“ปรนัย B A C... ถูกทั้งหมด?”
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้ารับ ถ้าความทรงจำของเธอไม่เกิดข้อผิดพลาด คำตอบของเธอสามารถเทียบกับคำตอบมาตรฐานได้ทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ
หากปรนัยของวิชาคณิตศาสตร์หรือภาษาอังกฤษถูกต้องทั้งหมด เพื่อนร่วมชั้นทุกคนคงไม่ใ เพราะคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษเป็วิชาถนัดของเซี่ยเสี่ยวหลาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือภาษาอังกฤษ! ทว่าเธอกลับทำปรนัยของวิชาภาษาจีนถูกต้องทุกข้อด้วยเหมือนกัน เซี่ยเสี่ยวหลานไม่น่าพูดโกหก การประเมินคะแนนนี้เกี่ยวข้องกับการกรอกความประสงค์ [1] ตราบใดที่เซี่ยเสี่ยวหลานทำคะแนนได้ดีตามปกติย่อมผ่านเกณฑ์รับเข้าเรียนปริญญาตรีมหาวิทยาลัยชั้นนำอยู่แล้ว เธอโกหกไปก็ไม่มีความหมายนี่นา
เฉินชิ่งเทียบทีละข้อต่อไปเรื่อยๆ เซี่ยเสี่ยวหลานแค่ต้องเปรียบเทียบกับคำตอบมาตรฐานและบอกว่าตนเองเลือกคำตอบได้ถูกต้องหรือไม่เท่านั้น โจทย์ตัวเลือก โจทย์เติมคำตอบในช่องว่าง รวมถึงโจทย์ตอบถูกผิด ล้วนเป็ส่วนที่สามารถประเมินคะแนนอย่างแม่นยำได้ ตอบผิดไม่มีคะแนน ตอบถูกก็ได้คะแนน ทว่าโจทย์อธิบายเหวินเหยียนเหวิน [2] และอ่านจับใจความนั้นค่อนข้างคลุมเครือ เซี่ยเสี่ยวหลานดูคำตอบพวกนั้น และพยายามหวนนึกว่าวันที่สอบเธอตอบอย่างไรไปบ้าง บางจุดเหมือนกัน บางจุดมีความคลาดเคลื่อน พอประเมินคะแนนถึงส่วนเรียงความก็ชะงักแล้ว ข้อสอบอธิบายประกอบเหวินเหยียนเหวินกับการอ่านจับใจความยังถือว่ามีคำตอบอันเป็มาตรฐาน ในขณะที่ส่วนเรียงความไม่สามารถประเมินคะแนนอย่างแม่นยำได้
อันที่จริงข้อสอบวิชาภาษาจีนประจำปี 84 ไม่ได้ถูกแบ่งโดยใช้ประเภทของโจทย์ ทว่าทั้งหมดถูกแบ่งเป็สามส่วน ได้แก่ วรรณกรรมร่วมสมัย เหวินเหยียนเหวิน และเรียงความ
วรรณกรรมร่วมสมัย 40 คะแนน เหวินเหยียนเหวิน 30 คะแนน และเรียงความ 50 คะแนน
แม้กล่าวกันเสมอมาว่าภาษาจีนคือวิชาที่คอยรั้งท้ายเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าโจทย์ของปีนี้อาจไม่ยากเลยจริงๆ พอเซี่ยเสี่ยวหลานประเมินคะแนนสองส่วนแรกเสร็จ เธอทำคะแนนได้ไปราว 58 คะแนนแล้ว ข้อสอบง่ายเป็เื่ดีต่อนักเรียนที่ผลการเรียนไม่อยู่ในอันดับต้น ข้อสอบประเภทนี้จะทำให้ช่องว่างระหว่างนักเรียนดีเด่นกับนักเรียนทั่วไปแคบลง ยกตัวอย่างในกรณีข้อสอบยาก นักเรียนดีเด่นสอบได้ 90 คะแนน นักเรียนทั่วไปสอบได้ 60 คะแนน และในกรณีข้อสอบไม่ยาก นักเรียนดีเด่นยังคงสอบได้ 90 กว่าคะแนน ส่วนนักเรียนทั่วไปจะสามารถสอบได้กว่า 80 คะแนนเหมือนกัน... แน่นอน สำหรับสุดยอดนักเรียนดีเด่น ไม่ว่าโจทย์ยากหรือง่าย ก็เข้าใกล้คะแนนเต็มมากเหลือเกิน
คะแนนเต็ม 120 คะแนน สุดยอดนักเรียนดีเด่นสอบได้ 120 คะแนน นักเรียนดีเด่นธรรมดาสอบได้ 118 คะแนน ระหว่างสองคนนี้มีระดับความแตกต่างแค่สองคะแนนเองหรือ?
