เทศกาลปีใหม่มาถึงอย่างรวดเร็ว เฉียวเยว่คิดไตร่ตรองดูอย่างละเอียด การเข้าวังปีนี้ค่อนข้างจะน่าเบื่อ นางไม่ค่อยอยากไปเท่าใดนัก
แต่ในสายตาของคนนอกจำนวนมาก ซูเฉียวเยว่ตบหน้าท่านหญิงฉางเล่อไปแล้ว จะว่าไปเฉียวเยว่กลับรู้สึกว่าท่านหญิงฉางเล่อมิได้รับความนิยมชมชอบอย่างที่ได้ยิน ความโอหังเอาแต่ใจของนางมักทำให้คนเบื่อหน่ายเสียมากกว่า
แต่จวนซู่เฉิงโหวไม่กลัวจวนฉีอ๋อง แสดงว่าจวนฉีอ๋องก็มิได้เก่งกาจมากมาย จวนฉีอ๋องยังแค่นี้ ท่านหญิงฉางเล่อคนเดียวจะนับว่าเป็อันใด
หลายวันมานี้เฉียวเยว่ไปสนามม้า ได้พบกับคุณหนูบุตรีขุนนางสองสามคน แม้จะไม่เคยรู้จักกัน แต่พวกนางก็มีไมตรีที่ดี
เฉียวเยว่รู้สึกว่าความเป็จริงต่างหากคือบทเรียนที่สอนให้คนเรารู้จักชีวิต เหมือนก่อนหน้าที่นางจะข้ามภพมา มักรู้สึกว่าเหล่าพระญาติราชนิกุลคือผู้สูงส่งอย่างไม่มีผู้ใดเทียบเทียมแล้ว แต่ความเป็จริงกลับไม่เป็เช่นนั้นเลย ที่แท้การมีอำนาจที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้คนหยัดยืนได้อย่างมั่นคง
"เฉียวเยว่ เ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จหรือยัง?" ไท่ไท่สามมาถาม
วันมะรืนต้องเข้าวัง ตอนนี้เฉียวเยว่กำลังลองสวมอาภรณ์ใหม่ที่ใช้เข้าวัง
"เสร็จแล้วเ้าค่ะ" นางตอบเสียงใส
เสื้อตัวยาวคู่กับกระโปรงสีชมพูอิงเถา ขับเน้นความสง่างามให้ผู้สวมดูบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่เหนือธุลีแดนโลกีย์ ซ่อนเร้นความซุกซนเริงร่าของเ้าตัวได้ไม่น้อย ไท่ไท่สามรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก "สวยจริงๆ เฉียวเยว่ของพวกเราคือโฉมสะคราญตัวน้อย แต่หากไม่พูดอะไรเลย ก็จะยิ่งงดงามมาก"
เฉียวเยว่ "..."
นี่คือมารดาแท้ๆ ของนางแน่นะ?
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังต้องพูด "ข้าไม่อยากไป"
มือที่กำลังเคลื่อนไหวของไท่ไท่สามพลันชะงัก "ไม่อยากก็ต้องไป เ้าควรรู้ ่นี้มีเื่เกิดขึ้นมากมาย หากเ้าไม่ไป ก็จะต้องมีคนคิดไปสารพัดสารเพ อีกอย่าง หากไม่ไป ไม่เท่ากับเป็การแสดงว่าพวกเรากลัวหรอกหรือ เฮอะ!"
ไท่ไท่สามสีหน้าเย็นะเื "เ้าวางใจ แม่จะไม่ให้เ้าได้รับความอยุติธรรมเป็อันขาด"
เฉียวเยว่รู้สึกว่าพลังในการต่อสู้ของมารดาพุ่งพรวดจนปรอทแตกไปแล้ว ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องบุตรชายบุตรสาวทั้งสิ้น
นางยิ้มเข้าไปซบบนตัวของไท่ไท่สาม "ท่านแม่คิดว่าข้าเป็แม่หนูน้อยน่าสงสารที่ถูกคนรังแกง่ายหรือเ้าคะ? ผู้ใดตบหน้าข้าหนึ่งที ข้าก็จะตบกลับไปสิบที ยิ่งไปกว่านั้นถึงข้าจะไม่ได้ลงมือเอง แต่ข้างกายข้าก็มีคนมากมายคอยช่วยเหลือ ท่านปู่เอย ท่านลุงเอย..."
