ความจริงแล้วเซี่ยเจิงเป็คนแบบไหนกันแน่
เด็กเรียน ใจเย็น ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ กล้าหาญ ไม่หวาดหวั่น
ชวีเสี่ยวปอยังสามารถติดเครื่องหมายบนตัวของเขาคนนี้ได้มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเป็คำพูดอันสวยงามตราบเท่าที่เขาจะนึกขึ้นได้ เขารู้สึกว่าเซี่ยเจิงควรค่าที่จะได้รับมัน
แต่เซี่ยเจิงนั้นเป็คนแบบที่ว่า “คุณไม่มีทางคาดคิดได้เลยว่าเขาดีมากเพียงไหน” ในบางครั้งชวีเสี่ยวปอก็คิดว่า การมี่ชีวิตในวัยเด็กแบบเซี่ยเจิงนั้นคงจะเป็เื่ที่โชคร้ายเอาเสียมากๆ ทั้งต้องทนความยากลำบากมากมาย ได้รับความทุกข์ทรมานหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ควรต้องเผชิญในช่วยวัยนั้นเขาก็ล้วนผ่านมันมาหมดแล้ว
หากสับเปลี่ยนมาเป็ตัวเองจะเป็อย่างไรนะ
อย่างน้อยก็น่าจะว่ากล่าวโทษคนอื่นละมั้ง
ชวีเสี่ยวปอไม่รู้เลยว่าเขาจะไม่ผูกใจเจ็บกับเื่เช่นนี้ได้อย่างไร เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็คนดื้อดึงไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว แต่เซี่ยเจิงนั้นต่างออกไป
หากใช้คำพูดของเซี่ยเจิงก็คือ
“การใจดีกับเด็กๆ ก็เพียงแค่หวังว่าพวกเขาจะสามารถมีความสุขมากขึ้นไปอีกใน่เวลาที่มีความสุขอยู่แล้ว”
เซี่ยเจิงเองก็เป็มนุษย์คนหนึ่ง ที่ไม่ว่าโลกนี้จะเลวร้ายกับเขามากแค่ไหน แต่พลังความรักของเขากลับไม่เคยสูญหายไปเลยสักวินาทีเดียว
………………………….
ชวีเสี่ยวปอเดินเข้าไปกุมมือของเซี่ยเจิงเอาไว้ “ฉันเองก็หวังว่านายจะมีความสุขเหมือนกันนะ”
เวลาตลอดทั้ง่บ่าย ทั้งสามคนพาเด็กน้อยไปเล่นเครื่องเล่นที่สามารถเล่นได้แทบจะทั้งหมดแล้ว แต่สุดท้ายด้วยความเหนื่อยล้าเด็กน้อยทั้งสองคนจึงหลับไปเป็ที่เรียบร้อย ซือจวิ้นและเซี่ยเจิงจึงอุ้มไว้คนละคน พวกเขานั่งปรึกษากันอยู่ที่ม้านั่งยาวว่าอีกเดี๋ยวจะไปไหนต่อดี
“หาที่กินข้าวไหม ฉันเลี้ยงเอง” ซือจวิ้นกดเสียงให้ต่ำลง กลัวว่าจะเสียงดังจนทำเด็กน้อยตื่น พลางพูดขึ้นมาเสียงเบา “นายสองคนอยากกินอะไร เลือกได้เลย”
“พาเ้าเปี๊ยกสองคนนี้ไปด้วย? นายแน่ใจเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเหลือบมองไปยังเ้าเปี๊ยกทั้งสองคนที่นอนหลับจนน้ำลายยืดออกมา พร้อมทั้งส่ายหน้า
“งั้นเดี๋ยวฉันพาพวกเขากลับไปส่งก่อนก็ได้” ซือจวิ้นพูดขึ้น “ป้าฉันก็ไม่ให้ฉันพาเขาสองคนไปกินข้าวข้างนอกเหมือนกัน งั้นนายสองคนรอฉันสิบห้านาที? เอ่อใช่ แถวบ้านฉันมีร้านปลาอบรสชาติไม่เลวอยู่ร้านหนึ่ง หรือว่าพวกเราจะไปกินที่นั่นเลยไหม? ”
ชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิงหันมามองหน้ากันครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกไปเป็เสียงเดียวกันว่า : “ก็ได้”
