หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ฟางซื่อก็พาอวิ๋นเจียวกับอวิ๋นฉี่เยว่ตรวจสอบและจดบันทึกรายการสิ่งของที่ฉู่อี้มอบให้
เมื่อตรวจสอบดูแล้ว ทุกคนในครอบครัวก็พบว่าสิ่งของที่ฉู่อี้มอบให้นั้นล้วนประณีตงดงามไร้ที่ติ แต่กลับไม่มีสิ่งใดที่ดูเกินเลย มีราคาแต่ก็ไม่แพงเกินไป อย่างน้อยๆ สำหรับครอบครัวชาวนาอย่างพวกเขาก็สามารถใช้ได้
ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าต่วน และผ้าไหมเนื้อดีสีต่างๆ อย่างละสามสิบพับ ผ้าป่านเนื้อละเอียดและผ้าฝ้ายเนื้อดีสีต่างๆ อย่างละสี่สิบพับ พู่กัน หมึก กระดาษ และหินบดหมึกแบบต่างๆ ทั้งหมดสิบชุด
หีบไม้แกะสลักลายดอกไม้ที่ทำจากไม้หวงฮวาหลี่มู่ ไม้หนานมู่ และไม้ซวนจือมู่ ขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน ชุดละหกใบ ทั้งหมดห้าชุด เครื่องประดับศีรษะแบบใหม่ล่าสุดที่ฝังด้วยหยกและอัญมณีต่างๆ ที่แม้จะหาได้ไม่ยากแต่ก็ประณีตงดงาม หกชุด
พัดกลมยี่สิบด้าม พัดพับสี่กล่อง ขนสุนัขจิ้งจอกชั้นดีสิบผืน... ของเหล่านี้ช่างมีความหลากหลาย งดงามน่าทึ่งยิ่งนัก
ของขวัญเหล่านี้ ไม่ว่าจะมองในแง่ส่วนตัวหรือในแง่การค้า ตระกูลอวิ๋นก็รับไว้ด้วยความสบายใจ หลังจากตรวจสอบสิ่งของทั้งหมดแล้ว ฟางซื่อก็มอบพู่กัน หมึก กระดาษ และพัดพับให้อวิ๋นฉี่เยว่ จากนั้นก็ตั้งใจจะเลือกของบางอย่างให้อวิ๋นเจียว
อวิ๋นฉี่เยว่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ เก็บของพวกนี้ไว้ก่อนเถิด วันตรุษจีนค่อยเลือกบางอย่างไว้มอบให้คนอื่น ส่วนของที่เจียวเอ๋อร์กับคนในบ้านจะใช้ พวกเราก็ซื้อเอาเอง”
ฟางซื่อครุ่นคิด แล้วรู้สึกว่าที่อวิ๋นฉี่เยว่พูดมาก็ถูก จึงเอ่ยว่า “ก็ได้ ทำตามที่เ้าพูดก็แล้วกัน อากุ้ย ยกของพวกนี้ไปเก็บไว้ที่ห้องของพวกข้า”
อวิ๋นฉี่เยว่นำพู่กัน หมึก และกระดาษเข้าไปในห้อง เขาเองก็ไม่ได้คิดจะใช้ รอให้เขาสอบเป็บัณฑิตแล้วค่อยนำของพวกนี้ไปมอบให้ผู้อื่น มอบให้อาจารย์ฉีก็เหมาะสมดี
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ทุกคนก็อาบน้ำเข้านอน ส่วนทางด้านบ้านตระกูลอวิ๋นกลับวุ่นวายจนแทบพลิกแผ่นฟ้า
อวิ๋นโส่วจู่กับหลิ่วซื่อไม่มีเงินติดตัวแม้แต่อีแปะเดียว ไม่มีเงินขึ้นเกวียนวัวหรือรถม้า ต้องเดินกลับบ้านตระกูลอวิ๋นจากในอำเภอ ทันทีที่ทั้งสองคนก้าวเท้าเข้าบ้าน ภาพที่น่าอนาถของพวกเขาก็ทำให้อวิ๋นฉี่รุ่ยใจนต้องวิ่งไปหลบหลังอวิ๋นเหมยเอ๋อร์
เมื่อเห็นมารดาของตน อวิ๋นโส่วจู่ก็รีบร้องไห้คร่ำครวญ “ท่านแม่ ลูกชายของท่านเกือบจะถูกเ้ารองกับครอบครัวฆ่าตายแล้ว!”
“ท่านแม่ ท่านต้องให้ความเป็ธรรมกับข้า อวิ๋นเจียวยัยเด็กคนนั้นใจร้ายนัก ไม่รู้ว่าแอบโรยอะไรใส่ตัวข้ากับภรรยา คันจนแทบจะตายอยู่แล้ว ท่านแม่ดูสิ ตุ่มพองพวกนี้ นางเป็คนทำทั้งนั้น!”
