ยามเย็นองครักษ์สองนายที่ส่งคนสกุลหลี่กลับเรือนรีบขับรถม้ากลับจวนเจียง หลังทานอาหารเย็นเสร็จแล้วก็หารือกัน และตัดสินใจไปที่ห้องหนังสือ
“นายท่านขอรับ วันนี้มารดาของท่านหมอเทวดาน้อย…”
เจียงชิงอวิ๋นฟังคำขององครักษ์ทั้งสองจนจบ ก็เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ารู้แล้ว” พลางวางหนังสือลงและดำดิ่งสู่ห้วงคะนึง
ใบไม้เรียวเล็กมิรู้ผู้ใดตัดแต่ง ลมวสันต์เดือนสองเฉกกรรไกร[1] เพียงพริบตาเดียวก็มาถึงเดือนสองแล้ว วสันตฤดูของดินแดนทางเหนือมาช้ากว่าดินแดนทางใต้หนึ่งเดือน ยามนี้ลมหนาวแห่งฤดูใบไม้ผลิยังคงเย็นะเืและยังมีหิมะตกในยามราตรี
อากาศกำลังเริ่มหนาวเย็นลง หลี่ซานยืนอยู่นอกประตูรั้วมองดูหมู่บ้านที่มีหิมะปกคลุมเทือกเขาไปทั่ว คิดในใจว่าหลังหิมะตกครานี้อากาศจะอบอุ่นขึ้นหรือไม่
หลี่หรูอี้กำลังเดินออกมาจากห้องยา เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่แสนคุ้นเคยที่นอกประตูจึงร้องเรียกเสียงดังว่า “ท่านพ่อเ้าคะ ท่านมายืนอยู่กลางหิมะทำสิ่งใด รีบเข้ามาในเรือนเร็วเ้าค่ะ”
หลี่ซานสีหน้าปราศจากอารมณ์ ขณะเดินเข้ามาถึงชายคาบ้านแล้วกระทืบเท้าเคาะหิมะและดินให้หลุดออก รอครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปในห้องนอน
จ้าวซื่อและนางจางเพิ่งกล่อมเด็กทารกที่ร้องไห้งอแงทั้งสองคนจนหลับ เมื่อนั้นทุกสิ่งในหล้าก็สงบลงทันตา
เลี้ยงดูเด็กเล็กมิใช่เื่ง่าย และยิ่งต้องเลี้ยงเด็กสองคนในเวลาเดียวกันยิ่งไม่ง่ายเข้าไปใหญ่
หลี่ซานมองเด็กทารกน้อยที่นอนหลับอยู่ในเปล พวกเขาคือเืเนื้อเชื้อไขของสกุลหลี่ของเขา ไม่ว่ามองอย่างไรก็ชื่นชอบไปเสียหมด
จ้าวซื่อเดินมาหาพลางถามอย่างเอาใจใส่ว่า “วานนี้เ้านอนหลับไม่ดี วันนี้ก็จิตใจล่องลอย มีความในใจอันใดหรือ”
สายตาของหลี่ซานจับจ้องไปที่ภรรยา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนว่า “วานนี้พี่หวังฝากคนมาบอกข้าว่า ในตัวอำเภอมีคนขายที่ดินราคาถูก เรือนเขาจะซื้อที่ดินสิบกว่าหมู่ จึงถามข้าว่าจะซื้อหรือไม่”
“ท่านอยากซื้อที่ดิน แต่บ้านเราต้องสร้างเรือนใหม่และยังต้องส่งเสียพวกเจี้ยนอันทั้งสี่คนเล่าเรียนอีก จึงกลัวว่าจะไม่มีเงินใช่หรือไม่”
“ใช่”
จ้าวซื่อส่ายหน้าช้าๆ เพียงแต่สามีเป็หัวหน้าครอบครัวต่อให้จะปฏิเสธเขา ก็ต้องใช้ท่าทีที่อ่อนโยน ไม่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่สามารถตัดสินใจเื่ใหญ่ๆ และไม่มีฐานะใดในครอบครัว เมื่อนั้นจึงเอ่ยเสียงละมุนไปว่า “บ้านเราทยอยซื้อที่นาดีทั้งก่อนหลังมาร้อยกว่าหมู่แล้ว นี่ยังไม่นับที่ดินอีกห้าสิบหมู่ในมือของหรูอี้อีก เ้ายังคิดจะซื้ออีกกี่มากน้อย?”