พวกเขากดเรียกรถแท็กซี่มาคันหนึ่งทันที หลังจากผ่านไปสิบกว่านาทีก็ถึงหมู่บ้านของซือจวิ้นเป็ที่เรียบร้อย ในขณะที่ซือจวิ้นกลับเข้าบ้านไปส่งเด็กๆ ชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิงก็เดินไปร้านปลาอบพลางๆ คิดไม่ถึงว่าร้านอาหารแห่งนี้จะได้รับความนิยมจนคึกคักมากขนาดนี้ ยังไม่ทันจะเดินไปถึงหน้าร้านก็มีคนยื่นต่อแถวรอยาวออกมาแล้ว
“เดี๋ยวรอเรียกคิวนะครับ” พนักงานขีดๆ เขียนๆ ลงไปบนแผ่นกระดาษสองสามที แล้วจึงฉีกหมายเลขคิวออกมายื่นให้ชวีเสี่ยวปอ “ยังมีอีกสามคิวก่อนหน้า พวกคุณจะเลือกปลาเลย หรือรออีกเดี๋ยวดีครับ? ”
“พวกเรายังขาดอีกคน เดี๋ยวรอให้มาครบก่อนก็ได้ครับ” ชวีเสี่ยวปอตอบ เขาเห็นเซี่ยเจิงลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เรียบร้อยแล้ว
“ได้ครับ” เมื่อพนักงานหันหลังเดินออกไปชวีเสี่ยวปอจึงรีบขยับก้นนั่งลงไปข้างๆ เซี่ยเจิงทันที พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย “เหนื่อยสุดๆ เลย”
“น้องของซือจวิ้นก็ซนมากจริงๆ น่ะแหละ” เซี่ยเจิงหยิบหมากฮอสขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ “นี่ นายเล่นอันนี้เป็ไหม? ”
“เล่นเป็ แต่ตอนนี้ไม่อยากเล่น” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกี้เีขึ้นมา เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็โรคอะไรขึ้นมาอีก เพราะหลังจากคบกับเซี่ยเจิง ทั้งการนั่งไม่นิ่งยืนไม่สุขก็ล้วนทำให้เขาสามารถแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ ตราบใดที่ได้นั่งกับเซี่ยเจิง ตัวของเขาครึ่งหนึ่งก็ต้องแอบอิงพิงซบไปบนตัวของเซี่ยเจิงทุกครั้ง
“ฉันคิดว่าชาติที่แล้วนายต้องเป็หมีโคอาลาแน่ๆ ” เซี่ยเจิงรู้สึกเคยชินไปเป็ที่เรียบร้อย มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนอยู่ที่โรงเรียนชวีเสี่ยวปอลืมตัวไป ขณะที่เรียนอยู่ก็พิงซบลงมา จนถูกครูหัวหน้าระดับเห็นเข้า ทั้งยังลากเขาออกไปต่อว่ายกใหญ่ “เธอไม่เรียนก็อย่าไปรบกวนคนอื่นเขาสิ” จากนั้นชวีเสี่ยวปอก็กลับมาถามเซี่ยเจิง “นายบอกมาสิว่ายอมให้ฉันกวนหรือเปล่า? ”
“หมีก็หมีสิ” ชวีเสี่ยวปอเอ่ยขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร “ฉันปวดขามากเลยนี่ !”
เซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับยื่นมือลงไปใต้โต๊ะ พลางนวดให้ชวีเสี่ยวปออย่างไม่เบาและไม่หนักจนเกินไป เพียงแต่ชวีเสี่ยวปอยังไม่ค่อยรู้สึกหนำใจสักเท่าไหร่ จึงตัดสินใจยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาวางพาดบนตักของเซี่ยเจิง พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นอย่างพออกพอใจว่า : “อืม สบาย ช่างนวดคนนี้ทำงานมานานแค่ไหนแล้วครับเนี่ย? ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เห็นเคยเจอตัวเลย? ”
เซี่ยเจิงเองก็ให้ความร่วมมือไปกันเขา : “อะไรกัน? ครั้งก่อนที่นวดเสร็จแล้วไม่จ่ายตังค์ก็คุณไม่ใช่หรือไง? เดี๋ยวต้องจ่ายมาเป็สองเท่าเลยนะครับเนี่ย !”
ชวีเสี่ยวปอรีบพูดขึ้นมาว่า : “นี่คุณ ฉันไม่เคยติดหนี้ใครนะ !”
