ตอนที่ 7: โสมป่าร้อยปี
การมีสมบัติล้ำค่าอยู่ในมือ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนมันเป็เงินได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการมีูเาทองคำแต่ไม่มีเครื่องมือจะขุดมันขึ้นมาใช้ หลินเฟยรู้ดีว่าขั้นตอนต่อไปนั้นสำคัญและอันตรายไม่แพ้การขึ้นไปขุดโสมบนูเาเสือคำรามเลยแม้แต่น้อย
นางต้องหาที่ขาย "โสมป่าร้อยปี" นี้ให้ได้ในราคาที่ดีที่สุด และต้องทำอย่างลับ ๆ เพื่อไม่ให้เป็ที่สังเกตของตระกูลหลินบ้านใหญ่หรือเ้าหน้าที่รัฐผู้เข้มงวด
หลังจากครุ่นคิดอยู่หนึ่งคืนเต็ม ในที่สุดนางก็ตัดสินใจเลือก "โรงรับจำนำ" ในตัวอำเภอที่ห่างออกไปเป็เป้าหมาย โรงรับจำนำในยุคนี้ไม่ได้เป็เพียงที่รับจำนำสิ่งของ แต่มันยังทำหน้าที่เป็ "ตลาดมืด" ขนาดย่อม ที่ซึ่งของมีค่าและของหายากถูกเปลี่ยนมือกันอย่างเงียบ ๆ และเ้าของโรงรับจำนำ หรือที่เรียกกันว่า "เถ้าแก่" ก็มักจะเป็ผู้กว้างขวางและมีสายตาแหลมคมที่สุด
ในรุ่งเช้าถัดมา ก่อนที่ไก่จะโห่ขันรับอรุณด้วยซ้ำ หลินเฟยก็ตื่นขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ นางเคลื่อนไหวไร้เสียง บรรจงนำ "โสมป่าร้อยปี" ออกมาอย่างระมัดระวัง ไอพลังชีวิตจาง ๆ ที่แผ่ออกมาจากมันทำให้อากาศในกระท่อมสดชื่นขึ้นอย่างน่าประหลาด นางห่อมันด้วยผ้าสะอาดชั้นหนึ่งก่อนจะใช้ผ้ากระสอบเก่าคร่ำคร่าที่ทั้งเหม็นอับและขาดรุ่งริ่งคลุมทับอีกหลายชั้น ปกปิดรัศมีและรูปลักษณ์อันล้ำค่าของมันจนหมดสิ้น
เมื่อจัดแจงทุกอย่างในตะกร้าจนแน่ใจแล้ว นางจึงเดินไปหาบิดามารดา
"ท่านพ่อ ท่านแม่ วันนี้ฉันจะขอเข้าไปในตัวอำเภอเพื่อหาซื้อของใช้ที่จำเป็นะเ้าคะ" นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและสงบนิ่ง ผิดกับเด็กสาวขี้โรคที่เคยเอาแต่หลบอยู่หลังบิดามารดาโดยสิ้นเชิง
ท่านพ่อและท่านแม่หลิวชะงักไปเล็กน้อย ทั้งสองหันมามองหน้ากัน ก่อนจะมองบุตรสาวด้วยแววตาที่ซับซ้อน ในใจของพวกเขามีคำถามผุดขึ้นมานับพัน "จะเอาเงินจากที่ไหน?" "ในเมืองเต็มไปด้วยอันตราย จะไปคนเดียวไหวหรือ?" "เกิดอะไรขึ้นกับลูกของเรากันแน่?"
แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่นิ่งสงบและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอย่างประหลาดของหลินเฟย...คำถามเ่าั้ก็พลันจุกอยู่ในลำคอ พูดไม่ออก
แววตาคู่นั้น...มันไม่ใช่แววตาของเด็กสาวอีกต่อไป แต่เป็แววตาของผู้ที่กุมชะตาชีวิตของตัวเองไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
หลินเฟยเห็นความกังวลในสายตาของทั้งสอง นางจึงเดินเข้าไปวางมือของตนลงบนมือที่หยาบกร้านของมารดาเบา ๆ "ท่านแม่...วางใจเถอะเ้าค่ะ"
เพียงเท่านั้น...คำพูดสั้น ๆ กับััที่อบอุ่น กลับมีพลังราวกับน้ำทิพย์ที่ชโลมใจ ทำให้ความกังวลของทั้งสองมลายหายไปกว่าครึ่ง พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุตรสาว...แต่พวกเขาััได้ถึงความเปลี่ยนแปลง และเลือกที่จะ "เชื่อใจ"
ท่านพ่อพยักหน้าช้า ๆ "ไปเถอะ...ดูแลตัวเองให้ดี"
หลินเฟยยิ้มรับบาง ๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป แผ่นหลังที่เคยดูบอบบางน่าทะนุถนอม...บัดนี้กลับดูมั่นคงและเด็ดเดี่ยวราวกับขุนเขา ทิ้งให้บิดามารดามองตามไปด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความงุนงง...และความหวังระลอกใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ
การเดินทางเข้าตัวอำเภอไม่ใช่เื่ง่าย นางต้องเดินเท้าเป็ระยะทางเกือบสิบกว่ากิโลเมตรบนถนนดินลูกรังที่ขรุขระ เมื่อไปถึง สภาพของนางก็มอมแมมไปด้วยฝุ่นและเหงื่อ แต่หลินเฟยจงใจไม่ทำความสะอาดตัวเอง นาง้าให้ภาพลักษณ์ "เด็กสาวชาวบ้านผู้ซื่อ ๆ" เป็เกราะกำบังในการเจรจาครั้งนี้
โรงรับจำนำ "ถงซุ่น" ตั้งอยู่ในตรอกเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน ป้ายไม้เก่า ๆ ที่แขวนอยู่หน้าประตูสลักอักษรคำว่า"จำนำ" ไว้อย่างชัดเจน หลินเฟยสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะผลักประตูเข้าไป
ภายในร้านค่อนข้างมืดและอับทึบ มีเคาน์เตอร์ไม้สูงกั้นกลางระหว่างลูกค้าและเ้าของร้าน ด้านหลังเคาน์เตอร์เต็มไปด้วยชั้นวางของที่อัดแน่นไปด้วยของจำนำสารพัดชนิด ั้แ่เสื้อผ้าเก่า ๆ ไปจนถึงเครื่องลายครามและนาฬิกาพก ชายวัยกลางคนร่างท้วม มีหนวดแพะเส้นเล็ก ๆ ประดับอยู่ใต้คาง กำลังนั่งดีดลูกคิดอยู่หลังเคาน์เตอร์ เขาคือ เถ้าแก่เฉียน เ้าของโรงรับจำนำแห่งนี้
เถ้าแก่เฉียนเหลือบตามองหลินเฟยเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงไปดีดลูกคิดต่ออย่างไม่ใส่ใจ “มีอะไรก็วางไว้บนโต๊ะ จะจำนำหรือจะขาย?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตามแบบฉบับของคนทำธุรกิจ
หลินเฟยเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ วางตะกร้าลงบนโต๊ะอย่างแ่เบา แล้วค่อย ๆ เปิดผ้ากระสอบที่คลุมอยู่ออกทีละชั้น...
ทันทีที่รากโสมสีทองอร่ามปรากฏแก่สายตา เสียงลูกคิดที่ดัง "แกรก ๆ" ก็พลันหยุดชะงักลงทันที!
เถ้าแก่เฉียนเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้...แววตาของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความเรียบเฉยเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยประกายแสงวูบหนึ่งที่ฉายแววแห่งความใและความโลภออกมาอย่างไม่ปิดบัง แม้เขาจะพยายามเก็บอาการอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่รอดพ้นสายตาของหลินเฟยไปได้
"เถ้าแก่...ฉันอยากจะขายของสิ่งนี้ค่ะ" หลินเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็ซื่อ ๆ และประหม่า
เถ้าแก่เฉียนลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาดูโสมป่าใกล้ ๆ เขาหยิบแว่นขยายอันเล็ก ๆ ขึ้นมาส่องดูรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน ยิ่งดูก็ยิ่งตาโต แต่ปากของเขากลับพูดในสิ่งที่ตรงกันข้าม
“เฮ้อ...นึกว่าอะไร ที่แท้ก็เป็แค่หัวมันป่าชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง” เขาถอนหายใจออกมาเสียงดังราวกับผิดหวังอย่างยิ่ง “ดูสิ รูปร่างก็บิด ๆ เบี้ยว ๆ สีก็เหลืองซีด ๆ แบบนี้...สรรพคุณทางยาคงจะมีไม่มากนักหรอก”
หลินเฟยได้แต่หัวเราะในใจ...จิ้งจอกเฒ่าเริ่มออกลายแล้วสินะ!
