ผู้คนที่หมั่นไส้หลัวเลี่ยเกือบจะเข่าอ่อนทรุดตัวลงเมื่อพวกเขาได้ยินประโยคสุดท้ายที่หลัวเลี่ยพูดออกมา
หลัวเลี่ยไม่ได้สนใจว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับเขา เขาเดินแหวกออกมาจากทางที่ผู้คนหลีกให้ แล้วตรงไปยังเทือกเขาเหยียนรื่อ
“เขา เขายังสติดีอยู่หรือไม่”
“ข้าคิดว่าเขาต้องเป็บ้าไปแล้วแน่ๆ ไม่สิ เดิมทีเขาก็เป็คนบ้าอยู่แล้ว แต่นี่เขาคิดจะสังหารไก้อู๋ซวงเชียวหรือ”
“ทั้งยังกล้าถึงขนาดที่พูดออกมาโต้งๆ เขาอยากรนหาที่ตายหรืออย่างไร”
ทุกคนต่างแตกตื่นใ
แต่เมื่อผู้คนที่กำลังแตกตื่นได้ยินเสียงของหลัวเลี่ยที่เอ่ยประโยคหนึ่งลอยเข้ามา พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเงียบลง
“แน่นอนว่าการแก้แค้นต้องทำอย่างเปิดเผยและยุติธรรม”
เมื่อทุกคนได้ยินประโยคนี้ พวกเขาก็เริ่มเชื่อมโยงเื่ราว
ซูเล่ยะโขึ้นมาว่า “เ้าจะแก้แค้นให้ข่งเยวี่ยเจินหรือ? เ้าคิดจะใช้ประโยชน์จากเื่นี้ในการเข้าตระกูลข่งด้วยใช่หรือไม่?”
“ข้าแค่้าแก้แค้น” หลัวเลี่ยค่อยๆ เดินออกไปไกล
ซูเล่ยอดไม่ได้ที่จะะโถามเสียงดังว่า “เป็เพราะตอนแรกข่งเยวี่ยเจินเคยออกหน้าช่วยเ้าในการไล่ข้ากับจั่วอีฝานหรือ? แม้ว่าความจริงแล้วเ้าจะแข็งแกร่งจนไม่้าความช่วยเหลือจากนางเลยก็ตาม แต่หากเ้าไปสังหารไก้อู๋ซวง ก็เท่ากับว่าเ้าประกาศตัวเป็ศัตรูกับแคว้นเหยียนหลง และที่สำคัญ เท่ากับว่าเ้าประกาศตัวเป็อริกับท่านบรรพชนอูอวิ๋นเซียนด้วย เ้าคิดว่ามันคุ้มค่าแล้วหรือ?”
ภาพแผ่นหลังของหลัวเลี่ยค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาของทุกคน
หลัวเลี่ยตอบกลับมาว่า
“คุ้มค่า!”
ทุกคนต่างคิดว่าไม่คุ้มค่า และหลัวเลี่ยช่างโง่เขลา แต่หลัวเลี่ยก็ไม่ได้ใส่ใจความคิดของคนอื่น
เขาเดินมุ่งไปที่เทือกเขาเหยียนรื่อ
การเคลื่อนไหวนี้ของหลัวเลี่ยสร้างความสั่นะเืไปทั่วทั้งแคว้นเหยียนหลงเป็อย่างมาก
ใครๆ ก็รู้ว่าไก้อู๋ซวงสำคัญต่อแคว้นเหยียนหลงขนาดไหน แต่ตอนนี้กลับมีคนกล้าประกาศว่าจะสังหารนาง เื่นี้ทำให้ผู้คนตื่นใอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่ประกาศนั้นคือหลัวเลี่ยที่พอจะมีชื่อเสียงเล็กน้อยว่ากองกำลังต่างๆ ล้วน้าตัวเขา
สำหรับเื่การสังหารหลัวเลี่ย ก่อนหน้านี้ที่ไม่มีใครเคยทำได้นั้น ไก้อู๋ซวงซึ่งเป็คนรุ่นเดียวกับหลัวเลี่ย และเคยประกาศตนว่านางจะกวาดล้างหนุ่มสาวทั้งหมด หากมีคนสังหารหลัวเลี่ย ไม่แน่ว่านางก็อาจสังหารคนคนนั้นด้วย
สำหรับหญิงสาวที่มีความมั่นใจในตัวเองนั้น นางก็อยากพิสูจน์ตนเองโดยไม่ยืมมือคนอื่น
เมื่อหลัวเลี่ยเดินออกมาจากเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงคนเดียว เขาก็ได้ยินเสียงของข่งไท่โต้วดังขึ้นข้างๆ หู
“ถ้าเ้าไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตระกูลข่ง เ้าจะแก้แค้นให้เยวี่ยเจินไหม”
นี่ก็เป็คำถามที่ติดอยู่ภายในใจของข่งไท่โต้วเช่นกัน
การที่มีตระกูลข่งคอยหนุนหลังกับไม่มีนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หลัวเลี่ยพูดโดยไม่ได้หยุดคิดว่า “ทำ!”