ทั้งสองคนหัวเราะคิกคักกันอยู่ยกใหญ่ จนทำให้พนักงานที่เดินผ่านไปผ่านมาอดไม่ได้ที่จะหันมามองพวกเขาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นการกระทำอันเล็กน้อยใต้โต๊ะนี้ ส่วนชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เซี่ยเจิงนวดขาข้างหนึ่งเสร็จ จึงตบไปที่หน้าแข้งของเขาอย่างเบามือ เพื่อบอกให้เขาเปลี่ยนขาอีกข้าง ถึงแม้เขาจะตีติดต่อกันไปหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ทว่าชวีเสี่ยวปอกลับไม่ขยับเขยื้อนเลย
………………………………
เซี่ยเจิงหยุดการกระทำในมือลง พร้อมทั้งหันไปมองชวีเสี่ยวปอ
ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอกำลังมองไปทางหน้าประตู ตรงนั้นมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา และหนึ่งในนั้นก็กำลังมองมายังชวีเสี่ยวปอด้วยสีหน้าที่เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจเป็อย่างมาก ซึ่งไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็ชวีจิ่ง
เจอกันอีกแล้วเหรอเนี่ย
เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา
แต่ทันใดนั้นเซี่ยเจิงก็พบว่า การเจอกันอีกครั้งนี้มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ชวีจิ่งไม่ได้สบสายตากับชวีเสี่ยวปอ แต่กลับให้ความสนใจกับการกระทำที่อยู่ใต้โต๊ะของเขาทั้งสองคน
ขาของชวีเสี่ยวปอยังคงพันเกี่ยวเป็อันหนึ่งอันเดียวกันกับเซี่ยเจิงอยู่ ส่วนมือของเซี่ยเจิงก็ยังคงจับหน้าแข้งของชวีเสี่ยวปอเอาไว้ด้วยเช่นกัน
การกระทำที่ไม่น่าดูแต่กลับใกล้ชิดสนิทสนมกันมากถึงเพียงนี้ถูกชวีจิ่งจับได้อย่างเข้าอย่างจัง
ชวีเสี่ยวปอจึงไม่ได้คิดถึงเื่อื่นอีก
เพราะเขาเห็นถึงความสะอิดสะเอียนที่ไม่อาจจะเก็บซ่อนเอาไว้ได้ในสายตาของชวีจิ่งเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
…………………………..
“เบอร์สี่! เบอร์สี่! ” พนักงานะโเรียกเสียงดัง ในสภาพแวดล้อมที่เสียงจ้อกแจ้กจอแจเช่นนี้ลูกค้าคงจะได้ยินไม่ชัด เขาจึงใช้พลังทั้งหมดที่มีะโออกไป แต่ก็ยังไม่มีใครขานรับเขา จนกระทั่งเขาเคาะลงไปบนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าของชวีเสี่ยวปอและเซี่ยเจิง พร้อมทั้งถามขึ้นมาอย่างรีบร้อนว่า : “พวกคุณเบอร์สี่ใช่ไหมครับ? ”
“ครับ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นยืนขณะเดียวกันก็ดึงชวีเสี่ยวปอที่สายตายังจ้องมองชวีจิ่งอยู่ให้ลุกตามมาด้วย “เมื่อกี้ไม่ได้ยินครับ”
“ผมะโเสียงดังซะขนาดนั้น” พนักงานบ่นพึมพำขึ้นมา แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก “ตามผมมาครับ”
ทั้งสองคนได้ที่นั่งติดกำแพงด้านใน ชวีเสี่ยวปอไม่รู้เหมือนกันว่าเขาร้อนตัวไปหรือเปล่า หลังจากที่นั่งลงเขาก็ไม่ได้มองไปทางประตูร้านอีกเลย ส่วนชวีจิ่งกับพวกคนกลุ่มนั้นก็ยังคงรอที่นั่งอยู่ตรงที่เดิม
เนื่องจากพนักงานมาเร่งรัด เซี่ยเจิงจึงต้องสั่งอาหารไปก่อนสองอย่าง ขณะนั้นซือจวิ้นก็เดินเข้ามาพอดี แต่ยังไม่ทันได้นั่งลงเขาก็เห็นชวีเสี่ยวปอกำลังนั่งแกะเกานิ้วมืออยู่ตรงนั้นแล้ว
“รอนายมาสั่งปลาอยู่เนี่ย” เซี่ยเจิงยื่นเมนูอาหารส่งให้เขา
“ฉันอะไรก็ได้” ซือจวิ้นรับเมนูอาหารมายื่นให้พนักงาน “เหมือนเดิมครับ สองโลพวกเราสามคนพอกินไหม? ”
“พอ” เดาว่าซือจวิ้นคงจะเป็ลูกค้าประจำที่นี่ ซึ่งพนักงานก็ดูคุ้นเคยกับเขาเป็อย่างดี ยิ้มขึ้นมาจนตาหยี : “เดี๋ยวอีกสักครู่จะเอามาเสิร์ฟให้นะคะ !”
