เป็ไปไม่ได้!
นางกับเ้าข้าวนิ่ม [1] ิเป่าอวี้ล้วนไม่มีความสามารถ หรือว่าเ้าหนุ่มป่าเถื่อนผู้นั้นเป็คนให้ คราก่อนอาหารเต็มโต๊ะเ่าั้ เขาก็เป็คนออกเงิน
ไม่ได้การ นางต้องไปดูเสียหน่อย
“ที่แท้เื่นี้นี่เอง ข้าก็นึกว่าอะไร ถึงนางจะมีเื่บาดหมางกับพวกเรา แต่อย่างไรเสียก็เป็เืเนื้อเชื้อไขน้องชายแท้ๆ ของบ้านเรา หากพวกเขามีชีวิตที่ดี พวกเราก็ยินดีด้วยอยู่แล้ว”
ก่อนที่จะขยับตัว หวังซื่อก็พูดจาเสียสวยหรู ภาพลักษณ์ของผู้าุโผู้เมตตาปรานีที่สั่งสมมาหลายปีจะให้เสียหายไม่ได้เป็อันขาด
“แล้วบ้านเ้ามีของอะไรหายไปบ้างหรือไม่” จู่ๆ จ้าวจินจือก็เปลี่ยนเื่ มาคุยถึงสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
“ไม่มีนะ ทำไมหรือ” หวังซื่อรู้สึกงุนงง
“ข้าก็แค่เป็ห่วง เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จะมีปัญญาหาเงินจากอะไรได้ อย่าให้ขโมยของในบ้านแต่เ้าไม่รู้เื่ก็แล้วกัน” เสียงของจ้าวจินจือเปี่ยมไปด้วยน้ำใสใจจริง ทำท่าประดุจเป็เดือดเป็ร้อนแทนหวังซื่อ
“เอ้อ... ข้าก็ไม่เคยสังเกตมาก่อน ดีที่เ้าเตือนสติ เดี๋ยวข้าต้องตรวจสอบให้ดีเสียหน่อย”
หวังซื่อควบคุมเงินในบ้านอย่างเข้มงวด หากหายไปนางจะไม่รู้ได้อย่างไร ในใจย่อมประจักษ์แจ้งดุจคันฉ่องใส แต่ที่พูดก็แค่เผื่อทางหนีทีไล่ ไม่มีอะไรที่แน่นอน
“พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ช่างจิตใจดีเหลือเกิน เด็กในบ้านสร้างปัญหาถึงเพียงนี้ก็ยังใจกว้าง แต่เอ๊ะ ไยไม่เห็นพี่ใหญ่เลยเล่า ออกไปข้างนอกหรือ”
จ้าวจินจือรู้จักนิสัยของหวังซื่อดี เห็นอยู่ว่าพยายามสุดชีวิตที่จะรักษาหน้าเอาไว้ แต่ในใจคงริษยาจนแทบกระอักอยู่แล้ว
คำพูดสวยหรูใครบ้างจะพูดไม่เป็ หลังจากยกยอปอปั้นหวังซื่อแล้ว ก็หันไปถามถึงิเถี่ยจู้
“อื้อ ออกไปแล้ว” หวังซื่อไม่มีอารมณ์จะต้อนรับขับสู้จ้าวจินจือ คิดแต่อยากจะไล่คนไปเร็วๆ ตนเองจะได้ไปดูสถานการณ์ที่บ้านเดิมเสียหน่อย
พูดยังไม่ทันขาดคำ ิเถี่ยจู้ก็เดินเข้ามาในลานบ้านพอดี
“อ้าว พี่ใหญ่ิกลับมาแล้วหรือ” จ้าวจินจือลุกขึ้น เดินออกไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม กระตือรือร้นกว่าหวังซื่อหลายส่วน
ิเถี่ยจู้เห็นในเรือนมีคนนอกอยู่ ก็อึ้งเล็กน้อย ก่อนผงกศีรษะ “น้องจินจือมาได้อย่างไร พวกเ้าคุยกันไปเถอะ ข้าจะไปผ่าฟืนที่หลังเรือน”
พูดจบก็ไม่รั้งรอ ยกเท้าเดินไปทันทีราวกับกลัวว่าจะถูกผีตามรังควาน ทำเอาจ้าวจินจือสีหน้าห่อเหี่ยวกลับมานั่งลงบนเก้าอี้
