“องค์รัชทายาท เชิญนั่ง” สีหน้าของมู่หรงอวี้เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เขาผายมือเชื้อเชิญด้วยท่วงท่าอันสง่างาม
“ท่านอ๋องกำลังรอคอยโชคอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ?” มู่หรงฉือถลกเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลง ในเมื่อมาแล้วก็อยู่ที่นี่อย่างสงบใจไปก่อนแล้วกัน
เขารินน้ำชาก่อนจะส่งให้อย่างเอาอกเอาใจ
นางจิบน้ำชาไปก็มองเขาไปอย่างพิจารณา อีกฝ่ายยังคงสวมชุดสีดำแต่ปราศจากลวดลาย ไร้ซึ่งเครื่องประดับติดตัว ทว่ากลับไม่ได้ลดทอนภาพลักษณ์ลงแม้แต่น้อย กลับกันยิ่งทำให้ดูสบายตาขึ้นเสียอีก
“องค์รัชทายาทก็สนพระทัยนักฆ่าหญิงผู้นี้หรือ?” มู่หรงอวี้ยกยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มเย็นแบบสุนัขจิ้งจอกออกมา
“นักฆ่าหญิงแห่งเมืองลั่วหยางเป็ที่เลื่องลือ เปิ่นกงย่อมต้องสนใจอยู่แล้ว” มู่หรงฉือยักคิ้วเรียว “ท่านอ๋องคงอยากใช้นักฆ่าหญิงล่องูออกจากรัง ไม่ทราบว่าได้ผลหรือไม่?”
“ข้าไม่รีบร้อน”
“เช่นนั้นสามวันนี้ท่านอ๋องก็จะมาเฝ้าอยู่ที่นี่หรือ?”
“หากเตี้ยนเซี่ยมาที่นี่กับเปิ่นหวาง เปิ่นหวางก็คงไม่เหงาถึงเพียงนั้นแล้ว”
“เปิ่นกงต้องทำหน้าที่เป็องค์รัชทายาทอยู่ในตำหนักบูรพา”
หลังจากที่นาง ‘แสดงอิทธิฤทธิ์’ ที่ตำหนักชิงหยวนเมื่อวาน นางตัดสินใจแล้วว่าจะไม่แสร้งทำตัวขี้ขลาดอ่อนแออีก
ดูจากความจองหองของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน คงไม่มีทางที่เขาจะมาสนใจนางที่เป็องค์รัชทายาทเท่าไรนัก
มู่หรงอวี้เหลือบตามองไปทางนาง “เปิ่นหวางคิดมาตลอด ฮ่องเต้แคว้นตงฉู่คงไม่โง่เขลาถึงขนาดส่งนักฆ่าหญิงไม่กี่คนมาลอบฆ่าเปิ่นหวาง”
มู่หรงฉือได้ยินประโยคนี้เข้าก็แทบสำลักน้ำชา
นางถูกสายตาแหลมคมของเขาจ้องมองจนแอบขนลุกอยู่ในใจ ถามออกมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “เช่นนั้นท่านสงสัยว่าเป็ผู้อื่นบงการหรือ?”
“คนบงการคือผู้ใด เปิ่นหวางไม่ได้สนใจ จะเป็แคว้นก็ดี คนข้างกายก็ช่าง หรือจะเป็ฮ่องเต้แคว้นอื่น จะแตกต่างกันอย่างไร?”
“ความคิดของท่านอ๋องช่างไม่เหมือนผู้ใดเสียจริง”
“ที่เปิ่นหวางสนใจกลับเป็สตรีนางหนึ่ง”
“สตรี?” นางประหลาดใจ ยกแก้วชาขึ้นมา
รอยยิ้มที่มุมปากของมู่หรงอวี้บางเบาเสียจนมองแทบไม่เห็น “คืนนั้นที่เปิ่นหวางโดนลอบสังหาร เปิ่นหวางได้หลับนอนกับสตรีนางหนึ่ง คนที่เปิ่นหวางอยากจะล่อออกมาก็คือนาง”
พรวด!
มู่หรงฉือที่ยกน้ำชาขึ้นดื่มอีกครั้งพอดี ครั้งนี้ถึงกับพ่นน้ำชาออกมา
นางรู้ตัวว่าเสียกิริยา จึงรีบใช้เสื้อคลุมเช็ด
ั์ตาดำของเขาฉายแววประหลาดใจ “ทำไมเตี้ยนเซี่ยถึงได้ตกพระทัยเพียงนี้?”