“แต่มันมีกลิ่นหอมมากเลยนะคะ” นางแย้งกลับไปอย่างใสซื่อ “ตอนที่ฉันขุดได้มา คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านบอกว่ามันคือของดีหายากค่ะ”
เถ้าแก่เฉียนโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “เด็กน้อยเอ๊ย เ้าโดนคนแก่หลอกแล้วล่ะ ของดีหายากที่ไหนจะมาขึ้นอยู่ตามชายป่าให้เด็กอย่างเ้าขุดเจอง่าย ๆ กัน” เขายื่นข้อเสนอแรกออกมา “เอาเถอะ...เห็นว่าหนูอุตส่าห์แบกมาไกล ฉันจะให้ราคาสูงเป็พิเศษเลยก็แล้วกัน...ห้าหยวน!”
ห้าหยวน!
ราคานี้อาจจะดูเยอะสำหรับชาวบ้านทั่วไปที่หาเงินได้ไม่ถึงสิบหยวนต่อเดือน แต่สำหรับโสมป่าอายุร้อยปีแล้ว มันคือการดูถูกกันอย่างร้ายแรงที่สุด! หลินเฟยรู้ดีว่าหากนำไปขายในตลาดมืดของเมืองใหญ่ โสมต้นนี้อาจมีราคาสูงถึงหลายร้อยหยวนหรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
แต่แทนที่จะโกรธหรือโวยวาย หลินเฟยกลับทำในสิ่งที่เถ้าแก่เฉียนคาดไม่ถึง...นางยื่นมือออกไปและค่อย ๆ คลุมผ้ากระสอบกลับไปบนโสมอย่างช้า ๆ
“ถ้าอย่างนั้น...ฉันคงต้องขอตัวกลับก่อนค่ะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความผิดหวัง “ฉันคิดว่าของสิ่งนี้คงไม่มีวาสนาจะได้อยู่ที่ร้านของเถ้าแก่เสียแล้ว”
การกระทำของนางทำให้เถ้าแก่เฉียนชะงักไป เขานึกว่าเด็กสาวชาวบ้านคนนี้จะดีใจจนเนื้อเต้นกับเงินห้าหยวนและรีบตกลงขายให้เขา แต่การตอบสนองที่นิ่งสงบและเด็ดเดี่ยวนี้ทำให้เขารู้ว่า...เด็กสาวตรงหน้าอาจจะไม่ใช่ "หมู" ที่จะเชือดได้ง่าย ๆ อย่างที่คิด
“เดี๋ยวก่อนสิ!” เขารีบห้ามไว้ “ใจร้อนไปไย นั่งลงคุยกันก่อน”
หลินเฟยหยุดมือ แต่ไม่ได้นั่งลง นางเพียงแค่มองหน้าเขาด้วยสายตาที่ยังคงความใสซื่อ แต่มีความแน่วแน่ซ่อนอยู่ลึก ๆ “แต่เถ้าแก่บอกเองว่ามันเป็แค่หัวมันป่า...ฉันเก็บเอาไว้ต้มกินเองที่บ้านน่าจะดีกว่าเอามาขายในราคาห้าหยวนนะคะ”
เถ้าแก่เฉียนหัวเราะแห้ง ๆ รู้ตัวว่าตัวเองกดราคาต่ำเกินไปจนน่าเกลียด “ฉันแค่ล้อหนูเล่นเท่านั้นเอง...เอาล่ะ ๆ ฉันจะให้ราคาสูงสุดเลยก็แล้วกัน สิบหยวน! ราคานี้หนูเอาไปซื้อข้าวสารได้หลายกระสอบเลยนะ”
หลินเฟยส่ายศีรษะช้า ๆ “ราคานี้...ยังซื้อชีวิตคนไม่ได้หรอกค่ะ”
คำพูดที่ดูไม่สมกับวัยนั้นทำให้เถ้าแก่เฉียนขมวดคิ้ว “หนูหมายความว่ายังไง?”