คนที่สอบได้ 118 คะแนนมีความสามารถอยู่เท่านี้ ในขณะที่คนสอบได้ 120 คะแนนถึงขีดจำกัดสูงสุดของคะแนนจากข้อสอบแล้วน่ะสิ!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้เป็นักเรียนที่อ่อนวิชาภาษาจีน หัวข้อเรียงความคือการใช้ ‘มุมมองต่อองค์ประกอบงานเขียนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น’ ในการเขียนเรียงความอภิปราย 800 ตัวอักษร ไม่ใช่การเขียนร้อยแก้วร้อยกรอง และบังเอิญหลีกห่างจากสิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เชี่ยวชาญพอดี ในเรียงความ 50 คะแนน เธอเขียนไม่หลงประเด็น ดังนั้นน่าจะได้มากกว่า 30 อย่างไร้กังวล
“ภาษาจีนประเมิน 90 คะแนนแล้วกัน”
คะแนนเท่านี้ถือว่าอยู่ในมาตรฐานปกติสำหรับเซี่ยเสี่ยวหลาน ความจริงแล้วเธอประเมินต่ำกว่าปกติเล็กน้อยด้วยซ้ำ
เฉินชิ่งขีดเขียน ‘ภาษาจีน 90 คะแนน’ ลงไป
อันดับถัดมาคือคณิตศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ประเมินได้ง่ายดายมาก ข้อสอบชุดนี้ถูกขนานนามว่าข้อสอบคณิตศาสตร์ที่ยากที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อครู่หลายๆ คนประเมินเพียงสามสิบสี่สิบคะแนน คะแนนต่ำสุดอยู่ที่ราว 20 กว่าคะแนน อย่างสูงก็ไม่เกิน 70 คะแนน เซี่ยเสี่ยวหลาน ‘ถูกต้อง’ ตลอดการตรวจคำตอบ เธอรู้ดีว่าควรได้คะแนนเต็มจากข้อสอบชุดนี้ เพื่อไม่เป็การด่วนมั่นใจเกินควร สุดท้ายเซี่ยเสี่ยวหลานประเมินไว้ที่ ‘115’ คะแนน
ทั้งห้องเรียนเงียบกริบ
สายตาของทุกคนลุกวาวราวกับลูกไฟ กำลังยั้งความสงสัยที่มีต่อระดับสติปัญญาของตนเองไว้
ทำไมเพื่อนเสี่ยวหลานสอบได้ 115 คะแนน ในขณะที่พวกเขาได้เพียงสามสี่สิบคะแนน?
“คงไม่ได้ประเมินผิดหรอกนะ... ”
ณ มุมหนึ่ง ไม่รู้ว่าใครพึมพำออกมา ต่อให้เป็ความสัมพันธ์ที่ปกติกลมเกลียวขนาดไหน เวลานี้ก็ยากที่จะไม่เกิดอารมณ์ริษยาได้
แม้เสียงแว่วนั้นจะถูกทุกคนคัดค้านกลับอย่างรวดเร็ว ทว่าแววตาที่มองมายังเซี่ยเสี่ยวหลานของทุกคนสั่นไหวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระดับสติปัญญาของแต่ละคนช่างแตกต่างกันมากจริงๆ โจทย์ที่ทุกคนล้วนคิดว่ายาก แต่เซี่ยเสี่ยวหลานกลับสามารถทำ 115 เชียวหรือ?
หลังจากนั้นก็คำนวณวิชาฟิสิกส์ เคมี รัฐศาสตร์ และชีววิทยาตามลำดับ
ตกตะลึง ริษยา อิจฉา... จนกระทั่งชินชา อารมณ์ของคนที่กำลังฟังเซี่ยเสี่ยวหลานประเมินคะแนนแปรปรวนสลับซับซ้อนยิ่งนัก
มีเพียงตอนที่ได้ยินการประเมินคะแนนวิชารัฐศาสตร์ ทุกคนคิดว่านี่เป็คะแนนส่วนบุคคล เนื่องจากวิชานี้เป็ข้อเขียนเสียส่วนใหญ่ และเป็การตอบเชิงวิพากษ์ ต้องใช้ความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เข้าสอบ—คะแนนเต็มวิชารัฐศาสตร์คือ 100 คะแนน เซี่ยเสี่ยวหลานคาดว่าตนเองจะสอบได้ 50 คะแนน
เฉินชิ่งจับปากการวมคะแนนประเมินทั้งหมดของเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าด้วยกัน ภาษาจีน 90 คณิตศาสตร์ 115 รัฐศาสตร์ 50 ภาษาอังกฤษ 98 ฟิสิกส์ 92 เคมี 94 และชีววิทยา 45 หากคำนวณคะแนนประเมินเช่นนี้ คะแนนรวมก็คือ 584 คะแนน? เฉินชิ่งกลัวว่าจะผิดพลาด วิธีบวกง่ายๆ ที่แม้แต่เด็กประถมยังทำได้ เขากลับใช้ปากกาคิดคำนวณถึงสองสามรอบ
“584 คะแนน?”