นางยกยิ้มเย็น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “เปิ่นกงเพียงรู้สึกว่า บุรุษผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้าเช่นท่านอ๋อง กลับมาใส่ใจแม่นางที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน สตรีผู้นั้นเป็หนึ่งในนักฆ่าหญิงหรือ?”
“เปิ่นหวางไม่รู้” มู่หรงอวี้รู้สึกว่าปฏิกิริยาตอบสนองขององค์รัชทายาทออกจะรุนแรงไปสักหน่อย แต่ในชั่วเวลาสั้นๆ นั้นเขายังไม่ค่อยเข้าใจนัก
“หากท่านอ๋องชอบนักฆ่าหญิงผู้นั้น สตรีที่ยังไม่แต่งงานทั่วทั้งลั่วหยางคงใจสลายเสียแล้ว”
มู่หรงฉือมักรู้สึกว่าสายตาของเขาแปลกๆ ราวกับคาดเดาอะไรบางอย่างได้ เหมือนกำลังทดสอบนาง
เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงเดินไปตรงหน้าต่าง มองไปยังประตูหอที่กำลังคึกคัก
เขาเดินมาอยู่ข้างกายนาง พูดเสียงทุ้ม “ถึงแม้ว่าคืนนั้นเืลมของเปิ่นหวางจะไหลย้อนกลับ มองเห็นใบหน้าของนางได้ไม่ชัดเท่าไรนัก แต่ว่ากลิ่นหอมอันเป็เอกลักษณ์บนร่างของนาง ทั้งชีวิตนี้เปิ่นหวางก็ลืมไม่ลง อีกอย่าง เปิ่นหวางคิดว่าเหมือนเคยได้กลิ่นหอมนั่นมาก่อน”
หัวใจของนางเย็นวาบ ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงลงจนไถลไปกับพื้น
มู่หรงอวี้มือไวตาไวรีบพยุงเข้าที่ส่วนเอวของนาง “องค์รัชทายาททรงเป็อะไรไป?”
“วันนี้เปิ่นกงตื่นเช้าเลยมึนหัวนิดหน่อย”
มู่หรงฉือตอบกลับหน้านิ่ง ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่ามือใหญ่ที่บริเวณเอวร้อนผิดปกติ
มือของนางผลักเขาออก “เปิ่นกงไม่เป็อะไรแล้ว”
ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้พูดกับนางมากมายเช่นนี้? หรือว่าเขารู้ว่าแล้วสตรีผู้นั้นคือนาง? หรือเพียงแค่จะทดสอบนางกันแน่?
ชั่วขณะนั้นภายในใจของนางยุ่งเหยิงไปหมด
โชคดีที่ปกติแล้วนางไม่ใช้กำยาน กลิ่นหอมที่เขาพูดถึงคงจะเป็กลิ่นกายติดตัว
มู่หรงอวี้ดึงมือกลับไป แล้วพบว่าใบหน้าหล่อเหลาขององค์รัชทายาทแดงระเรื่อ ทั้งยังมีความงดงามอยู่หลายส่วน
อีกอย่าง ่เอวขององค์รัชทายาทนุ่มมาก ดูไม่แข็งแกร่งเหมือนบุรุษ กลับเหมือนกับสตรีอยู่เล็กน้อย
แต่ว่า เขาก็ไม่ได้คิดอะไร
ไม่ว่าจะเป็ราชสำนักหรือว่าวังหลวง หลายคนต่างพูดว่าองค์รัชทายาทหน้าตางดงาม ผิวขาวละเอียด รูปร่างผอมบาง เหมือนฮองเฮาที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วมาก จึงมีความงามแบบสตรีอยู่หลายส่วน
บรรยากาศพลันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย มู่หรงฉือรีบเปลี่ยนเื่
“ท่านอ๋องจับกุมนักฆ่าสาว กลับกันยังพยายามคิดตามหาสตรีผู้นั้น ควรจะพูดว่าท่านอ๋องเป็คนใจกว้าง หรือจะบอกว่าท่านอ๋องลุ่มหลงในสตรีดี? ท่านอ๋องควบคุมราชสำนักทั้งหมด มีเื่ให้ต้องทำมากมาย ยังมีเวลาว่างมาคิดเื่รักๆ ใคร่ๆ เช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”
มู่หรงอวี้มองไปยังท้องฟ้าสีอ่อน “เื่รักๆ ใคร่ๆ ก็เป็เื่ในราชสำนักไม่ใช่หรือ?”