“แน่นอนว่ายิ่งมากก็ยิ่งดี” คราก่อนซื้อที่ดินจนติดใจแล้ว แม้ที่ดินคราวนี้จะราคาไม่ถูกเหมือนคราก่อน แต่ก็ไม่แพง หากซื้อมาได้ก็จะดีเพราะนั่นเป็ที่นาดีทีเดียว
“แล้วที่ท่านทั้งต้องสร้างเรือน ทั้งต้องส่งเสียพวกของเจี้ยนอันสี่คนร่ำเรียนเล่า? ท่านลองคิดดูว่าปีก่อนบ้านเราอยู่ในสภาพเช่นไร”
หลี่ซานก้มหน้าไม่พูดอะไร
จ้าวซื่อกลัวว่าสามีจะคิดไม่ตก พลันถอนใจเบาๆ คราวหนึ่ง กล่าวว่า “เหตุใดเ้าจึงถูกผีซื้อที่ดินเข้าสิงเช่นนี้เล่า?”
“ไม่ได้ถูกสิง ข้าก็แค่ลองคิดดูเท่านั้น”
จ้าวซื่อเข้าไปซบไหล่หลี่ซาน กล่าวด้วยน้ำเสียงแสนละมุนว่า “พี่ซาน เ้าอย่าคิดอีกเลย รีบไปตอบพี่หวังเถิด บอกว่าที่ดินของบ้านเรามีพอแล้ว เงินทองเอาไว้ใช้ในเื่อื่นบ้าง อย่าเพิ่งซื้อที่ดิน ได้หรือไม่”
หลี่ซานชื่นชอบที่ดินดั่งบุรุษชื่นชอบสตรี เรียกว่าเป็สัญชาตญาณและเป็ความเชื่อที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกดำ
ลำพังแค่เดือนหนึ่งจ้าวซื่อก็ทัดทานหลี่ซานมาสามครั้งแล้ว เพิ่งจะเข้าเดือนสองก็ปรามไปอีกครั้ง นี่ก็ร่วมสี่ครั้งแล้ว ดีที่หลี่ซานไม่ได้เป็คนดูแลปกครองเรือน หาไม่แล้วเงินทองในเรือนก็จะต้องเอาไปซื้อที่ดินจนหมด ไม่ได้สร้างเรือนใหม่ และคาดว่าคงไม่ได้ส่งเสียพวกหลี่เจี้ยนอันพี่น้องได้เล่าเรียนด้วย
หลี่ซานฟังคำจ้าวซื่อเป็ที่สุด พอจ้าวซื่อออดอ้อนเขาดังนี้ ใจของเขาก็อ่อนลงทันใด บอกว่า “ได้ ข้าว่าตามเ้า”
ยามบ่ายหิมะหยุดตกแล้ว หลี่ซานพาหลี่สือไปในตัวอำเภอคราวหนึ่ง เพื่อไปดูที่ดินของสกุลหลี่ แม้ที่ดินเหล่านี้ล้วนให้พวกชาวนาเช่า แต่ก็ยังคงไม่ใคร่วางใจ จะต้องไปเร่งด้วยตนเองเพื่อให้พวกชาวนาเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิให้ตรงตามกำหนด
หลี่หรูอี้อุ้มหลี่เฟยเยว่น้องชายคนที่หกตัวขาวๆ อ้วนๆ บอกกับ จ้าวซื่อว่า “มิเช่นนั้นข้าก็มอบโฉนดที่ดินห้าสิบหมู่ให้ท่านพ่อ ท่านพ่อจะได้ดีใจดีหรือไม่เ้าคะ”
“ต่อให้เ้ายกที่ดินห้าสิบหมู่ให้เขา พอมีที่ดินราคาถูกเขาก็ยังคิดจะซื้ออีก และพอพวกเราไม่ให้เขาซื้อ เขาก็จะยังคงเป็ทุกข์อยู่ดี”
หลี่หรูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “รอให้หิมะละลายแล้ว เรือนหลังใหม่ของบ้านเราก็จะเริ่มสร้างได้ ก็มอบเื่นี้ให้ท่านพ่อดูแล พอท่านพ่อมีงานยุ่งขึ้นมาก็จะไม่เอาแต่คิดซื้อที่ดินแล้วเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อตอบรับคำหนึ่ง หลี่เถิงเกาที่อุ้มอยู่กับอกเกิดร้องอ้อแอ้ขึ้นมา นางจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “โอ้... เถิงเกากางมือน้อยๆ ออกจะให้พี่สาวอุ้มใช่หรือไม่ บนตัวพี่สาวมีกลิ่นหอมของยา ได้กลิ่นแล้วหอมเสียอย่างยิ่งใช่หรือไม่”
“พวกเขาสองคนล้วนชอบกลิ่นหอมของยาบนตัวข้า” หลี่หรูอี้แอบภูมิใจอยู่ในใจ “ท่านแม่เ้าคะ ถ้าน้องๆ โตแล้วอยากเรียนวิชาแพทย์กับข้า ท่านจะเห็นดีด้วยหรือไม่เ้าคะ”