หวังซื่อมิได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของจ้าวจินจือตอนขาไปและขากลับแม้แต่น้อย นึกโทษแต่ิเถี่ยจู้ที่ไม่ทักทายสักคำ เป็การหักหน้านางต่อหน้าผู้อื่น
“ข้ายังมีงานที่ยังทำไม่เสร็จ ไม่รั้งเ้าแล้วล่ะ วันหลังค่อยมาคุยกันอีกเล่า”
หวังซื่อเกิดความคิดในใจแล้ว ก็แทบรอไม่ไหวแม้แต่ชั่วครู่เดียว พูดจบก็ลุกขึ้นลากคนออกไปข้างนอกทันที
จ้าวจินจือถูกผลักออกมาข้างนอก ก็หันไปถ่มน้ำลายใส่ประตูที่ปิดไปแล้ว ก่อนหมุนตัวหันเดินบิดเอวหลังจากไปพร้อมเรือนร่างอันอวบอ้วน
เมื่อจ้าวจินจือเดินไปไกลแล้ว ประตูเรือนสกุลิก็เปิดออกมาอีกครั้ง
หวังซื่อออกมาจากข้างใน เดินไปยังบ้านเดิมของสกุลิ
...
มื้อเย็น
ิเป่าจูทำอาหารจากเต้าหู้สองสามอย่าง เนื่องจากซื้อเครื่องปรุงมาแล้ว รสชาติก็ไม่จืดชืดอีกต่อไป
ประกอบกับตอนอยู่ในยุคปัจจุบันิเป่าจูก็ทำกับข้าวกินเองมาโดยตลอด ไม่ค่อยออกไปซื้อข้างนอก ฝีมือการทำอาหารก็พอมีอยู่บ้าง
ขณะที่ทั้งสามคนกินข้าวอยู่ในบ้านอย่างอิ่มหนำสำราญ กลับไม่รู้ว่ามีคนเดินวนเวียนอยู่รอบรั้วบ้านด้านนอก
ดูท่าจ้าวจินจือจะพูดความจริง
ควันไฟที่ลอยมาจากฝั่งตะวันตกของเรือนคือข้อพิสูจน์อย่างดียิ่ง
“นางสารเลว ไม่เลวนี่ มีความสามารถไม่เบา” หวังซื่อสบถเสียงต่ำอย่างขุ่นเคือง
ยิ่งไปกว่านั้นนางยังได้กลิ่นเนื้อหอมฉุยอีกด้วย
ทว่านี่เป็เื่ของจิตปรุงแต่งล้วนๆ ครานี้ิเป่าจูไม่ได้ซื้อเนื้อสัตว์จากในเมืองกลับมา อาหารเย็นที่ทำล้วนเป็มังสวิรัติ
กล่าวได้แต่เพียงว่าฝีมือของนางล้ำเลิศ สามารถทำเต้าหู้ให้คนที่ได้กลิ่นคิดว่าเป็เนื้อสัตว์ได้
หวังซื่อกระแทกส้นเท้าด้วยความอิจฉาริษยา ต่อให้เป็บ้านของนางก็ไม่อาจได้กินเนื้อทุกมื้อ เ้าเืชั่วสองคนนี้มีสิทธิ์อะไร
ความอิจฉาริษยาในใจเหมือนดังวัชพืชที่เติบโตอย่างบ้าคลั่ง เมื่อไฟโกรธแตกสะเก็ดเพียงเล็กน้อย ก็ไม่อาจหยุดยั้งกลายเป็ไฟลุกลามไปทั่วทั้งทุ่งหญ้า
ิเป่าจูกับิเป่าอวี้ที่อยู่ในบ้านกลับไม่รู้เื่อะไรเลย หลังกินข้าวเสร็จก็ใช่ว่าจะว่าง
ยังต้องเอาเต้าหู้ที่เหลือมาทำเป็ลูกชิ้นกับเต้าหู้ปรุงรสแบบแห้ง เผื่อว่าใครหิวจะได้กินรองท้องได้
ทว่า่เวลาสบายใจกลับอยู่ได้ไม่นานนัก วันรุ่งขึ้นในหมู่บ้านก็มีข่าวลือว่าเงินในบ้านของิเถี่ยจู้หายไป และหัวขโมยก็คือิเป่าจู
เวลานี้ิเป่าจูกำลังพรวนดินใส่ปุ๋ยให้กับสมุนไพรล้ำค่าของตนเองอยู่ในสวน