"เ้าไปรู้อะไรมา?" ไท่ไท่สามมองนางอย่างพินิจ
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ไม่มีอันใดเ้าค่ะ"
"ข้าควรใส่เครื่องประดับชิ้นไหนดีเ้าคะ?" นางยิ้มตาหยี
...
วันเข้าวังไม่ช้าก็มาถึง แท้จริงแล้ววันนั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่าถามเฉียวเยว่ว่าจะไปพร้อมกันหรือไม่ หาได้เป็การล้อเล่น จวนซู่เฉิงโหวมีคุณหนูที่เกิดจากภรรยาเอกหลายคน นางย่อมต้องพาไป เพียงแต่คุณหนูของเรือนใหญ่แต่งงานออกไปแล้ว หลันเยว่ของเรือนสองยังเล็กเกินไป จึงต้องพาหรงเยว่ อิ้งเยว่ และเฉียวเยว่ไปกันสามคน
และมีไท่ไท่ของทั้งสามเรือนร่วมเดินทาง ไท่ไท่รองถูกฮูหยินผู้เฒ่าตักเตือนไว้ล่วงหน้า ระหว่างทางบนรถม้าจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
รถม้ามาถึงวังหลวงอย่างรวดเร็ว ในวังไม่อนุญาตให้รถม้าจากข้างนอกเข้ามาในเขตราชฐาน ต้องเดินเข้าไปเท่านั้น
กลุ่มของสตรีต้องแยกกับบุรุษ มีขันทีน้อยประจำอยู่หน้าประตูวังเป็ผู้นำทางโดยเฉพาะ
แม้ว่าวันก่อนเพิ่งมีหิมะตก แต่ถนนหนทางกลับมีการเก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน
เฉียวเยว่คุยกับฮูหยินผู้เฒ่า "ท่านย่าระมัดระวังด้วยนะเ้าคะ ถึงแม้จะกวาดหิมะออกไปหมดแล้ว แต่พื้นมีน้ำแข็งบางๆ เกาะอยู่ อาจลื่นได้ง่าย"
ฮูหยินผู้เฒ่าผงกศีรษะ ไท่ไท่ใหญ่เข้ามาประคองนาง ไม่ช้าคณะของพวกนางก็มาถึงตำหนักที่ประทับของไทเฮา
แต่ขุนนางข้าราชบริพารและสมาชิกในครอบครัวทุกคน ต้องถวายบังคมไทเฮา รอบข้างของพระนางรายล้อมด้วยฮองเฮาและเหล่าสนมชายา คณะคนจากจวนโหวถวายความเคารพตามลำดับทีละคน
ไทเฮาประทับอยู่บนพระที่นั่นสูงสุด ทรงมองพิจารณาพวกเขาพลางแย้มพระสรวลตรัสว่า "ประทานเก้าอี้"
สายพระเนตรชำเลืองมาที่เฉียวเยว่ คราก่อนที่พบกันยังเป็ก้อนแป้งน้อยอวบอ้วนน่าเอ็นดู วันนี้กลายเป็ดรุณีน้อยน่ารักสดใสไปเสียแล้ว
"หากมิใช่มารดาเ้าพามา เราก็คงจำเ้าไม่ได้แล้ว" พระนางตรัส พระพักตร์อาบไปด้วยรอยยิ้มอยู่หลายส่วน
สามารถทำให้ไทเฮาแย้มพระสรวลได้ไม่ใช่เื่ง่าย ทุกคนต่างรู้ว่าพระนางทรงเข้มงวดมากที่สุด
"ระหว่างที่ออกจากเมืองหลวงไปสองปี ก็ค่อยๆ ผอมลงเพคะ" เฉียวเยว่ตอบอย่างมีมารยาท
ไทเฮาถอนพระทัย "เพียงออกจากเมืองก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่กลับเป็เื่ที่ดี"
"ผอมบางร่างระหงย่อมดีแน่นอน หากอ้วนจ้ำม่ำ ก็ต้องถูกจำกัดอาหารการกิน เคราะห์ดีที่ตอนนี้หม่อมฉันผอมแล้ว สามารถกินตามอำเภอใจได้"
ยังคงขี้เล่นไร้เดียงสาเหมือนยามเยาว์วัยไม่เปลี่ยน
ไทเฮากวาดพระเนตรมาที่ฮูหยินผู้เฒ่า "สุขภาพของพี่หญิงยังแข็งแรงดีหรือไม่?"
เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็รีบลุกขึ้นยอบกายคำนับเล็กน้อย "ไทเฮาทรงบั่นทอนอายุขัยของหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันมิอาจรับคำตรัสเรียกพี่สาวได้หรอกเพคะ สองปีมานี้สุขภาพของหม่อมฉันเริ่มเสื่อมถอยไปตามอายุ ดีที่เด็กๆ เหล่านี้ล้วนรู้ความ แทบไม่เคยก่อความเดือดร้อนรำคาญใจมาให้ ค่อยทำให้หม่อมฉันสดใสชื่นบานขึ้นมาบ้าง"
"ก็เพราะเช่นนี้ สตรีในเมืองหลวงคนไหนบ้างไม่อิจฉาเ้า สามีภรรยารักใคร่ปรองดอง บุตรธิดารู้ความ แม้แต่หลานชายหลานสาวก็เฉลียวฉลาดน่าเอ็นดู" หลังจากเว้นจังหวะไปชั่วครู่ ก็ทอดพระเนตรไปที่อิ้งเยว่ "นี่คืออิ้งเยว่กระมัง?"
"หม่อมฉันซูอิ้งเยว่เพคะ" อิ้งเยว่ลุกขึ้นถวายพระพร
ไทเฮาแย้มพระสรวล "ได้ยินว่าคุณหนูห้าจวนซู่เฉิงโหวสติปัญญาปราดเปรื่องเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถเหนือคนทั่วไป ไม่สู้ใช้โอกาสนี้แสดงความสามารถให้เราได้ประจักษ์สักครา"
อิ้งเยว่เม้มปากเอ่ยว่า "เช่นนั้นขอไทเฮาทรงประทานคำถามเถิดเพคะ"
ไท่ไท่สามท้วงเสียงเบาขึ้นมาทันที "อิ้งเยว่ การกระทำเช่นนี้ไม่มีมารยาท" แล้วหมุนตัวไป "ไทเฮาอย่าทรงใส่พระทัย เด็กน้อยยังไม่รู้ความ ไหนเลยจะมีภูมิความรู้อันใด เพียงแค่เฉลียวฉลาดกว่าคนทั่วไปเล็กน้อยเท่านั้นก็สำคัญตนว่าเก่งเหลือหลาย"
ไทเฮาทอดพระเนตรไท่ไท่สาม "คำกล่าวนี้เราไม่เห็นด้วย ใครบ้างไม่รู้ว่าซูอิ้งเยว่เป็สีครามที่คร้ามเข้มยิ่งกว่าสีน้ำเงิน [1]"
เฉียวเยว่บีบชายเสื้อพึมพำออกมาหนึ่งประโยค น้ำเสียงแ่เบามาก คนด้านข้างยังได้ยินไม่ชัด นับประสาอันใดกับไทเฮาซึ่งอยู่ไกล
แต่ไทเฮากลับเห็นท่าทีของเฉียวเยว่ พระนางเลิกพระขนง "ดูเหมือนว่าคุณหนูเจ็ดมีอะไรจะพูด"
เฉียวเยว่ขบริมฝีปาก กล่าวอย่างหนักแน่น "ไม่มีเพคะ"
"แต่เราเห็นเ้าเหมือนพูดบางอย่าง" แม้ดูเหมือนกำลังแย้มพระสรวล แต่สีพระพักตร์กลับฉายแววพินิจพิเคราะห์ ราวกับ้ารู้ให้ได้ว่าเฉียวเยว่กล่าวอันใด
เฉียวเยว่ก็ไม่ปิดบัง นางกล่าวออกไปอย่างฉาดฉาน "หม่อมฉันพูดว่า แม่น้ำฉางเจียงคลื่นลูกหลังผลักคลื่นลูกหน้า คลื่นลูกหน้าจึงสาดซัดกระทบผืนทรายที่ฟากฝั่ง พี่สาวคือคลื่นลูกหน้า หม่อมฉันคือคลื่นลูกหลังเพคะ" หลังจากนั้นก็เกาศีรษะแสดงท่าทางเหนียมอาย เอ่ยเสียงเบาหวิว "ยามอยู่บ้านหม่อมฉันมักไปเล่นก่อกวนพี่สาวบ่อยครั้ง ทำตัวเกินเลยขอบเขตไปบ้าง หวังว่าไทเฮาจะไม่ตำหนิโทษหม่อมฉันนะเพคะ"
เด็กหญิงตัวน้อยทิ้งตัวคุกเข่าลงพื้นเสียงดัง
