แค่เสียงพิณก็ทำให้คนรู้สึกเหมือนกำลังล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศของวสันตฤดูให้คนที่อยู่ในที่แห่งนั้นล้วนดื่มด่ำอยู่กับความอบอุ่นของแสงอาทิตย์และดอกไม้ใบหญ้าที่ผลิบาน
แต่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่ได้จมดิ่งเข้าไปในบรรยากาศเช่นนั้น
คนหนึ่งคือเฝินเหวิน อีกคนคือเซียวซู่ซู่
คิ้วของเฝินเหวินขมวดเข้าหากันเบาๆเขาไม่ได้กลัวว่าตนเองจะพ่ายแพ้ให้กับเซียวซู่ซู่แต่เพียงเพราะว่าเสียงพิณของเซียวซู่ซู่กลับสามารถสอดคล้องไปกับจังหวะเสียงพิณของตนได้
โดยไม่ทิ้งระยะห่างแม้แต่น้อย
่เช้าได้ผ่านพ้นไปแล้ว คนทั้งสองไม่ได้มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยออกมาให้เห็น
เซียวซู่ซู่ยังคงมีสีหน้าราบเรียบ ไร้ซึ่งความวิตกกังวลนิ้วมือเรียวยาวขยับพลิ้วไหวไปมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ตัวนางนั่งนิ่งหลังตรงอยู่ตรงนั้นปล่อยให้ผมยาวสลวยและชุดกระโปรงสีม่วงปลิวสะบัดไปตามสายลม
ราวกับภาพมายาในความฝัน
กระทั่งเหลิ่งเซียวเองก็มีสีหน้าตกตะลึงที่เขาเสนอเพลงพื้นเมือง ก็เพื่อที่จะสร้างความลำบากให้แก่สตรีที่อยู่ด้านหน้าผู้นี้เพื่อที่จะทำให้เหลยอวี๊เฟิงเดือดร้อน
แต่ว่า ดูจากตอนนี้แล้วข้อเสนอของเขาไม่ได้สร้างความลำบากให้แก่ผู้ใด
อีกทั้งยังช่วยให้เซียวซู่ซู่แสดงความสามารถออกมาได้โดดเด่นมากขึ้นอีกด้วย
ชื่อของนาง ดูเหมือนว่า จะถูกเลื่องลือั้แ่หนานเจียงไปยันต้าเยียนเสียแล้ว
การแปรเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ผลิไปฤดูร้อนนั้นเฝินเหวินและเซียวซู่ซู่ล้วนทำได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุดไม่มีการชะลอหรือติดขัดแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไพเราะ เป็ธรรมชาติ
แสงนวลๆ ของวสันตฤดูค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็ความรุ่มร้อนของคิมหันตฤดู
ดอกไม้เบ่งบานกันอย่างพร้อมเพรียงประกอบกับอากาศที่ร้อนระอุราวกับน้ำเดือด
ความร้อนค่อยๆ โอบล้อมทุกพื้นที่ภายในสวนของสำนักเหลย
ฤดูใบไม้ผลิจากไปพร้อมกับดอกไม้ที่เริ่มทำการร่วงหล่นแทนที่มาด้วยสีเขียวของใบไม้ที่ปกคลุมรอบพื้นที่ สายลมอุ่นๆ พัดมาเบาๆ ก่อให้เกิดคลื่นใบไม้ต้นหญ้าสีเขียวๆเป็ระลอกๆ
ทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขามองเห็น...แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านใบไม้หลายๆชั้นที่กระจายอยู่บนต้นไม้สูง ทำให้บนถนนปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียวจางๆ เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าก็จะเห็นควันสีขาวจางๆเคลือบเอาไว้อยู่ชั้นหนึ่ง แสงสีเขียวและควันสีขาวนี้ทำให้ผู้คนมีอารมณ์เบิกบานแต่ก็รู้สึกถึงความร้อนและอากาศที่ค่อยๆ มีความแห้งแล้งมากขึ้น
นิ้วมือของเฝินเหวินยังคงลากผ่านสายพิณอยู่เช่นเดิมแต่ว่าอารมณ์ในตอนนี้ของเขากลับไม่อาจสงบลงได้เหมือนเคยแล้ว
วันหนึ่งได้ผ่านไปแล้ว พระอาทิตย์ค่อยๆ ขยับไปใกล้ขอบฟ้าทางทิศตะวันตก
เฝินเหวินไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่เขากลับดูออกว่าเซียวซู่ซู่เองก็ไม่ได้มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยเช่นกัน นางยังคงมีท่วงท่างดงามราวกับเซียนหญิงเหมือนตอนเช้าไม่มีผิด
สีหน้าของนางราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา
และท่าทางยังคงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและมุ่งมั่นเช่นเดิม