เมื่อเช้าหลังตื่นขึ้นมา นางไปหลังเขา ขุดต้นจิ่นหลัวมาได้สองสามต้น ยังเป็ต้นกล้าอยู่ ิเป่าจูดีใจเป็พิเศษ ไม่คิดจะหาอย่างอื่นต่อ ขุดเสร็จก็กลับมาเลย
ต้นจิ่นหลัวชอบร่มเงา ขาดน้ำไม่ได้ หลังจากขุดขึ้นมาแล้วก็ต้องรีบปลูกลงดินให้เร็วที่สุด และรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ
เมล็ดของมันช่วยให้จมูกโล่งหายใจคล่อง ต้นกล้าอ่อนก็ช่วยลดและขจัดเสมหะ เมื่อโตเต็มวัยได้ที่ก็สามารถเป็ยารักษาวัณโรคได้ดี
กล่าวได้ว่าจิ่นหลัวเกิดมาเพื่อปอดของมนุษย์โดยเฉพาะ ตอนที่นางเรียนแพทย์เพื่อนร่วมชั้นต่างเรียกมันว่า ‘มิตรคู่ปอด’ ในตำรายังเรียกมันว่า ‘แก่นแห่งลมปราณ’
“เป่าจูอยู่บ้านหรือไม่”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยคำถาม
“อยู่เ้าค่ะ ท่านป้า เข้ามาได้เลย”
ได้ยินจากเสียงก็รู้ว่าเป็ผู้ใด ิเป่าจูวางพลั่วลง เช็ดมือบนผ้ากันเปื้อน แล้วมาเปิดประตูให้ท่านป้าเข้ามา
“แม่หนู เ้า... วันนี้เ้าออกจากบ้านหรือไม่”
หลังจากเข้ามาในบ้าน ท่านป้าก็คว้ามือของนางมากุมในฝ่ามือของตนเองอย่างสนิทสนมแล้วตบเบาๆ
นางสังเกตสีหน้าของิเป่าจูอย่างละเอียด ถอนหายใจอยู่เงียบๆ ไม่จำเป็ต้องถามคำถามอะไรมากมาย ดูจากท่าทีของนางก็รู้แล้ว
เฮ่อ สองสามีภรรยาสกุลิช่างก่อเื่ไม่หยุดหย่อนจริงๆ
“เมื่อเช้ามีออกไปหลังเขา มีอะไรหรือเ้าคะท่านป้า” ิเป่าจูปล่อยให้ท่านป้าจับมือ เห็นนางท่าทางอึกอัก สีหน้าดูร้อนใจ ก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ท่านป้า เกิดอะไรขึ้นใช่หรือไม่”
หลี่ไหวฺอวี้กับิเป่าอวี้ได้ยินเสียงก็ออกมาจากห้อง หลังจากทักทายกันแล้ว ก็ถามพวกเขาด้วยคำถามเดียวกัน
ท่านป้ามองเด็กสามคนพลางทอดถอนใจ
เมื่อเช้าพอตื่นขึ้นมาข่าวยังไม่แพร่ไปทั่วเหมือนกับตอนนี้
“ได้ยินมาว่าบ้านท่านลุงของเ้าทำกำไลหยกสินเดิมของหวังซื่อหายไป...” ท่านป้าหน้านิ่วคิ้วขมวด เอ่ยมาได้เพียงครึ่งเดียวก็พูดไม่ออกอีกแล้ว
ใครจะสามารถยืนยันเื่นี้ได้ ของสินเดิมไม่ใช่สิ่งที่เ้าอยากให้มีก็จะมี
ดูเหมือนว่าครอบครัวของหวังซื่อจะมาจากหมู่บ้านใกล้เคียง ฐานะครอบครัวยังสู้สกุลิไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นเหนือขึ้นไปยังมีพี่ชายอีกสองคน จะมีกำไลหยกเป็สินเดิมให้กับบุตรสาวได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าจะมี ก็ควรเก็บไว้ให้บุตรชายสองคนแต่งภรรยามากกว่ากระมัง นางไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเป่าจูอย่างไรจริงๆ