“ปอเอ๋อร์? เป็อะไรไป? ” ซือจวิ้นสังเกตเห็นได้ในทันทีว่าชวีเสี่ยวปอดูผิดปกติไป ั้แ่นั่งลงจนถึงตอนนี้ ชวีเสี่ยวปอไม่พูดไม่จาเลยสักคำเดียว เอาแต่แคะแกะนิ้วมืออยู่เงียบๆ ราวกับกำลังคิดแผนการใหญ่อยู่อย่างไรอย่างนั้น
“เมื่อกี้ตอนนายเข้ามา นายไม่เห็นใครบางคนเหรอ? ”
ชวีเสี่ยวปอมีปฏิกิริยาตอบโต้ขึ้น พร้อมทั้งถามย้อนกลับไป
“ใครอะ? ” ซือจวิ้นชะเง้อคอมองไปรอบๆ โดยอัตโนมัติ ส่วนชวีจิ่งกับพวกของเขาก็กำลังเดินตามพนักงานเข้ามาทางนี้พอดี ทำให้ซือจวิ้นเห็นชัดเต็มสองตา
“บ้า...บ้าเอ๊ย? ! ” ซือจวิ้นหดคอของเขากลับลงมาทันที พร้อมทั้งฉีกดซองใส่ตะเกียบก่อนที่จะหักออกมาเป็สองอัน “ทำเขามาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ? ”
ซือจวิ้นมองผ่านชวีจิ่งไป ถึงแม้ว่าจะเห็นหน้าเขาเพียงผ่านๆ แต่ซือจวิ้นก็จำได้ในทันที
ให้ตายเถอะอะไรจะบังเอิญอะไรขนาดนี้ พนักงานจัดให้ชวีจิ่งนั่งตรงโต๊ะที่ทแยงมุมตรงข้ามกับพวกเขาทั้งสามคนพอดี
“ฉันก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ “ยังมีเื่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้อีกนะ”
“ไม่มีแล้วมั้ง” ซือจวิ้นกุมแก้ววน้ำเอาไว้ พลางใช้ฝ่ามือถูกไปมาพยายามคลายความไม่สบายใจของตัวเองลง จากนั้นจึงส่ายหน้าพร้อมทั้งเอ่ยขึ้นว่า “แค่นี้ก็ร้ายแรงพอแล้วนะ”
ชวีเสี่ยวปอเหลือบมองเซี่ยเจิงไปครั้งหนึ่ง เซี่ยเจิงกำลังก้มหน้า ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดขึ้นเสียงเบาว่า : “เหมือนว่าเขาจะรู้เื่ของฉันกับเซี่ยเจิงแล้ว”
เพล้ง
แก้วน้ำลื่นหลุดออกจากมือของซือจวิ้นและตกลงไปแตกกระจายอยู่บนพื้น
บริเวณรอบข้างเงียบไปหลายวินาที จากนั้นก็กลับมามีเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจขึ้นเช่นเดิม ในตอนนั้นซือจวิ้นส่งสัญญาณมือให้พนักงาน พลางกล่าวคำขอโทษออกไป
ในขณะเดียวกัน ชวีเสี่ยวปอก็เห็นชวีจิ่งเหลือบมองมาทางเขาด้วยครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะเพียงแค่ชั่วครู่ แต่ชวีเสี่ยวปอก็ยังจับสังเกตได้
แล้วจู่ๆ เซี่ยเจิงก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า : “เราสองคนสลับที่นั่งกันเถอะ? ”
“ฉันเหรอ? ” ซือจวิ้นผงะไปชั่วขณะ เขานึกว่าเซี่ยเจิงจะสลับที่นั่งกับตัวเอง เพื่อให้ได้นั่งใกล้ๆ กับชวีเสี่ยวปอ
“ไม่ใช่” เซี่ยเจิงให้คางชี้ไป ส่งสัญญาณให้ชวีเสี่ยวปอ “อยากเปลี่ยนที่กันไหม? ไม่เห็นจะได้ไม่กลุ้มใจ”
“ให้ตายเถอะ อิจสุด” ซือจวิ้นที่นั่งอยู่ด้านข้างกลอกตา ขณะเดียวกันพนักงานก็เดินเข้ามาเก็บกวาดเศษแก้ว พวกเขาจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ แต่หลังจากที่พนักงานเดินออกไป ซือจวิ้นถึงเริ่มเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง : “นายรู้ได้ไงว่าเขารู้แล้ว? เมื่อกี้นายสองคนจูบปากกันต่อหน้าเขาหรือไง? ”
“ใช้สมองนายดูคิดหน่อย ฉันสองคนจะจูบปากกันตรงนี้เหรอฮะ !” ชวีเสี่ยวปออยากจะเอาตะเกียบทิ่มหน้าซือจวิ้นเสียเหลือเกิน “ยังไงก็เขารู้แล้วนั่นแหละ”