“หากท่านอ๋องหาสตรีผู้นั้นเจอ เช่นนั้นจะทำอย่างไรกับนาง? จะฆ่านางทิ้งหรือตบแต่งนางเป็ภรรยา?” นางเดินกลับไปตรงหน้าโต๊ะแล้วนั่งลง
“นั่นเป็เื่ในอนาคต เปิ่นหวางเองก็ไม่รู้” เขานั่งลงข้างกายนาง ใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มซุกซ่อนความเฉียบคมเอาไว้ “หากมีสักวันที่เปิ่นหวางตกอยู่ในมือของเ้า เ้าจะทรมานเปิ่นหวางอย่างไร?”
“ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนทำเพื่อแคว้น ภาวนาให้ฟ้าฝนตกตามฤดู เปิ่นกงจะลงมือกับท่านอ๋องได้อย่างไร?” มู่หรงฉือรู้สึกว่าช่างไร้สาระเสียจริงที่มาพูดคุยเื่ไร้ประโยชน์อยู่ในห้องอาหารของร้านน้ำชากับศัตรูเช่นนี้
มู่หรงอวี้หัวเราะออกมา ก่อนจะรินน้ำชาสองแก้ว
นางลุกขึ้นยืนแล้วบอกลา “นี่ก็เย็นแล้ว เปิ่นกงคงต้องขอตัวกลับก่อน”
จนกระทั่งองค์รัชทายาทหายลับไป เขาถึงได้เก็บสายกลับมา
องค์รัชทายาทช่างน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เสียจริง แต่ก่อนทุกสิ่งล้วนเป็การเสแสร้ง ตอนนี้ถึงจะเป็ตัวตนที่แท้จริงสินะ
….
ยามค่ำคืนมืดมิด
ณ ห้องตำรา จวนอวี้หวาง
มู่หรงอวี้นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ สะบัดพู่กันราวกับสายลม จังหวะการเขียนมั่นคงลื่นไหลราวกับสายน้ำ
ทุกลายเส้นที่วาดออกมาคือสิ่งที่คิดอยู่ในใจ นั่นคือใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มที่ลอยวนอยู่ในหัวของเขาตลอดหลายวันมานี้
เพียงไม่นาน ภาพเหมือนแบบง่ายๆ ก็ถูกวาดออกมาได้สำเร็จ
ในภาพคือสตรีนางหนึ่ง รูปลักษณ์ของนางช่างงามวิจิตร ราวกับหมู่เมฆเรืองรองในยามเช้า ทั้งยังเย็นะเืเหมือนสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง
สตรีที่ความงามแผ่ออกมาจากข้างในมิใช่เพียงภายนอก สตรีที่โรมรันกับเขาในคืนนั้นช่างงดงาม เ็า และดื้อดึง
เขายังคงจำได้ดี ในตอนที่เขาตักตวงความสุขอย่างบ้าคลั่ง หางตาของนางคลอหน่วยไปด้วยน้ำตา ช่างงดงามเหลือเกิน
เขามองภาพเหมือนนั้นอยู่เนิ่นนาน เสียดายที่คนงามในภาพอยู่ห่างไกล จะหาอย่างไรก็หาไม่พบ
ไม่สิ! แม้เขาจะต้องพลิกแผ่นดิน หรือต่อให้ต้องควานหาทั่วทั้งใต้หล้า เขาก็จะต้องตามหานางให้พบ!
ไม่มีเื่ไหนที่เขามู่หรงอวี้ผู้นี้ทำไม่ได้!
ก๊อกๆๆ… ก๊อกๆ… ก๊อกๆๆ…
เสียงเคาะประตูที่มีจังหวะเป็เอกลักษณ์ มู่หรงอวี้ะโตอบ “เข้ามา”
คนชุดดำคนหนึ่งผลักประตูเข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง กระหม่อมได้ถ่ายทอดคำสั่งลงไปแล้ว ทั้งนอกและในเมืองลั่วหยาง ไม่มีร่องรอยของสตรีนางนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“แคว้นตงฉู่มีข่าวรายงานกลับมาหรือไม่?”