จ้าวซื่อตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบยิ่งว่า “แม่อยากให้น้องชายเ้าทั้งสองคนได้ร่ำเรียนหนังสือดีๆ และสอบเข้ารับราชการได้เหมือนพี่ชายเ้า พวกพี่ชายเ้าเข้าเรียนช้า แม่คิดว่าพอน้องชายเ้าอายุหกขวบก็จะให้เข้าสำนักเล่าเรียน แปดขวบก็ให้สอบเข้าสำนักศึกษา”
แต่โบราณจนปัจจุบัน คนเป็แพทย์มีฐานะที่ไม่สูงนัก คนที่มีฐานะสูงที่สุดคือ บัณฑิต
จ้าวซื่อยึดมั่นในความคิดที่จะให้ลูกชายได้เรียนหนังสือและสอบได้เป็ขุนนางเหมือนกับที่หลี่ซานหมกมุ่นเื่การซื้อที่ดิน
“ท่านแม่เ้าคะ ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าจะให้น้องชายได้ร่ำเรียนในเื่ที่พวกเขาชื่นชอบ”
“ไม่ว่าจะเรียนสิ่งใดก็ไม่ดีเท่ากับเรียนหนังสือหรอก”
“ผลจากการสมัครใจไปเรียนเองกับถูกบังคับให้เรียนนั้นต่างกันนะเ้าคะ ถ้าน้องๆ ไม่ชอบเรียนหนังสือเล่าเ้าคะ”
“เป็ไปไม่ได้” สีหน้าของจ้าวซื่อมุ่งมั่นอย่างยิ่ง “พี่ชายทั้งสามคนของแม่ล้วนชอบเรียนหนังสือทั้งสิ้น หลานลุงก็ต้องเหมือนลุง เ้าดูพี่ชายทั้งสี่คนของเ้าสิต่างก็ชอบเรียนหนังสือกันทั้งนั้น วันหน้าน้องชายเ้าก็จะต้องชอบเรียนหนังสือเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็ให้น้องชายเรียนหนังสือเป็หลัก เวลานอกจากนั้นก็ให้เรียนวิชาแพทย์ ทำเช่นนี้ก็จะช่วยผู้อื่นและช่วยตนเองได้ เป็อย่างไรเ้าคะ”
“ไม่ได้ การเล่าเรียนต้องจดจ่อเป็ใจเดียว จะวอกแวกกับเื่อื่นไม่ได้” จ้าวซื่อหุบยิ้มหันมาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เ้าเห็นว่าเื่การสอบเป็ขุนนางง่ายดายเกินไปแล้ว ใต้หล้านี้มีบัณฑิตเป็พันเป็หมื่น ผู้ที่สอบผ่านและสร้างชื่อได้กลับมีเพียงขนหงส์เขากิเลน[2]เท่านั้น เพื่อให้เลื่อนชั้นตระกูลกลายเป็คนเหนือคน ทุกคนจึงพากันทุ่มเทร่ำเรียนอย่างยากลำบาก หากพี่ชายและน้องชายของเ้าไม่พยายามเต็มกำลัง ก็จะไม่มีทางสอบผ่านและสร้างชื่อเสียงได้”
ได้ยินดังนั้นหลี่หรูอี้ก็เห็นแล้วว่าไม่อาจเกลี้ยกล่อมจ้าวซื่อได้ แต่นางก็มิได้ล้มเลิกความตั้งใจ น้องชายทั้งสองเพิ่งอายุได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น เวลาในภายหน้ายังอีกยาวไกล ฉะนั้นก็ค่อยๆ เกลี้ยกล่อมจ้าวซื่อไป นางกลอกตาคราวหนึ่งบอกว่า “ท่านแม่เ้าคะ วานนี้ข้าไปที่จวนท่านแม่ทัพสวี่มา มีแพทย์หลวงสองท่านตามไปด้วย พวกเขาขอร้องให้ข้ารับพวกเขาเป็ศิษย์และถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้เ้าค่ะ”
หลี่หรูอี้คิดว่าการถ่ายทอดวิชาแพทย์นั้นต้องดูคนด้วย อันดับแรกต้องเป็คนดี อันดับต่อมาต้องเคารพอาจารย์และมีคุณธรรมสูง สุดท้ายคือ ต้องมีพร์อย่างมากทางด้านการแพทย์
ด้วยเหตุนี้เองนางจึงนึกถึงน้องชายเล็กๆ ทั้งสองคน แต่น่าเสียดายที่วันนี้ถูกมารดาปฏิเสธเสียแล้ว