“แล้วก็เ้ารอง เขาก็ใจดำเกินไปแล้ว มีรถม้าแท้ๆ กลับไม่ยอมให้ข้าขึ้น เตะข้าจนกระเด็นออกมาไกล ท่านแม่ ท่านไม่รู้หรอก คุกในศาลาว่าการนั่นไม่ใช่ที่สำหรับคนอยู่!”
เพราะถูกบังคับให้แยกบ้าน ในใจของเถาซื่อจึงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่ยังไม่ได้ระบายออก ตั้งใจจะสั่งสอนอวิ๋นโส่วจู่สักหน่อย แต่พอเห็นสภาพน่าอนาถของเขา เถาซื่อก็ใจอ่อนยวบ
นางด่าว่า “เ้ารองมันลูกอกตัญญูน่าตายนัก สักวันหนึ่งมันต้องไม่ตายดี! ทั้งครอบครัวต้องพบจุดจบไม่สวย!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นที่นั่งเงียบอยู่นาน พลันตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโกรธ “พอได้แล้ว! หยุดโวยวายเสียบ้าง บ้านที่สงบสุขดีๆ แต่ละวันถูกเ้าทรมานจนทำให้แตกแยกหมดแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เถาซื่อก็โกรธขึ้นมาทันที “ตาแก่ไม่ตาย นี่เ้าพูดอันใด? เป็ความผิดของข้าหรือไง? เป็เพราะเ้ารองมันยุแยงให้เป็แบบนี้ต่างหาก!”
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ เ้ารองมันไม่ใช่คนดี!” อวิ๋นโส่วจู่รีบพูดสนับสนุน
ผู้เฒ่าอวิ๋นถลึงตามองเขาอย่างเ็า “มันไม่ใช่คนดี แล้วเ้าเป็คนดีหรือไง? ที่เ้าเป็เช่นนี้ก็เพราะเ้าหาเื่เองแท้ๆ! ใครใช้ให้เ้าไปฟ้องว่าเ้ารองเป็ทาสที่หลบหนีมาเล่า? เ้าทำเช่นนี้ช่างทำให้คนผิดหวังนัก! จะอย่างไรก็ตาม เ้ารองก็เป็ลูกชายของข้า เป็พี่ชายของเ้า!”
“พี่ชายบ้าบออะไร!” เถาซื่อถลึงตาใส่แล้วด่าว่า “หากมันเห็นแก่ครอบครัวนี้สักนิด เห็นแก่ที่ตาแก่อย่างเ้าเป็พ่อของมัน เห็นแก่น้องชายที่ยังมีสายเืเดียวกันกับมันบ้างสักนิด มันคงไม่ใจร้ายใจดำเช่นนี้!”
“เ้าสี่ไปฟ้องมันผิดตรงไหน? ตอนนั้นที่มันจากไป ท่านก็มิใช่ว่าไม่รู้ หากไม่ใช่ขายตัว ใครจะให้เงินทองให้อาหารมากมายขนาดนั้น? มันเป็ทาสที่หลบหนีมาหรือไม่ ก็แค่พูดให้ชัดเจนก็เท่านั้น เหตุใดต้องจับเ้าสี่เข้าคุกด้วย?”
“เ้าสี่ก็กลัวว่ามันจะทำให้พวกเราเดือดร้อน จึงไปฟ้องมัน หากมันเป็ทาสที่หลบหนีมา พวกเราทุกคนคงต้องซวยไปด้วย อย่าว่าแต่พวกเราที่เป็ชาวนาเลย แต่เ้าห้าเล่า? เขายังต้องสอบเป็บัณฑิตซิ่วไฉ สอบจวี่เหริน สอบจิ้นซื่อ [1] หากมันไปขัดขวางเ้าห้า มันก็เป็คนบาปของตระกูลอวิ๋น!”
“ฮึ! เ้ายังคิดว่ามันเป็ลูกชาย แต่ในสายตามัน ไม่เคยเห็นเ้าเป็พ่อ!” เถาซื่อด่าไม่หยุด จนผู้เฒ่าอวิ๋นพูดไม่ออก
ผู้เฒ่าอวิ๋นรู้สึกว่าเถาซื่อกับอวิ๋นโส่วจู่ทำเกินไป แต่เ้ารองเล่า? ก็เป็อย่างที่เถาซื่อพูดจริงๆ ไม่ได้ใส่ใจพวกเขาเลยสักนิด หัวใจของมันเ็า นอกจากเ้าใหญ่แล้ว มันก็ไม่เคยใส่ใจคนอื่นๆ ในตระกูลอวิ๋นเลย
ช่างเถอะ ลูกชายคนนี้ เขาสั่งสอนไม่ได้แล้ว ก็ถือว่าไม่เคยเลี้ยงดูมันมาก่อนก็แล้วกัน ผู้เฒ่าอวิ๋นไม่พูดอะไร อวิ๋นโส่วจู่ก็รู้ว่าตนเองรอดตัวไปได้แล้ว
เขาจึงร้องโวยวายขึ้นมาอีก “ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่กับน้องสะใภ้เล่า? ท่านแม่รีบบอกให้พวกนางต้มน้ำทำกับข้าวเถิด ข้าหิวข้าวมาสองวันแล้ว! ท่านดูข้าสิ ข้าต้องรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จริงสิ ท่านบอกพี่ใหญ่ให้ไปตามหมอให้ข้าด้วย…”
“พี่สะใภ้ใหญ่บ้าบออะไรของเ้า! หลิ่วซื่อ! เ้ามันนางกาลกิณี! ทำไมยังยืนโง่อยู่อีก ไม่ได้ยินที่ผัวเ้าพูดหรือไง รีบไปต้มน้ำทำกับข้าวเสียสิ! ทำไมเล่า? จะให้ยายเฒ่าแก่ๆ เช่นข้าไปปรนนิบัติพวกเ้าหรือยังไง?”