ทว่าคำกล่าวของนางกลับทำให้คนในห้องอดหัวเราะขบขันไม่ได้
ไท่ไท่สามไหนเลยจะไม่รู้ว่าบุตรสาวตัวน้อยของตนมีอุปนิสัยเช่นไร ตราบใดที่สบช่องก็มักจะมีความคิดบางอย่างอยู่เสมอ
ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้อิ้งเยว่เข้าร่วมการทดสอบ ลิงน้อยของนางมีปฏิภาณไหวพริบเป็เลิศ ย่อมรู้ว่าพวกเขาสามีภรรยาไม่ปรารถนาให้พวกนางพี่น้องแต่งเข้าราชวงศ์ นี่คือการลดทอนคะแนนความประทับใจของตนเองลง และเป็การก่อเื่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจในเวลาเดียวกัน
แม้ไท่ไท่สามจะรู้ความคิดของเฉียวเยว่ แต่ยังคงถลึงตาใส่บุตรสาว เฉียวเยว่ทำหน้าละห้อยอย่างน่าสงสาร
ไทเฮาโบกพระหัตถ์ "ลุกขึ้นเถอะ วันนี้เป็วันส่งท้ายปีใหม่ ทั้งไม่ใช่ความผิดอะไรนักหนาไม่ถึงกับต้องทำเช่นนี้"
ทรงเว้นจังหวะไปชั่วครู่หนึ่ง แล้วก็ทรงพระสรวล เฉียวเยว่รู้สึกว่าพระนางในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อสองสามปีก่อน ตอนนั้นเห็นชัดว่าพระนางทรงดูเป็สตรีวัยกลางคนที่เข้มงวด ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่บัดนี้ดูเหมือนว่าทรงมีรอยยิ้มมากขึ้น
แต่ให้พูดตามตรง ไทเฮาทรงมีพระสิริโฉมงดงามมาก แม้อยู่ในวัยนี้ก็ยังไม่อาจทอนความเฉิดฉัน ยิ่งยามแย้มพระสรวลยิ่งงามตระการดุจดอกท้อผลิบาน
เฉียวเยว่มองจนตะลึงลาน
"เอาล่ะ เอาไว้อีกสองสามปี เราจะดูว่าคลื่นลูกหลังลูกนี้จะเก่งกล้าสักปานไหน หากใช้ไม่ได้ เราจะลงโทษเ้าเสียให้หนัก" ไทเฮาตรัส
ดวงหน้าเล็กจ้อยของเฉียวเยว่ฉายแววสลดในชั่วพริบตา ทำตาปรอยน่าสงสารยิ่งนัก
ไทเฮาหัวเราะอีกครั้ง
เฉียวเยว่พึมพำ "ยามไทเฮาแย้มพระสรวลเช่นนี้งดงามยิ่งนัก"
"ปากน้อยๆ ของเ้าหวานเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าถึงได้รับความเอ็นดูจากทุกคน ราวกับเป็สมบัติล้ำค่า"
"เพราะหม่อมฉันน่ารักเพคะ" เฉียวเยว่ตอบรับทันที
"ท่านหญิงฉางเล่อมาถึงแล้ว" เสียงขันทีน้อยป่าวประกาศ
ไทเฮาชำเลืองพระเนตรไปที่เฉียวเยว่ เห็นนางไม่มีปฏิกิริยาอันใดเป็พิเศษ พระเนตรก็ทอประกายระยิบระยับ หลังจากนั้นมุมพระโอษฐ์ก็โค้งขึ้น
ต้องกล่าวว่าไทเฮาทรงแย้มพระสรวลมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนจริง ดูเหมือนจะทรงอ่อนโยนเมตตามากขึ้นด้วย แต่หากถามว่าเข้ากับผู้อื่นง่ายหรือไม่ เฉียวเยว่ก็คงจะหัวเราะ ไทเฮาทรงไม่ใช่คนที่เข้ากับผู้อื่นง่ายนัก ในทางตรงข้ามอารมณ์ของพระนางตอนนี้คาดเดายากยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