อันดับหนึ่งสายวิทย์ประจำมณฑลอวี้หนานของปีก่อนสอบได้ 584 คะแนน
วิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ของปีนี้ยาก หลายคนต้องเปิดปากแผลและโรยเกลือทับขณะประเมินคะแนนของตนเอง มีแค่เซี่ยเสี่ยวหลานคนเดียวที่ประเมินคะแนนออกมาสูงขนาดนี้
ประเมินสูงเกินไปหรือเปล่า?
เหล่าวังเดินเข้าห้องเรียนพลางหอบข้าวของกองโตมา
“ทุกคนประเมินกันเป็อย่างไรบ้าง? นี่คือใบแสดงความประสงค์ของพวกเธอ พวกเธอมีเวลาทั้งวันให้คิดทบทวนว่าจะกรอกความประสงค์อย่างไร ถ้ามีปัญหาสามารถปรึกษาครูได้ หรือขอความคิดเห็นของผู้ปกครองก็ได้เหมือนกัน”
วันนี้มาเพื่อประเมินคะแนนกับกรอกความประสงค์ ผู้ปกครองทั้งหลายต้องตามมาด้วยอย่างแน่นอน เพราะกลัวว่าลูกหลานบ้านตนเองจะร้อนรนชั่ววูบจนกรอกความประสงค์ผิดพลาดและตกอันดับไป
แต่พวกเขารออยู่นอกห้องเรียน เพื่อเหลือพื้นที่ห้องเรียนไว้ให้เหล่านักเรียนประเมินคะแนน เกรงใจว่าจะส่งเสียงดังรบกวนลูกหลานของตน
คะแนนเกาเข่ายังไม่ออกมา เกณฑ์รับเข้าเรียนก็ยิ่งไม่ต้องหวัง
ถึงกระนั้นทุกโรงเรียนล้วนมีข่าววงในของตัวเอง และจะวิเคราะห์สถานการณ์ของปีนี้โดยยึดข้อมูลการรับเข้าเรียนของปีที่ผ่านมา วิชาคณิตศาสตร์ในปีนี้ยากเป็พิเศษ ฟิสิกส์ก็ค่อนข้างยากไม่แพ้กัน สองวิชานี้จะถ่วงผลคะแนนสอบของนักเรียนที่อยู่ในระดับกลางบางส่วน ส่วนกลุ่มก้อนเล็กที่คะแนนอยู่บนยอดสูงสุดกลับไม่ส่งผลกระทบใดมากนัก เหล่าวังอธิบายผลการวิเคราะห์พวกนี้แก่เหล่านักเรียนอย่างละเอียด เกณฑ์รับเข้าเรียนปริญญาตรีของปีนี้ควรอยู่ที่ประมาณ 460 คะแนน
ถ้าคะแนนประเมินเกินมาสัก 30 คะแนน น่าจะปลอดภัยในการยื่นเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ
ถ้าสอบได้มากถึง 500 คะแนน สามารถยื่นเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้ตามใจชอบแน่นอน ขอเพียงอย่าไปเบียดเสียดในสถาบันชื่อดังที่ความนิยมสูงก็พอ
ถ้าต่ำกว่า 460 คะแนน 30 คะแนน ดูท่าว่าทำได้เพียงสมัครเข้าเรียนสายวิชาชีพเฉพาะทางแล้ว
ใช้เกณฑ์ปริญญาตรีเป็มาตรฐาน เยอะกว่าประมาณ 20 คะแนนคือเกณฑ์เข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ น้อยกว่าประมาณ 20 คะแนนคือเกณฑ์วิชาชีพ เกณฑ์คะแนนเกาเข่าขั้นต่ำในปัจจุบันก็ฉาบฉวยขอไปทีเช่นนี้แล ทำข้อสอบชุดเดียวกัน และใช้เกณฑ์รับเข้าเรียนแบบเดียวกันทั่วประเทศ การประเมินคะแนนสำคัญ การกรอกความประสงค์ก็สำคัญ เมื่อนักเรียนหลายรายรับใบแสดงความประสงค์แล้วก็พุ่งตัวออกไปนอกห้องเรียนทันที ต่างคนต่างไปหาผู้ปกครองของตน
นักเรียนในห้องออกไปจนเกือบหมดแล้ว เหล่าวังกระซิบถามเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างระมัดระวัง
“เสี่ยวหลาน เธอประเมินคะแนนไปเท่าไร?”