ข่งไท่โต้วพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
หลัวเลี่ยรู้ว่าข่งไท่โต้วเคลือบแคลงกับคำตอบของเขา ว่าเขาตอบออกมาจากใจจริงหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสริมไปอีกว่า “เ้ายังจำเงื่อนไขที่ข้าพูดในตอนที่เ้ามาชวนข้าเข้าตระกูลข่งได้หรือไม่ ข้าบอกว่าหากไม่มีคำเอ่ยขอจากข้า ห้ามตระกูลข่งออกหน้าเข้ามาช่วยเหลือข้า ต่อให้คนที่ต่อสู้กับข้าจะเป็ปรมาจารย์ในระดับาุโแล้วก็ตาม”
หลังจากที่สายลมพัดผ่านแ่เบา หลัวเลี่ยก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
ทันใดนั้นบนทางเดินอันเงียบสงบก็ปรากฏร่างของข่งไท่โต้วขึ้น
แน่นอนว่าข่งไท่โต้วย่อมจำคำขอของหลัวเลี่ยในตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกได้
ในตอนนั้นข่งไท่โต้วไม่ได้คิดอะไรกับคำขอนี้ แต่ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าสิ่งที่หลัวเลี่ยพูดออกมานั้นเป็ความจริง ว่าต่อให้ไม่มีตระกูลข่งคอยหนุนหลังอยู่ เขาก็จะยังคงแก้แค้นให้ข่งเยวี่ยเจิน
ข่งไท่โต้วเองก็ไม่เข้าใจการตัดสินใจของหลัวเลี่ยเช่นกัน
แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลัวเลี่ยและข่งเยวี่ยเจินนั้นเป็เพียงเพื่อนกันเท่านั้น
เทือกเขาเหยียนรื่อนั้นร้อนระอุ ความร้อนภายในเทือกเขานี้ หากไม่ใช่ผู้ฝึกวรยุทธ์คงอยู่ไม่ได้แน่
ดอกไม้ พืช และต้นไม้ของที่นี่ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากจะทนต่อความร้อนแล้ว ต้นไม้บางต้นก็มีประกายไฟลุกไหม้อยู่ที่บริเวณพื้นผิว แม้แต่พืชพรรณและดอกไม้ต่างก็มีไฟลุกไหม้อยู่เช่นกัน
แม้จะมีความโดดเด่นเช่นนี้ แต่สถานที่นี้ก็ดูเหมือนจะมีขอบเขตที่ชัดเจน และไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโลกภายนอก แม้แต่สถานที่ที่อยู่ติดกันกับเทือกเขาเหยียนรื่อก็เป็พื้นที่ปกติ และไม่ได้รับความร้อนหรือเปลวไฟที่อยู่ภายในเทือกเขาเหยียนรื่อนี้
เทือกเขานี้มีความพิเศษและยาวมาก มันทอดยาวไปเกือบพันลี้
การประลองยุวราชันแห่งแคว้นทางเหนือทั้งร้อยแคว้นน่าจะอยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณร้อยจั้ง ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงไม่รีบร้อนที่จะตามหาไก้อู๋ซวง เพราะหนึ่งไก้อู๋ซวงคงจะรู้ตัวอยู่แล้วว่าเขาจะมาสังหารนาง และเมื่อพิจารณาจากนิสัยของนางแล้ว นางคงจะมาหาเขาเองเสียด้วยซ้ำ หากเป็เช่นนั้นเขาก็จะได้ไม่เสียเวลาด้วย สองคือหลัวเลี่ยไม่อยากประมาท เพราะเขารู้ว่าการจะจัดการกับไก้อู๋ซวงนั้นไม่ใช่เื่ที่จะทำได้อย่างง่ายดาย
ต้นกำเนิดของไก้อู๋ซวงนั้นลึกลับมาก นางฝึกฝนและรับพลังธรรมชาติอยู่ในไข่ถึงสิบเจ็ดปี เื่นี้ทำให้ทุกคนต่างคิดว่าพลังของนางย่อมแข็งแกร่งไม่แพ้ผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์
เื่นี้ทำให้ข้อได้เปรียบของหลัวเลี่ยที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์โดยมีพลังอยู่ในระดับผู้ฝึกตนนั้นหายไปโดยทันที
นอกจากนี้อาจารย์ของไก้อู๋ซวงยังเป็บรรพชนอูอวิ๋นเซียนอีก วิชายุทธ์รวมถึงอาวุธของเขานั้นล้วนเป็สิ่งที่ไม่ธรรมดา หากหลัวเลี่ยไม่ระวังตัวให้ดี เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้
ดังนั้นสิ่งแรกที่หลัวเลี่ยต้องทำคือการทะลวงระดับพลังวรยุทธ์
