เซียวหยางผิงคุยกับอ๋าวหรานอยู่สักพักก็อ้างว่ายังมีธุระ เป็เหตุให้ต้องแยกจากไปก่อน อ๋าวหรานคาดว่าเซียวหยางผิงคงคิดว่าเขาไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ก็เลยคร้านจะพูดกับเขาแล้ว
อ๋าวหรานที่ในที่สุดก็สามารถสลัดตัวปัญหาใหญ่ออกไปได้พลันบังเกิดความรู้สึกสบายใจเป็อย่างมาก เขาเดินเล่นอย่างมีความสุขอยู่ในตระกูลจิ่งอยู่พักหนึ่ง เดินไปเดินมาในที่สุดก็กลับหาทางกลับไปที่เรือนเล็กของตัวเองจนเจอ
กลับมาถึงเรือนเล็กของตนเอง อ๋าวหรานนิ่งไปพักหนึ่ง ในสมองเริ่มจัดระบบความคิดอีกครั้ง เหม่อมองไปนอกหน้าต่าง นี่เพิ่งจะเลยเวลาเที่ยงไปแค่นิดหน่อย คาดว่าคนตระกูลจิ่งส่วนใหญ่น่าจะยังคึกคักกันอยู่ คนเยอะคงจะถูกพบได้ง่าย อ๋าวหรานตัดสินใจว่ารอให้ฟ้ามืดแล้วค่อยไปหาจิ่งฝานสองพี่น้อง
เมื่อคืนไม่ได้หลับทั้งคืน วันนี้จิตใจจึงยังเครียดเขม็ง เค้นสมองเสียมากมาย ตอนนี้จึงเอนตัวลงบนเตียงเงียบๆ อ๋าวหรานถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองง่วงแล้วจริงๆ
ช่างเถิด นอนกลางวันสักหน่อยก็ดี
อ๋าวหรานนอนหลับยาวไปจนพระอาทิตย์ตกไปหลังเขาแล้ว ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาด้านนอกมืดสนิท อ๋าวหรานถึงกับมึนอยู่ครู่หนึ่งไม่รู้แล้วว่าวันนี้เป็วันใด กะพริบตา หยีตา ถ่างตาอยู่พักหนึ่ง สมองจึงจะตื่นเต็มที่
อ๋าวหรานสวมรองเท้าลงจากเตียง ยืนยืดเอวบิดี้เีอยู่ข้างเตียง เตรียมตัวออกไปหาสองพี่น้องตระกูลจิ่ง สุดท้ายเพิ่งเดินไปถึงหน้าประตูยังไม่ทันได้ดึงประตูเปิด ก็ได้ยินเสียงของจิ่งเซียงดังมาจากในสวน
อ๋าวหรานยิ้มพร้อมเปิดประตู มองเห็นจิ่งเซียงกับจิ่งฝานกำลังเดินเข้ามาจริงๆ ด้วย
จิ่งเซียง “อ้าว อ๋าวหรานเ้าตื่นแล้วหรือ!”
อ๋าวหรานตอบกลับว่า “ใช่แล้ว กำลังจะไปชวนพวกเ้ากินข้าวเย็นพอดี คิดไม่ถึงว่าพวกเ้าจะกลับมาแล้ว”
จิ่งเซียงหัวเราะพรืดออกมา พูดว่า “กินข้าวเย็น? พวกเรากินกันเรียบร้อยแล้ว เ้าก็ไม่ดูหน่อยหรือว่านี่มันยามไหนแล้ว”
อา... ก็จริง ถ้าเป็ในยุคปัจจุบันเวลานี้เพิ่งจะกินข้าวกัน ชีวิตยามราตรีก็เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น
จิ่งฝานเองก็พูดว่า “วางใจเถอะ เหลือข้าวเย็นไว้ให้เ้าแล้ว”
ระหว่างที่พูดก็ยิ้มและยกถาดอาหารในมือขึ้นเล็กน้อย หากอ๋าวหรานตั้งใจมองอย่างละเอียดล่ะก็ จะเห็นว่ายิ้มของจิ่งฝานไม่ได้แผ่ไปถึงดวงตา