“ไม่เป็ไร ท่านบอกมาตามตรงเถอะ เกี่ยวข้องกับข้าใช่หรือไม่”
ของหายก็ต้องไปหา ถ้ายังไม่พบก็ยังมีหัวหน้าหมู่บ้านที่สามารถช่วยหาได้ เหตุใดถึงมาถามเอากับนางที่นี่
แต่ิเป่าจูก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เื่ที่จะทำให้ท่านป้าแล่นมาหานางโดยเฉพาะจะต้องเป็เื่ที่เกี่ยวข้องกับตนเองแน่นอน
คนอย่างหวังซื่อสามารถแพร่ข่าวลือให้รู้กันทั่วหมู่บ้านได้อยู่แล้ว คาดว่าต้นตอของเื่นี้น่าจะมาจากนาง
ยิ่งเห็นท่าทางลังเลของท่านป้าก็ยิ่งเป็การยืนยันคำตอบที่ชัดเจน
“ต้องโทษจ้าวจินจือคนเดียว ปากพล่อยไม่มีหูรูด เมื่อเช้าไปนั่งที่บ้านสกุลิครู่เดียว พอออกมาก็เที่ยวโพนทะนาไปทั่วว่าเ้าเอากำไลหยกของหวังซื่อไป”
ไม่ต้องคิดเยอะ เห็นได้ว่าคำพูดนี้หวังซื่อเป็คนบอกนาง
เมื่อวานหลังจากหวังซื่อมาแอบดูที่กำแพงเรือนของิเป่าจู กลับไปก็ไปวางแผนร่วมกับิเถี่ยจู้ คิดหาหนทางที่จะเอาเงินทั้งหมดในมือของิเป่าจูมาให้ได้
นางคิดวางแผนในใจั้แ่ได้ยินจ้าวจินจือเล่าให้ฟังตอนนั้นแล้ว
เช้าวันนี้นางชวนจ้าวจินจือมานั่งในบ้าน หลังจากนั้นก็ร้องไห้ปรับทุกข์ว่าเมื่อวานหลังจากฟังคำพูดของอีกฝ่ายแล้วก็กลับไปตรวจสอบทรัพย์สินในบ้าน แล้วพบว่ามีของหายไป
ของในบ้านวางไว้ที่ใด มีเพียงคนในครอบครัวที่รู้ คนนอกไม่มีใครเคยเห็น หากไม่ใช่ิเป่าจูขโมยก็ต้องเป็ิเป่าอวี้
จ้าวจินจือยอมช่วยเหลือเพราะอยากชมความสนุกจากความโชคร้ายของผู้อื่น มิเช่นนั้นไม่มีทางสนใจไยดีว่าจะเกิดอะไรกับหวังซื่อ
หลังออกมาก็มานั่งที่ประตูหมู่บ้าน พูดคุยกับหญิงว่างงานอีกสองสามคน
สตรีเ่าั้ก็หาใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน [2]
แค่เพียง่เช้า ข่าวก็ว่อนไปทั่วหมู่บ้านแล้ว
ิเถี่ยจู้กับหวังซื่อไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน ขอให้เขาช่วยจัดการให้
หลังจากที่ท่านป้าทราบข่าว ก็รีบมาบอกิเป่าจู ดูจากเวลา พวกเขาน่าจะอยู่ระหว่างทางที่มาบ้านิเป่าจูแล้ว
“พี่สาวข้าไม่ได้ทำ พวกเขาปรักปรำผู้อื่น”
ิเป่าอวี้เริ่มวิตกกังวลเมื่อได้ยินเื่นี้ เขากำหมัดอย่างโกรธเคือง ราวกับ้าจะทะเลาะวิวาทกับใครสักคน
เชิงอรรถ
[1] มาจาก กินข้าวนิ่ม เป็คำด่าผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน
[2] ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน หมายถึง ผู้มีปัญญาหลักแหลม มีพื้นภูมิดี หรือมีผู้คอยสนับสนุน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้