“เมื่อครู่สายลับของแคว้นตงฉู่รายงานกลับมา ไม่มีร่องรอยของสตรีนางนั้นเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“หานางต่อไป”
“ขอรับ!” คนชุดดำถอยออกไป เพียงชั่ววินาทีก็กลืนหายเข้าไปในความมืดยามค่ำคืน
มู่หรงอวี้จ้องภาพเหมือนภาพนั้นเงียบๆ ั์ตาสีดำฉายแววเย็นเยียบออกมา ไม่ว่าเ้าจะเป็ใคร ไม่ว่าเ้าอยู่ที่ไหน เปิ่นหวางจะหาเ้าให้เจอ!
…..
เมืองลั่วหยางใกล้กับเขตตะวันตก มีเรือนที่กินอาณาบริเวณกว้างขวางอยู่หลังหนึ่ง มีชื่อว่าคฤหาสน์หนึ่งในใต้หล้า
เมื่อห้าปีก่อน คฤหาสน์หนึ่งในใต้หล้าได้ป่าวประกาศท่ามกลางบรรดาผู้มีความสามารถว่า หากเ้าคิดว่าตัวเองมีความสามารถ หากคิดว่ามีความกล้าที่จะท้าทาย หากคิดว่าตัวเองมีค่ามากพอ ก็สามารถมาลงสมัครเข้าสำนักได้ ขอแค่ทดสอบว่ามีคุณสมบัติที่ครบถ้วน อีกทั้งเป็ที่หนึ่งในสายอาชีพใดอาชีพหนึ่ง หากกลายเป็ผู้ที่มีความสามารถติดอันดับของหนึ่งในใต้หล้า ทางสำนักจะให้เงินสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไข
พอคำประกาศนี้ถูกปล่อยออกไป ก็มีผู้คนรายล้อมเข้ามาสมัครทุกวัน
ทุกเดือนจะมีการทดสอบเพียงหนึ่งครั้ง กำหนดเวลาเอาไว้ที่วันที่ห้าของทุกเดือน
ในวันที่ห้าของเดือนสี่ คฤหาสน์หนึ่งในใต้หล้าครึกครื้นเป็พิเศษ คนจากในแคว้นและจากพื้นที่อื่นๆ ต่างมารวมตัวกันที่นี่
คนที่ชอบดูเื่สนุกก็พากันเข้ามามุงดู ผู้ที่ดูแลคฤหาสน์หนึ่งในใต้หล้าก็ไม่ได้ไล่คนออกไป
ภายในคฤหาสน์หลังโตจึงมีคนอยู่แน่นขนัด
บุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่ทางทิศเหนือของลานทดสอบเป็ผู้รับผิดชอบในการทดสอบ คนที่มาเข้าร่วมเ่าั้ก็ออกมาแสดงความสามารถของตนเองทีละคน
มีทั้งแสดงกายกรรม แสดงการใช้มือยกของที่มีน้ำหนักหนึ่งร้อยจินขึ้นมา แสดงการยกโต๊ะสี่ขาที่หนักมากๆ แสดงการเหินตัวขึ้นฟ้า มุดดิน และอื่นๆ อีกมากมายที่ทั้งแปลกตาและหาดูได้ยาก
บุรุษวัยกลางคนทั้งสามที่เป็กรรมการส่ายหน้าอย่างผิดหวัง รู้สึกหมดความสนใจลงเรื่อยๆ
ภายในสวนอันเงียบสงบ ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอุดมสมบูรณ์ มีศาลาตั้งอยู่ที่นั่นราวอยู่ในดินแดนของเทพเซียน
“เ้าสำนัก คนที่มาทดสอบในเดือนนี้ดูเหมือนจะไม่มีคนที่มีความสามารถสักเท่าไรเลยขอรับ”
ผู้จัดการหรงจ้านพูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย เขาสวมชุดสีขาว ท่วงท่าสง่างาม ทั้งยังมีรูปลักษณ์หล่อเหลาอยู่หลายส่วน
คุณชายที่อยู่ข้างกายเขาสวมชุดสีขาวเช่นกัน หน้าตายิ่งหล่อเหลาประหนึ่งหยก ถึงแม้ว่าร่างกายจะผอมบางไปสักหน่อย แต่ว่าเมื่อเทียบกับตนแล้วกลับดูมีอิสระไร้การผูกมัดกว่า
คนผู้นี้ก็คือมู่หรงฉือ
“ไม่เป็ไร เดิมทีเป้าหมายที่ข้าสร้างคฤหาสน์หนึ่งในใต้หล้าขึ้นมาก็ไม่ได้อยู่ที่เื่นี้”
มู่หรงฉือพูดเสียงเรียบ ได้ยินเสียงวุ่นวายดังมาจากด้านนอก
หรงจ้านสะบัดพัดสีขาวยิ้มหน้าระรื่น ทำลายภาพลักษณ์อันสง่างามไปจนหมดสิ้น “เ้าสำนักอยากจะไปดูที่เรือนหน้าหรือไม่?”