ถึงตอนนี้ หลินเฟยรู้ว่าถึงเวลาต้องทิ้งไพ่ใบสำคัญแล้ว นางเลิกแสร้งทำเป็เด็กสาวซื่อ ๆ อีกต่อไป แววตาของนางเปลี่ยนเป็จริงจังและมีความรู้ฉายออกมาอย่างชัดเจน
“เถ้าแก่...ท่านอยู่ในวงการนี้มานานย่อมต้องรู้ดีกว่าฉัน” นางเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงฉะฉาน “โสมป่าต้นนี้ แม้ฉันจะเป็แค่เด็กสาวชาวบ้าน แต่ฉันก็พอจะดูออกว่ามันไม่ธรรมดา...ดูที่ลายวงปีบนหัวโสมสิคะ แต่ละวงนั้นเล็กและชิดกันมาก บ่งบอกว่ามันเติบโตในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและใช้เวลายาวนาน...นับคร่าว ๆ แล้ว ไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยปี”
นางชี้ไปที่รากฝอย “ดูรากฝอยพวกนี้สิคะ ยังคงความสดและสมบูรณ์ ไม่ขาดรุ่งริ่ง แสดงว่าคนขุดมีความชำนาญและระมัดระวังอย่างยิ่งเพื่อรักษาสรรพคุณทางยาของมันไว้ให้ครบถ้วน”
จากนั้นนางก็ชี้ไปที่สีของโสม “และสีเหลืองทองอร่ามเช่นนี้ ไม่ใช่สีเหลืองซีด ๆ อย่างที่ท่านว่า มันคือสีของโสมที่ดูดซับแก่นแท้ของดินและฟ้ามาเป็เวลานานจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพ...กลิ่นหอมของมันไม่ใช่แค่กลิ่นโสมธรรมดา แต่มันคือ ‘ปราณโอสถ’ ที่สามารถทะลวงเส้นลมปราณที่อุดตันและฟื้นฟูพลังชีวิตได้”
ทุกคำพูดของหลินเฟยราวกับค้อนที่ทุบลงกลางใจของเถ้าแก่เฉียน!
ความรู้ที่นางพูดออกมานั้น ไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวชาวบ้านธรรมดาจะรู้ได้! มันคือความรู้ของ "คนวงใน" ที่คร่ำหวอดอยู่กับเื่สมุนไพรล้ำค่าโดยเฉพาะ!
ใบหน้าของเถ้าแก่เฉียนเปลี่ยนสีไปมา จากความเ้าเล่ห์กลายเป็ความตกตะลึง และจากความตกตะลึงก็กลายเป็ความเคร่งขรึมในที่สุด เขามองหลินเฟยด้วยสายตาใหม่ทั้งหมด...นี่ไม่ใช่ลูกแกะ แต่เป็จิ้งจอกในคราบลูกแกะชัด ๆ!
“หนู...เป็ใครกันแน่?” เขาถามเสียงต่ำ
หลินเฟยยิ้มบาง ๆ เป็ครั้งแรก “ฉันก็เป็แค่เด็กสาวชาวบ้านที่บังเอิญไปเจอตำราเก่า ๆ ของบรรพบุรุษเข้าเท่านั้นเองค่ะ” นางสร้างเื่ขึ้นมาอย่างแเี “ในตำรานั้นบอกไว้ว่า...โสมที่มีลักษณะครบถ้วนเช่นนี้ ถูกเรียกว่า ‘โสมคืนิญญา’ หากนำไปให้คนที่กำลังจะหมดลมหายใจกิน ก็อาจจะสามารถต่อชีวิตออกไปได้อีกหลายปี...ท่านลองคิดดูสิคะว่าของที่สามารถ ‘ซื้อชีวิต’ คนได้แบบนี้...มันควรจะมีราคาเท่าไหร่?”