น่าเสียดาย อ๋าวหรานก็แค่ตอบไปด้วยความยินดีว่า “ฮ่าฮ่า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณแล้ว นอนหลับไปตื่นหนึ่ง ท้องข้าก็หิวแล้ว”
อ๋าวหรานพูดต่อว่า “พวกเ้ามาพอดี เดิมทีข้าคิดจะไปหา ข้ามีเื่สำคัญบางอย่างจะคุยกับพวกเ้า”
จิ่งเซียงสีหน้าสงสัยถามว่า “เื่สำคัญอันใดกัน? เ้าคงไม่ได้คิดจะเตรียมตัวไปจากตระกูลจิ่งอีกแล้วหรอกนะ? เ้าวางใจ ท่านลุงใหญ่เห็นด้วยให้เ้าอยู่ที่นี่แล้ว”
อ๋าวหรานสั่นศีรษะ “ไม่ใช่ เป็เื่อื่น พวกเ้าเข้ามาก่อน”
จิ่งฝานพูด “อืม เข้าไปพูดข้างในเถิด เ้ากินข้าวเสียก่อน กินเสร็จแล้วค่อยพูด”
อ๋าวหรานเอาถาดอาหารมาจากมือของจิ่งฝาน คนทั้งสามเดินเคียงไหล่กันเข้าไปด้านใน
ข้าวเย็นอุดมสมบูรณ์ยิ่ง แต่อ๋าวหรานเห็นในถ้วยโจ๊กเป็โจ๊กสมุนไพรก็อดถามไม่ได้ว่า “ทำไมยังเป็อันนี้อีก ข้ารู้สึกว่าข้าหายดีแล้ว”
ั้แ่ที่จิ่งฝานรับดูแลอ๋าวหรานต่อ เริ่มจัดยารักษาแผลให้เขา ทุกวันจะมีโจ๊กหนึ่งถ้วย โจ๊กนี้ไม่ได้รสชาติแย่แต่อย่างไรก็เป็ยา กลิ่นแปลกประหลาด ไม่เสริมความอยากอาหาร และอีกอย่างกินมาตั้งหลายวันแล้ว อ๋าวหรานก็เริ่มรู้สึกเบื่อแล้วจริงๆ
อ๋าวหรานพูดจบ ได้ยินจิ่งฝานส่งเสียงหัวเราะตอบว่า “วางใจเถอะ นี่เป็มื้อสุดท้ายแล้ว”
รอยยิ้มนี้ ดูเย็นเฉียบอย่างไรพิกล
อ๋าวหรานทำท่าทางหลุดพ้น “เช่นนั้นก็ดี ถ้ายังต้องกินเ้านี่อีก ข้าคิดว่าต่อไปข้าคงไม่อยากกินโจ๊กอีกแล้ว”
อ๋าวหรานกินข้าวเรียบร้อยกว่าคนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันอยู่เล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น เทียบกับท่าทางเชื่องช้าของตระกูลจิ่งแล้วยังเร็วกว่ามาก
หลังจากรีบกินข้าวมื้อนี้เสร็จ อ๋าวหรานเช็ดปากถามว่า “ด้านนอกน่าจะไม่มีคนใช่หรือไม่?”
จิ่งฝานแลดูสงสัยนิดหน่อย อดถามไม่ได้ว่า “ไม่มี ทำไมหรือ?”
อ๋าวหราน “เช่นนั้นก็ดี”
เอาเถอะ ก็ไม่ใช่เพราะอ๋าวหรานขี้ระแวงหรอก แต่ในละครมักจะมีแต่ฉากแบบนี้ ทำให้อ๋าวหรานถึงกับคิดว่าก่อนพูดความลับ ควรจะดูข้างนอกก่อนว่ามีคนแอบฟังหรือเปล่า
จิ่งเซียงสีหน้าสงสัยใคร่รู้ “อ๋าวหราน ตกลงเ้าจะพูดอะไร? ลึกลับขนาดนี้”
อ๋าวหรานมองคนทั้งสองที่ดูสงสัยอยู่แวบหนึ่ง ถอนหายใจตอบ “เฮ้อ... ก่อนพูดคงจะต้องขอโทษพวกเ้าสองคนก่อน วันนี้ที่ช่างฉือจาย คำที่ข้าพูดทั้งหมดนั้นเป็เื่หลอกลวง”
จิ่งเซียงพูดด้วยความใ “หลอกลวงหรือ? เพราะอะไร?”