คนเรายิ่งมีสถานะสูงเท่าไร ก็ยิ่งต้องวางตัวสงบนิ่ง บ่งบอกว่าคนผู้นี้มีความคิดจิตใจล้ำลึก และไม่ใช่คนที่จะคล้อยตามผู้อื่นง่ายๆ
เฉียวเยว่มองไปที่ประตู เห็นท่านหญิงฉางเล่อเดินเข้ามา เมื่อนางเห็นเฉียวเยว่ สีหน้าก็ผุดแววไม่พอใจ แต่ไม่กล้าทำอะไรส่งเดชในวัง นางยอบกายทำความเคารพพร้อมกับหญิงสาวที่มาด้วยกัน
สตรีผู้นี้ก็คือสวี่ม่านหนิง คุณหนูสกุลสวี่ที่มักไปไหนมาไหนกับท่านหญิงฉางเล่ออยู่เสมอ
"ไยฉางเล่อถึงมาพร้อมกับคุณหนูสวี่? มารดาเ้าเล่า?" ไทเฮาตรัสถาม
"ท่านแม่พบกับท่านป้าสวี่ด้านนอก จึงสนทนากันอยู่เพคะ" หรงฉางเกอตอบทันที
แต่เมื่อสิ้นถ้อยคำนี้ ก็เห็นสีพระพักตร์ของฮองเฮาดูแปลกไป
เฉียวเยว่พลันรู้สึกว่าการสังเกตผู้คนอย่างพิถีพิถันก็เป็เื่ที่น่าสนุกดี เหมือนเช่นคำกล่าวของหรงฉางเกอประโยคนี้ทำให้ไทเฮาไม่พอพระทัยอย่างเห็นได้ชัด เข้าวังไม่รีบมาถวายพระพร กลับไปสนทนากันข้างนอก เหมือนไม่เห็นพระนางอยู่ในสายตา แล้วไทเฮาจะพอพระทัยได้อย่างไร
สวี่ม่านหนิงรีบกล่าวเสริม "ไทเฮาเพคะ แท้จริงแล้ว..."
"กราบทูลไทเฮา อวี้อ๋องเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
บางคราคนจะโชคร้ายก็เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้ บัดนั้นอวี้อ๋องเดินเข้ามาพอดี ตัดบทสวี่ม่านหนิงไปโดยสิ้นเชิง
อวี้อ๋องสวมอาภรณ์สีชมพูดอกท้อ พูดตามตรงไม่มีบุรุษคนไหนในเมืองหลวงแต่งตัวหรูหราไปกว่าเขาอีกแล้ว ยิ่งไม่มีใครกล้าใส่สีเดียวกับเขา
ไม่ว่าจะเป็สีแดง สีชมพูดอกท้อ (ชมพูเข้ม) สีชมพูอิงเถา (ชมพูอ่อน) สีชาด สีเหลืองห่าน (สีเหลืองสดใส) เขาสามารถใส่อาภรณ์สีเหล่านี้ได้อย่างหน้าตาเฉย
"เ้ามาสีอะไรอีกแล้วนี่" ไทเฮาแย้มพระสรวลอ่อนจาง
"เสด็จย่าไม่รู้สึกว่าสีนี้เหมาะกับการเฉลิมฉลองหรือพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นสีชมพูดอกท้อโดดเด่นกว่าสีชมพูอิงเถา อายุของข้าก็ไม่น้อยแล้ว ต้องใคร่ครวญเผื่อตนเองไว้บ้าง"
หลังสิ้นคำกล่าวนี้ บุตรีขุนนางใหญ่สองสามคนก็สะดุ้งเหมือนปวดฟันขึ้นมากะทันหัน
หรงจ้านกวาดมองไปโดยรอบ ก่อนสายตาจะมาหยุดที่ตัวของเฉียวเยว่ "แม่หนูน้อย เ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่?"
เขาหยุดเว้นจังหวะ คล้ายมีความหมายแอบแฝงบางอย่าง "หรือว่า... เพียงข้าสุขใจก็พอแล้ว"
เฉียวเยว่พยักหน้าด้วยความจริงใจ "เพียงพี่จ้านสุขใจก็พอเ้าค่ะ"
...
[1] มาจากสำนวน สีครามกำเนิดจากสีน้ำเงิน แต่เข้มยิ่งกว่าสีน้ำเงิน หมายถึงศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้