนออกจากโรงพยาบาล ทังหงเอินวานให้เลขานำ ‘ของขวัญ’ ในห้องผู้ป่วยมอบให้แพทย์และพยาบาลที่เข้าเวรทั้งหมด สถานะของเขานั้นพิเศษ แพทย์กับพยาบาลจึงดูแลเป็อย่างดีระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล ถ้าทังหงเอินไม่รับของพวกนี้ไว้ ผู้ที่มาเยี่ยมไข้จะเสียหน้าเอาได้ พอรับไว้ ทังหงเอินขอพูดจากใจว่าเขาไม่อยากได้ จึงส่งต่อให้แพทย์และพยาบาลแทน
แต่เขาไม่ลืมเตือนเสี่ยวหวังให้นำของดีประจำถิ่นทั้งกล่องที่เซี่ยเสี่ยวหลานให้กลับบ้านด้วย
เสี่ยวหวังเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งในบัดดล
เซี่ยเสี่ยวหลานโง่หรือ? ไม่โง่แม้แต่น้อย
ให้ถ่านร้อนกลางหิมะ ไม่ใช่ปักบุปผาลงบนผ้าทอลาย ได้เห็นหัวหน้าในสภาพน่าอเนจอนาถนั่นแล้ว หลังเหตุการณ์จบก็ไม่มาเตือนความจำหัวหน้าว่าต้องสำนึกบุญคุณ การกระทำเช่นนี้กลับน่าชื่นชมยิ่งกว่า ไม่ว่าอย่างไรหัวหน้าก็จดจำขึ้นใจอย่างแท้จริง
เป็ไปตามคาด เสี่ยวหวังทายไว้ไม่มีผิด สองวันหลังจากทังหงเอินกลับมาทำงานตามปกติ อยู่ๆ ทังหงเอินก็ให้เสี่ยวหวังต่อสายไปยังซางตู
“นายช่วยถามเธอหน่อย เดือนมิถุนาสามารถมาที่นี่ได้หรือเปล่า จะมีการแข่งขันกับบริษัทฮ่องกง ต้องมีหนังสือรับรองอย่างเป็ทางการ”
แข่งขันกับบริษัทฮ่องกงในเดือนมิถุนายน?
เสี่ยวหวังไม่รู้เกี่ยวกับการงานของทังหงเอินเท่าเลขาเผิง เขาเป็เพียงคนขับรถ
แต่เขารู้ดี หัวหน้าตั้งใจจะช่วยเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว
----------------------------------------
การที่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ระริกระรี้ประจบประแจง นอกจากมีไหวพริบ นั่นก็เพราะเธอรีบกลับซางตูจริงๆ
เธอคำนวณเวลา คะแนนการสอบคัดเลือกรอบแรกน่าจะออกมาเรียบร้อย หากไม่ไปรับคะแนนนี้ ทางโรงเรียนก็ใช้ไม่ได้เกินไปแล้ว
และยังมีจ้าวกัง ไม่รู้ว่าผู้กำกับเหลียงจะจัดการอีกฝ่ายอย่างไร
เที่ยวชมชายหาดในเขตพิเศษ กลับโดนฝนถ่วงเวลาไว้หนึ่งคืน พอกระวีกระวาดกลับซางตู เซี่ยเสี่ยวหลานรีบตรงดิ่งไปยังโรงเรียนทันที วันที่ 14 พฤษภาคม การสอบคัดเลือกรอบแรกสิ้นสุดไป 5 วัน ผลคะแนนสอบของทั่วมณฑลรวมยอดออกมาทั้งหมดแล้ว
เมื่อถึงหน้าประตูโรงเรียน ก็เห็นป้ายที่แขวนอยู่ ‘เฉลิมฉลองอย่างอบอุ่นแก่อันชิ่งเซี่ยนอีจงที่อัตราผ่านการสอบคัดเลือกรอบแรกประจำปี 1984 สูงถึง 75% !’
อัตราผ่านการสอบคัดเลือกรอบแรก 75% ?
เซี่ยเสี่ยวหลานเคยได้ยินว่าอัตราผ่านการสอบคัดเลือกรอบแรกของโรงเรียนในปีก่อนคือ 51% ผู้เข้าสอบครึ่งหนึ่งจะถูกปัดทิ้งในด่านสอบคัดเลือกนี้ ปีนี้กลับเพิ่มสูงขึ้นเป็ 75% อาจารย์ใหญ่ซุนต้องดีใจมากแน่นอน
ไม่ใช่แค่อาจารย์ใหญ่ซุน เหล่าจ้าวยามเฝ้าประตูก็ดีใจมากไม่แพ้กัน พอเห็นว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมาแล้ว เหล่าจ้าวมีท่าทีภาคภูมิใจเหลือล้นเกินใคร
“เธอรู้หรือเปล่าว่าตัวเองสอบได้กี่คะแนน?”