อ๋าวหรานตอบด้วยความสำนึกผิด “มีเหตุที่ต้องทำเช่นนี้จริงๆ ตอนนี้ไม่มีใครอื่น ข้าก็ตั้งใจจะอธิบายกับพวกเ้าให้ชัดเจน”
จิ่งฝานที่เงียบมาพักหนึ่งถามว่า “เ้าจะพูดอะไร?”
อ๋าวหราน “ตระกูลข้าถูกฆ่าล้างตระกูลไม่ใช่เพราะมีเื่เหมืองเงินที่ขัดแย้งกับตระกูลเฉิน และแม้แต่นักฆ่าเองก็ไม่ใช่คนตระกูลเฉินด้วย”
จิ่งเซียง “เป็เป็ไปได้อย่างไร? เช่นนั้น...?”
อ๋าวหราน “คนที่ฆ่าล้างตระกูลข้า้าหาคัมภีร์ลับจริงๆ แต่คัมภีร์ลับนี้ไม่ใช่เพลงกระบี่ของตระกูลข้า แต่เป็คัมภีร์ลับเื่ความเป็ะ”
จิ่งเซียง “ในโลกนี้ยังมีคัมภีร์ลับเช่นนี้อยู่หรือ? เป็ไปได้อย่างไร?”
อ๋าวหราน “คัมภีร์ลับนั้นมีอยู่จริง แต่จะเป็ะได้จริงหรือไม่ ข้าเองก็ไม่ทราบ”
ตอนที่ว่านเฝิงออกแบบคัมภีร์ลับนี้นั้น เขา้าให้คนที่ฝึกสามารถเป็ะได้จริง แต่นิยายตอนนั้นเขียนถึงแค่ตอนที่จิ่งฝานอายุสามสิบกว่าก็ทิ้งประเด็นนี้ไป ไม่เขียนต่อแล้ว ดังนั้นจะเป็ะได้จริงหรือไม่ เขายังไม่แน่ใจ
จิ่งฝานถามว่า “คัมภีร์นี้เป็ของตระกูลเ้าหรือ?” ด้วยเสียงแหบต่ำไม่ชัดเจน
อ๋าวหรานเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก ตอบว่า “ไม่ใช่ แต่รู้สึกว่าจะอยู่ที่เขาจือเหยาใต้ต้นไม้พันปีต้นหนึ่ง แต่ที่อยู่ที่แน่ชัด ข้าเองก็ไม่ทราบ”
นี่คือผลจากการย้อนนึกอย่างหนักของอ๋าวหรานแล้ว แม้แต่เขาจือเหยาอ๋าวหรานเกือบจะก็จำไม่ได้ ในนิยายตอนนั้นบรรยายเนื้อหาที่ไม่ได้เป็สาระสำคัญอยู่เยอะทีเดียว สำหรับที่อยู่ที่แน่ชัดมีบอกเพียงแค่ว่า ‘มีต้นไม้พันปีต้นหนึ่ง’ นอกนั้นเป็แค่การบรรยายความคิดของตัวเอกเื่ทัศนียภาพอะไรพวกนั้น แต่ทว่าทัศนียภาพอะไรพวกนี้ อ๋าวหรานกลับไม่ได้ตั้งใจอ่าน! เสียใจภายหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว!
จิ่งเซียง “ทำไมคัมภีร์ลับเช่นนี้ในยุทธภพกลับไม่มีข่าวคราวอะไรเลย”
เด็กน้อย... ถามได้ตรงจุดพอดี
อ๋าวหราน “เพราะว่าคนที่ไม่ทราบก็ไม่ทราบเลยแม้แต่น้อย ส่วนคนที่ทราบก็แค่ถ่ายทอดกันภายใน ปิดผนึกไว้โดยสิ้นเชิง”
จิ่งเซียงถามอย่างร้อนรน “เช่นนั้นคนในตระกูลเ้าในเมื่อทราบแล้ว เหตใดถึงไม่ไปเอาคัมภีร์มาฝึกฝนหรือไม่ก็บอกพวกนักฆ่านั้นไป หรือว่าชีวิตคนยังสำคัญไม่เท่าคัมภีร์ลับเล่มหนึ่งหรือ?”
อ๋าวหรานหัวเราะขมขื่น “คนตระกูลข้าเองไม่ทราบ ไม่ทราบจริงๆ”
จิ่งเซียง “แต่เ้า...”