เถ้าแก่เฉียนเงียบไปนาน เขารู้แล้วว่าวันนี้เขาเจอ "ของจริง" เข้าให้แล้ว การจะกดราคาหรือหลอกล่อต่อไปไม่มีประโยชน์อีก มีแต่จะทำให้เสียของดีชิ้นนี้ไป
“เฮ้อ...ยอมแล้ว ๆ” เขายกมือขึ้นยอมแพ้ในที่สุด “ฉันยอมรับว่าฉันดูถูกหนูเกินไปจริง ๆ แม่หนู...หนูมีสายตาที่ยอดเยี่ยมและมีความรู้ที่น่าทึ่ง”
เขากลับไปนั่งที่เก้าอี้ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นข้อเสนอสุดท้ายออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม
“ฉันให้หนูได้สูงสุด...แปดสิบหยวน! พร้อมกับตั๋วแลกอาหารอีกยี่สิบชั่ง! นี่คือทั้งหมดที่ฉันจะจ่ายได้แล้วจริง ๆ สำหรับของที่ยังไม่มีผู้ซื้อต่อแน่นอนเช่นนี้ ถือว่าฉันเองก็ต้องรับความเสี่ยงไว้ไม่น้อย”
แปดสิบหยวน!
หัวใจของหลินเฟยเต้นรัวขึ้นมาด้วยความยินดี! นี่คือจำนวนเงินที่มหาศาลมากในยุคนี้ มันมากเกินกว่าที่ครอบครัวชาวนาธรรมดาจะหาได้ทั้งชีวิตเสียอีก และตั๋วแลกอาหารอีกยี่สิบชั่งก็หมายความว่าครอบครัวของนางจะไม่มีวันอดอยากไปอีกนาน! แม้ราคาที่แท้จริงของโสมอาจจะสูงกว่านี้ แต่การขายได้ในราคานี้โดยไม่ต้องเสี่ยงเข้าไปในเมืองใหญ่ก็นับว่าคุ้มค่าและปลอดภัยที่สุดแล้ว
นางรู้ว่านี่คือราคาที่ยุติธรรมที่สุดเท่าที่จะหาได้ในตอนนี้
“ตกลงค่ะ” หลินเฟยตอบรับด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจ
เถ้าแก่เฉียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารีบเข้าไปในห้องเก็บของด้านหลังและกลับออกมาพร้อมกับเงินสดแปดสิบหยวนและปึกตั๋วแลกอาหารอย่างหนา เขานับเงินและตั๋วส่งให้นางอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลินเฟยรับเงินและตั๋วมาเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างมิดชิด หัวใจของนางพองโตไปด้วยความสุขและความสำเร็จ
“ขอบคุณค่ะเถ้าแก่...หวังว่าเราจะได้ทำธุรกิจกันอีกในอนาคต” นางกล่าวทิ้งท้ายอย่างมีความหมาย ก่อนจะหันหลังเดินออกจากร้านไป ทิ้งให้เถ้าแก่เฉียนมองตามหลังนางไปด้วยสายตาที่ซับซ้อน
เขามองไปที่โสมป่าร้อยปีบนโต๊ะ แล้วหันไปมองประตูที่ว่างเปล่า...เขามีลางสังหรณ์ว่า เด็กสาวคนนี้...ในอนาคตจะต้องกลายเป็บุคคลที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ส่วนหลินเฟย...ขณะที่นางก้าวออกมาจากตรอกมืดสู่ถนนที่สว่างไสว นางก็ได้กำเงินทุนก้อนแรกที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงและสติปัญญาของตนเองไว้แน่น
นี่คืออิฐก้อนแรก...ในการสร้างปราการที่จะปกป้องครอบครัวของนาง
นี่คือะุนัดแรก...ในการต่อสู้กับโชคชะตาที่โหดร้าย
และนี่คือจุดเริ่มต้น...ของตำนานบทใหม่ที่กำลังจะถูกเขียนขึ้นด้วยมือของนางเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้