จ้าวซื่อนึกไม่ถึงว่าแพทย์หลวงจะขอร้องให้หลี่หรูอี้ถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้
แพทย์หลวงในแคว้นต้าโจวเป็ขุนนางที่มีตำแหน่งเป็หลักเป็ฐาน แม้จะเป็ขั้นต่ำสุดก็ยังเป็ขุนนางขั้นเจ็ดล่าง อยู่ในระดับเดียวกับนายอำเภอทีเดียว
เฉิงอิ้งเป็แพทย์หลวงแห่งจวนเยี่ยนอ๋อง เป็ขุนนางขั้นหกบน ส่วนเฮ่อส้าวจาวเป็ขุนนางขั้นหกล่าง ลำดับขั้นสูงกว่านายอำเภอห้าวแห่งอำเภอฉางผิงเสียอีก
แม้ว่านายอำเภอห้าวจะเป็ขุนนางสูงสุดในอำเภอ แต่ยามที่ได้พบกับแพทย์หลวงทั้งสองท่าน ก็ยังต้องทำความเคารพและเรียกตนเองว่าผู้น้อย
จ้าวซื่อจึงใไม่เบา พอจิตใจสงบลงได้แล้วก็ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง บุตรสาวของตนไม่มีอาจารย์ แต่กลับเข้าใจวิชาแพทย์ได้ด้วยตนเอง แต่ไม่ได้หมายความว่า บุตรชายจะเป็ได้ดังนี้ด้วย ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเดินไปบนเส้นทางแห่งการร่ำเรียนวิชาแพทย์ได้ บุตรชายจึงจำเป็ต้องเรียนหนังสือเพื่อสอบเป็ขุนนางสร้างชื่อเสียง หลังจากตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่อีกครั้งแล้ว จึงบอกด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ลูกสาว แม่จะไม่คัดค้านที่เ้าจะสอนน้องชายเพื่อถ่ายทอดวิชาแพทย์ เพียงแต่แม่เห็นว่าเ้าควรสอนศิษย์ที่เป็หญิงจะดีที่สุด
สำหรับสตรีแล้ว ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชื่อเสียง
จ้าวซื่อไม่้าให้ชื่อเสียงของหลี่หรูอี้ต้องถูกคนคิดไม่ซื่อทำลาย
หลี่หรูอี้รู้ว่าจ้าวซื่อปรารถนาดี ไม่อยากให้มารดาต้องเป็กังวลกับตน จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่เ้าคะ ข้าเป็คนที่อายุน้อยที่สุดที่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวั้แ่ยังเล็กๆ แล้วเ้าค่ะ”
“ก็จริง เ้าอายุแค่สิบขวบ หากได้เป็อาจารย์ เช่นนั้นอายุของศิษย์เ้าจะต้องน้อยสักเท่าใด”
“ร่ำเรียนไม่มีก่อนหลังผู้บรรลุเป็อาจารย์ วิชาแพทย์ก็เช่นกัน หากข้ารับศิษย์ ก็ไม่ถือสาว่าอายุของศิษย์จะมากกว่าข้าเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อได้ยินคำว่า ร่ำเรียนไม่มีก่อนหลังผู้บรรลุเป็อาจารย์ ดวงตาก็เป็ประกายขึ้นทันใด ทั้งมีแววตาที่เปี่ยมด้วยความรัก นางเอื้อมมือไปลูบผมบุตรีสุดที่รัก แย้มยิ้มพลางว่า “สมองน้อยๆ นี่ช่างรู้เื่มากมายจริงๆ เป็หลักการที่อ่านจากหนังสือที่ชิงอวิ๋นมอบให้หรือ”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ใบไม้เรียวเล็กมิรู้ผู้ใดตัดแต่ง ลมวสันต์เดือนสองเฉกกรรไกร หมายถึง ไม่รู้ใครเป็คนตัดแต่งใบต้นหลิวที่เรียวเล็กออกมา ที่แท้เป็ลมในฤดูใบไม้ผลิเป็ดังกรรไกรตัดมันออกมานี่เอง
[2] เพียงขนหงส์เขากิเลน หมายถึง หายาก มีจำนวนน้อยอย่างยิ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้