นางพยักหน้า “พวกเราแยกกันไป”
“ก็ดี ข้าจะไปห้องน้ำก่อน เ้าสำนักเชิญตามสบายขอรับ”
พูดจบหรงจ้านก็หมุนตัวเดินออกไป
มู่หรงฉือเดินมาถึงที่เรือนหน้า ปะปนเข้าไปในฝูงชนเพื่อดูการแสดง
ทันใดนั้น หัวใจของนางก็เย็นวาบ รู้สึกว่าข้างกายมีคนเพิ่มมาหนึ่งคน อีกทั้งตัวตนของคนที่มาใหม่แม้จะแลดูเลือนรางแต่กลับให้รู้สึกถึงความกดดันอันไร้รูป อีกทั้งบรรยากาศรอบข้างก็ยังอึดอัดยิ่งนัก
คนที่ทำให้รู้สึกเช่นนี้ได้ จะต้องมีฝีมือการต่อที่สู้เก่งกาจ บรรยากาศรอบข้างถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้
นางขยับไปด้านข้างหลายก้าว ก่อนจะค่อยๆ หันไปมอง แต่กลับตะลึงค้างอยู่ตรงนั้น นั่นคือท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน!
ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
นางรีบปกปิดความใจนร้อนรนของตัวเอง พยายามสงบความรู้สึกลงไป
“องค์รัชทายาทช่างมีความสนใจที่ไม่เลวเลย” มู่หรงอวี้พูดเสียงทุ้มปนหยอกเย้า “พวกเรานี่ดวงสมพงศ์กันเสียจริง ไปที่ไหนก็ได้พบกัน”
“ท่านอ๋องไม่ได้สะกดรอยตามเปิ่นกงมาใช่หรือไม่” มู่หรงฉือพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงสมพงศ์กันกับผีน่ะสิ!
“หรือเตี้ยนเซี่ยอยากจะตามหาคนที่เก่งกาจมีความสามารถ?”
“หรือว่าท่านอ๋องเองก็เช่นกัน?”
“ที่ข้ามาก็เพราะว่าข้าว่าง ไม่มีอะไรให้ทำจึงมาดูเสียหน่อย” มู่หรงอวี้พูดด้วยท่าทีสบายๆ
ไม่รู้ว่าทำไม นางถึงรู้สึกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ่คอกับใบหูร้อนผ่าวไปหมด
บางทีอาจจะเป็เพราะฤดูร้อนใกล้จะมาถึงแล้ว
เขาตอบเนิบๆ “เตี้ยนเซี่ยร้อนมากเลยหรือ? เช่นนั้นไปอยู่ตรงนู้นเถิด ทางนั้นไม่แออัดเท่าใด”
มู่หรงฉือยังไม่ทันตอบก็ถูกเขาจับข้อมือแล้วลากไป
นางสะบัดมือออกอย่างหงุดหงิด แต่ว่ากลับสะบัดไม่ออก “ปล่อยเปิ่นกง! ”
ในที่สุดมู่หรงอวี้ก็ปล่อยมือ “ตรงนี้ร่มกว่า”
แต่ถึงจะเปลี่ยนสถานที่แล้วนางก็ยังรู้สึกว่าไม่เย็นพอ ตรงข้อมือที่เคยถูกเขาจับร้อนผ่าวจนน่าใ
ภาพคืนอัปยศที่ทำใจรับไม่ได้นั้นแล่นเข้ามาในหัวเป็ฉากๆ นางปัดมันออกจากหัวไม่ได้ ในใจก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ
“เปิ่นกงยังมีเื่ให้ต้องทำอีกมาก ขอตัวก่อน”
หากเป็ไปได้ นางจะตัดหัวของเขาทันทีอย่างแน่นอน!
แต่เป็เพราะนางหมุนตัวเร็วเกินไป ทันใดนั้นเองนางพลันได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ ลั่นขึ้น แย่แล้ว
ข้อเท้าของนางพลิก!
นางเจ็บจนแทบขาดใจ ก่อนจะค่อยๆ นั่งลง ในตอนนี้เองที่แขนแกร่งดั่งคีมเหล็กอุ้มนางขึ้นจนนางใตาโต ตะลึงตาค้างไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้