หลิ่วซื่อเองก็เหนื่อยจนแทบขาดใจ ไม่อยากจะขยับตัวแม้แต่น้อย แต่ถูกเถาซื่อด่าเช่นนี้ จึงได้แต่ลุกขึ้นไปที่ห้องครัว แต่อวิ๋นโส่วจู่กลับรู้สึกแปลกใจ ท่านแม่ของเขาเป็อะไรไป? เหตุใดถึงไม่เรียกใช้พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่ใหญ่ให้ทำงาน?
“ท่านแม่ พี่สะใภ้ใหญ่ไปทำอะไรให้ท่านโกรธเช่นนี้หรือ?”
เถาซื่อะโไปข้างนอกด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “จะทำไมอีกเล่า พวกมันปีกกล้าขาแข็งกันแล้ว แยกบ้านไปแล้ว แถมยังพาบ้านเ้าสามออกตามกันไปด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นโส่วจู่ก็รีบถามขึ้นมาทันที “อะไรนะ? แยกบ้านแล้วหรือ? ท่านพ่อ บ้านเราจะแยกบ้านกันได้อย่างไร? แล้วต่อไปใครจะเป็คนทำงานในไร่? ท่านพ่ออย่าหวังพึ่งข้าเลย ครั้งนี้ข้าถูกจับเข้าคุก ถูกทรมานหนักจนร่างกายแทบจะพิการแล้ว ทำงานหนักไม่ได้อีกแล้วนะขอรับ!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นเหลือบตามองไปทางอื่นไม่คิดจะมองเขา พลางเอนตัวค่อยๆ สูบยาเส้นอยู่บนเตียง สำหรับลูกชายคนนี้ เขาไม่เคยคาดหวังอะไรได้เลยสักครั้ง
“ท่านแม่ ทำไมอยู่ๆ ถึงแยกบ้านกันเล่า แล้วแบ่งบ้านกันอย่างไร?”
เถาซื่อด่าว่า “ก็ไม่ใช่เพราะต้องงมเ้าออกมาจากคุกหรอกหรือ พ่อของเ้าเลยยอมรับปากไอ้เ้ารองใจร้ายใจดำนั่น ให้แยกบ้านเ้าใหญ่ออกไป แล้วปรากฏว่าเ้าสามที่ถูกเมียมันเป่าหูจนสมองกลับก็โวยวายจะขอแยกบ้านตามไปด้วยอีกคนน่ะสิ!”
อวิ๋นโส่วจู่เบิกตากว้าง ที่แท้ก็เพราะจะช่วยเขาออกมาจากคุกของศาลาว่าการอำเภอ ท่านพ่อถึงยอมตกลงแยกบ้าน
“เ้ารองมันช่างร้ายกาจยิ่งนัก! มันจงใจกลับมาทำลายครอบครัวของพวกเรา! ท่านแม่ ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าแบ่งบ้านกันอย่างไร? ตอนนี้เ้าห้ายังเรียนหนังสืออยู่ หากแบ่งสมบัติให้บ้านใหญ่กับบ้านสามไปมากเกินไป แล้วบ้านเราจะเอาเงินที่ไหนส่งเสียเ้าห้าให้ร่ำเรียนเล่า?”
เมื่อได้ยินอวิ๋นโส่วจู่เป็ห่วงอวิ๋นโส่วหลี่ สีหน้าของเถาซื่อก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงจึงไม่แหลมบาดหูเหมือนคราแรก “ฮึ! แบ่งให้คนละสองหมู่ แต่พวกมันแต่ละบ้านต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้พ่อของเ้าปีละสิบตำลึงเงิน!”
เชิงอรรถ
[1] จิ้นซื่อ (进士) เป็ตำแหน่งบัณฑิตที่ผ่านการสอบหน้าพระที่นั่ง ในระบบการสอบคัดเลือกขุนนางของจีนในสมัยโบราณ ผู้ที่มีคะแนนสูงสุดจะเรียกว่า จอหงวน