พลังวรยุทธ์ของหลัวเลี่ยถึงจุดสูงสุดของระดับสิบในระดับผู้ฝึกตนแล้ว รวมทั้งตอนนี้เขามีเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมอยู่ในมือแล้ว ดังนั้น่เวลานี้จึงเหมาะที่จะเก็บตัวฝึกฝนเพื่อทะลวงระดับพลังวรยุทธ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาจะฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมต่อ
แม้ว่าข้อกำหนดสำหรับการฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมนี้จะมีความเข้มงวดมาก แต่ก็ไม่เป็ปัญหาสำหรับหลัวเลี่ย สิ่งที่สำคัญคือเขา้าทะลวงระดับพลังในคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวง
เพราะระดับพลังที่หลัวเลี่ยจะทะลวงเข้าไปคือระดับหยินหยาง ซึ่งถือว่าเป็ระดับที่ต้องดูดซับพลังจากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เพื่อชำระล้างร่างกาย
หยินคือดวงจันทร์
หยางคือดวงอาทิตย์
ระดับพลังนี้จึงถือได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เป็อย่างมาก
พลังของดวงอาทิตย์นั้นมีอยู่เสมอในทุกๆ วัน
ขาดเพียงแสงจากดวงจันทร์ ขอเพียงเป็วันที่จันทร์เต็มดวง เขาก็จะสามารถทะลวงระดับพลังได้แล้ว
และเหตุผลที่หลัวเลี่ยรีบมาถึงเทือกเขาเหยียนรื่อในครั้งนี้ ก็เพราะคืนพรุ่งนี้จะเป็คืนที่พระจันทร์เต็มดวง
ในเทือกเขาเหยียนรื่อนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังธรรมชาติ ดังนั้นที่หลัวเลี่ยต้องทำคือหาที่เหมาะสมสักแห่งในเทือกเขาเหยียนรื่อ เพื่อใช้เป็ที่ตั้งในการเก็บตนทะลวงระดับพลังวรยุทธ์
ดังนั้นเมื่อหลัวเลี่ยก้าวเข้าสู่เทือกเขาเหยียนรื่อ เขาจึงเริ่มมองหาสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการทะลวงระดับพลัง
หลัวเลี่ยเดินขึ้นไปบนยอดเขายอดหนึ่ง จากนั้นเขาก็กวาดสายตาลงมามองไปรอบๆ
หลังจากที่กวาดตาไปรอบๆ เทือกเขาเหยียนรื่อ ก็พบว่าเทือกเขาแห่งนี้ที่ต้นไม้ ดอกไม้ และยังมีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่อีกด้วย
เมื่อมองแวบแรก หลัวเลี่ยไม่เห็นอะไรพิเศษ ดังนั้นเขาจึงเดินหน้าต่อไป แต่เขาก็ยังไม่พบสถานที่ใดที่ควรค่าแก่การเก็บตัวทะลวงระดับพลัง
เวลาผ่านมาถึงยามค่ำคืนแล้ว
หลัวเลี่ยหยิบของกินออกมากินเล็กน้อยแล้วเริ่มเดินทางออกค้นหาต่อ
ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่แตกต่างออกไป
มีแสงไฟจางๆ ปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตัวหลัวเลี่ย
พื้นที่ตรงนั้นเป็ป่าเล็กน้อย มีต้นไม้ขึ้นทับซ้อนกันจนทำให้มองไม่เห็นอะไรเลยในเวลากลางวัน แต่ในเวลากลางคืนเช่นนี้กลับมีแสงแสงหนึ่งส่องสว่างออกมา แสงนั้นดูเหมือนเป็เปลวไฟจากต้นสาลี่ที่บนต้นนั้นเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชติ่
หลัวเลี่ยซึ่งยืนอยู่บนที่สูง มองจากที่ไกลๆ ลงมาพบว่าบริเวณนี้มีแสงสว่างส่องออกมาราวกับแสงอาทิตย์ นอกจากนี้เปลวเพลิงที่อยู่บนต้นยังมีสะเก็ดประกายเพลิงปะทุออกมาแล้วตกลงสู่พื้นดิน ราวกับว่าพวกมันกำลังช่วยหล่อเลี้ยงพื้นดินให้ชุ่มชื่น
เมื่อเห็นเช่นนั้นหลัวเลี่ยจึงเดินไปที่นั่นทันที
หลัวเลี่ยไม่ได้ใช้วิชายุทธ์ที่ช่วยเพิ่มความเร็วเลย แต่เขาะโไปตามกิ่งไม้เพื่อไม่ให้สัตว์ที่อยู่ในเทือกเขาเหยียนรื่อแตกตื่น เพราะสัตว์ที่อยู่ในนี้อาจมีพลังมากกว่าระดับหยินหยาง
เมื่อหลัวเลี่ยมาถึงสถานที่ที่เขามองเห็นแสงไฟ แล้วเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บนนั้น เขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าที่นี่คือสถานที่ที่เขากำลังมองหาอยู่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้