อ๋าวหรานท่าทางทำเหมือนช่วยอะไรไม่ได้ เขาตอบว่า “ข้าเองก็เพิ่งทราบเช่นกัน หากถามว่าข้าทราบได้อย่างนั้น ข้าเองก็อธิบายไม่ได้”
อ๋าวหรานไม่สามารถโกหกได้ ทุกคำโกหกหนึ่งคำนั้นต้องแต่งคำโกหกอีกเป็ร้อยเพื่อไปปกปิดคำโกหกก่อนหน้านี้เพียงคำเดียว มีช่องโหว่มากมาย อ๋าวหรานไม่อาจปกปิดได้หมดจริงๆ ทำได้เพียงพูดความจริง ส่วนตรงที่พูดไม่ได้ก็เงียบเสีย
จิ่งเซียง “เช่น้นเ้ารู้หรือไม่ว่านักฆ่าพวกนั้นเป็ผู้ใด?”
อ๋าวหราน “รู้”
จิ่งเซียงสีหน้าตกตะลึง ดวงตาที่ปกติก็โตอยู่แล้วถูกเบิกให้โตขึ้นไปอีก
ส่วนจิ่งฝานเองก็อึ้งไปเหมือนกัน สักพักถึงถามขึ้นว่า “ทำไมเ้าต้องพูดเื่คัมภีร์ลับกับพวกเรา? ทำไมถึงเพิ่งมาพูดเอาตอนนี้ ไม่พูดที่ช่างฉือจาย?”
อ๋าวหราน “พูดความจริงมีแต่จะนำปัญหามาให้กับข้าและพวกเ้า คนที่ตามหาหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เราคิด อำนาจของพวกนั้นยิ่งใหญ่มาก หากข้าพูดไปว่าคัมภีร์ลับมีอยู่จริงๆ ไม่ได้เป็การเพิ่มโอกาสให้กับตัวข้าเอง กลับกัน จะทำให้ข้าตายเร็วยิ่งขึ้น คนไม่ผิด ผิดที่หยก [1] ส่วนที่บอกพวกเ้าก็เพราะว่ามีแค่พวกเ้าเท่านั้นที่ข้าสามารถเชื่อใจได้โดยปราศจากความระแวงสงสัยใด และคัมภีร์ลับเช่นนี้ข้าก็หวังให้มันตกอยู่ในมือพวกเ้าเท่านั้น แต่ว่าเื่พวกนี้ต้องเก็บเป็ความลับ จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ มิเช่นนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาได้”
จิ่งฝานจับแก้วที่อยู่ในมือ พูดด้วยน้ำเสียงแปลกไป “วันนี้เ้าพูดอะไรกับเซียวหยางผิง?”
อ๋าวหรานแปลกใจว่าทำไมจิ่งฝานถึงเรียกชื่อเต็มของเซียวหยางผิงออกมาเช่นนี้?
อ๋าวหรานสงสัย “หืม? เ้าเห็นแล้วหรือ?”
จิ่งเซียงพยักหน้า “ข้ากับท่านพี่เห็นแล้ว”
อ๋าวหรานหยุดเล็กน้อยตอบว่า “เขาถามข้าเกี่ยวกับเื่คัมภีร์ลับ”
จิ่งเซียงเงยหน้าขึ้นมากะทันหัน ถามด้วยความใ “เขา...เขารู้ได้อย่างไร?”
อ๋าวหรานตอบอย่างเจ็บแค้น “เพราะเขาเป็หนึ่งในเพชฌฆาตที่ฆ่าล้างตระกูลข้า!”
รอบนี้ แม้แต่จิ่งฝานยังเงยหน้า สีหน้าตกตะลึงมองอ๋าวหราน
จิ่งฝาน “เ้าก็พูดเื่คัมภีร์ลับกับเขาหรือ?”
อ๋าวหรานส่ายหน้า “หาไม่ ข้ายืนยันว่าตระกูลเฉินเป็ผู้ฆ่าล้างตระกูลข้า คัมภีร์ลับที่พวกนั้น้าหาก็คือเพลงกระบี่ตระกูลอ๋าว”
เชิงอรรถ
[1] คนไม่ผิด ผิดที่หยก(匹夫无罪 怀璧其罪)หมายถึงคนไม่ผิด แต่การสิ่งล้ำค่าจะไปกระตุ้นความริษยาของผู้อื่น