ถ้ามือไม่ได้รับาเ็ เหล่าวังจำเป็ต้องพะวงขนาดนี้หรือ?
“584 คะแนนค่ะ อาจจะไม่ตรงเป๊ะ แต่ต่างกันไม่มากหรอกค่ะ”
เหล่าวังบีบแท่งชอล์กในมือจนแทบเสียรูปทรง ประเมินกี่คะแนนกันนะ 584 รึ?!
มีคนรีบร้อนกว่าเขาเสียอีก อาจารย์ใหญ่ซุนผู้แอบฟังอยู่ข้างนอกห้องเรียนกระโจนออกมา “นักเรียนเสี่ยวหลาน คะแนนประเมินของเธอนี่แม่นยำแน่นอนไหม 584 คะแนน?”
เวลานี้เซี่ยเสี่ยวหลานจะกล้าบอกว่าไม่แม่นยำหรือ ในดวงตาของอาจารย์ใหญ่ซุนเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้แค่พยักหน้ารับ
อาจารย์ใหญ่ซุนหมุนตัวเป็วงอยู่ที่เดิม ปากพูดคำว่า ‘ดีเหลือเกิน’ ไม่หยุด หลังจากหมุนตัวเสร็จสองรอบก็กอดเหล่าวัง ชายแก่ทั้งสองคนกอดกันช่างเป็ภาพที่ดูน่าขนลุกขนพองยิ่งนัก เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าบาดตาเหลือเกิน
จู่ๆ อาจารย์ใหญ่ซุนก็หันกลับมาถามเธอ
“ความประสงค์ล่ะ เธอกรอกความประสงค์ที่ไหนไว้?”
“คงจะเป็มหาวิทยาลัยหัวชิงน่ะค่ะ หนูชอบมหาวิทยาลัยนี้”
คะแนนของเธอดี เธอพูดอะไรก็ถูกต้องทั้งนั้น! สำหรับสถาบันอย่างหัวชิงและจิงต้า ผู้เข้าสอบจากทั่วประเทศ มีใครไม่ชอบบ้างหรือ?
อาจารย์ใหญ่ซุนดึงปากกาหมึกซึมที่เหน็บไว้ในกระเป๋าเสื้อของตนเองออกมา ยื่นให้เซี่ยเสี่ยวหลาน
“ใช้ปากกาของครูกรอกสิ!”
หากเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าหัวชิงสำเร็จ ปากกาด้ามนี้จะเป็พยานเช่นกัน อันชิ่งเซี่ยนอีจง ไม่สิ นักเรียนที่สอบติดมหาวิทยาลัยหัวชิงเป็คนแรกของเขตอันชิ่ง ฝึกฝนอบรมโดยดวงตาหยั่งรู้บุคคลผู้มีพร์ของแซ่ซุนอย่างเขา
เชิงอรรถ
[1]填志愿 กรอกความประสงค์ หมายถึง การกรอกข้อมูลเพื่อแสดงความประสงค์ว่าจะเลือกคณะและมหาวิทยาลัยใด
[2]文言文 เหวินเหยียนเหวิน คือ ภาษาจีนคลาสสิค เริ่มใช้ในยุคชุนชิว-จ้านกั๋ว เป็รูปแบบการใช้ภาษาเขียนที่สละสลวย สั้นกระชับ มีมาตรฐานการใช้ภาษาที่กำหนดเป็แบบแผน ต้องตีความความหมายจากข้อความที่เขียน ตรงข้ามกับไป๋ฮว่าเหวิน (白话文) ที่เป็ภาษาพูด ใช้สื่อสารกันในหมู่ประชาชนคนธรรมดา เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและท้องถิ่น คนที่เข้าใจเหวินเหยียนเหวินอย่างแตกฉานมักเป็เหล่าบัณฑิตผู้ได้รับการศึกษา หลังการปฏิวัติซินไฮ่ ปัญญาชนหลายคนเชื่อว่าแม้เหวินเหยียนเหวินคือรูปแบบการใช้ภาษาที่ทรงคุณค่า แต่ยากและจำกัดแค่ในวงแคบ ทำให้คุณภาพการศึกษาของประชาชนไม่พัฒนามากพอ ส่งผลให้คุณภาพของประชาชนด้อยลง กระทบต่อการพัฒนาประเทศชาติ จึงสนับสนุนให้เปลี่ยนมาใช้ไป๋ฮว่าเหวินแทน จะเห็นได้ชัดว่าวรรณกรรมร่วมสมัยทั้งหลายใช้ไป๋ฮว่าเหวินในการประพันธ์ ถึงกระนั้นเหวินเหยียนเหวินก็ยังคงถือเป็รูปแบบการใช้ภาษาที่สำคัญ เพราะมีประโยชน์ต่อการศึกษาภาษาและวัฒนธรรมอย่างยิ่ง