เสียงพิณของเซียวซู่ซู่และเฝินเหวินยังคงดำเนินต่อไปในขณะที่คนอื่นๆได้เดินทางไปที่ห้องโถงเพื่อรับประทานอาหารแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังคงสามารถชื่นชมเสียงพิณที่ดังกระจายอยู่รอบพื้นที่ได้
ทำให้อารมณ์ในการรับประทานอาหารของพวกเขาก็ดียิ่งขึ้นไปอีก
พวกเขาต่างก็กำลังรอให้เซียวซู่ซู่ยอมแพ้กลับไป
ในสายตาของทุกคนเซียวซู่ซู่จะต้องเป็ฝ่ายที่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ยามรัตติกาล
เสียงพิณยังคงดำเนินต่อ
เฝินเหวินหรี่ตาของตนลงน้อยๆ ความตกตะลึงบนใบหน้าปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆโดยที่เขาไม่อาจคงสีหน้าราบเรียบเอาไว้ได้อีก
เสียงพิณของเซียวซู่ซู่ไม่ได้ช้ากว่าเขาแม้แต่น้อย
อีกทั้งยังคงมีความไพเราะเช่นเดิมไม่เปลี่ยน
แต่เซียวเอินที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับมีสีหน้าเป็กังวลเขามักจะคอยเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้กับเซียวซู่ซู่อยู่สม่ำเสมอสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล สงสารและเป็ห่วง
ตอนนี้เขาถึงจะรู้ว่า อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘เพลงพื้นเมือง’
้าจะรักษาสกุลเซียวเอาไว้ไม่ใช่แค่การที่เซียวซู่ซู่ขยับนิ้วเพียงไม่กี่ทีเท่านั้นก็จะสำเร็จได้
ฟังจากที่ผู้คนพูดคุยกันนั้น เขาถึงจะรู้ว่าเพลงนี้หากจะบรรเลงให้จบต้องใช้เวลาถึงสามวันสามคืน การแสดงให้ครบสี่ฤดูนั้นไม่ใช่เื่ที่ง่ายและการต้องอดทนบรรเลงด้วยระยะเวลาที่นานขนาดนั้นก็ไม่ใช่เื่ง่ายเช่นกัน
แม้ว่าจะเป็่ต้นฤดูร้อนแต่ว่ายามค่ำคืนก็ยังคงมีอากาศหนาวเย็นอยู่บ้าง ทว่าเหลยอวี๊เฟิงและฮวาฉือยังคงยืนหยัดที่จะนั่งอยู่้าเวที ไม่ลุกเดินจากไปแม้แต่ก้าวเดียว
เซียวเอินถอดเสื้อตัวยาวของตนไปคลุมไว้บนไหล่ของเซียวซู่ซู่
เซียวซู่ซู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและทำเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆ ให้กับเขา สีหน้าของนางปรากฏความซาบซึ้งใจออกมา ทว่าในแววตากลับแสดงถึงความเหน็ดเหนื่อยออกมาจางๆแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ได้เด่นชัดนักแต่ว่าเซียวเอินก็สามารถมองเห็นมัน
เขาอยากจะช่วยนางทำอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้
บางครั้งเฝินเหวินเองก็จะแหงนหน้าขึ้นมองไปทางเซียวซู่ซู่แวบหนึ่งความเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้าของเขาได้ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดแล้ว บนใบหน้าที่มักจะมีท่าทางสุขุมและอ่อนโยนนั้นกลับมีอารมณ์อย่างอื่นแฝงอยู่จางๆ
ค่ำคืนวันนี้เสียงพิณดังต่อเนื่องไม่ขาด จนกระทั่งพระอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นจากขอบฟ้าขึ้นมาอีกครั้ง และแสงอาทิตย์อุ่นๆ ก็ได้สาดส่องผ่านใบหน้าของทุกคนเซียวซู่ซู่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนรูปปั้น แต่เป็รูปปั้นที่มีชีวิตชีวา
วินาทีที่นางเลิกตาขึ้นมองนั้นแววตาของนางก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยน ทำให้คนรู้สึกว่านางยังคงมีเรี่ยวแรงอยู่เช่นเคย
นางไม่ใช่คนที่จะร่าเริงมีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นความร่าเริงที่ปรากฏขึ้นเพียงเล็กน้อยบนใบหน้าของนางก็ทำให้เซียวเอินและเหลยอวี๊เฟิงรู้สึกะเือารมณ์แล้ว
หนึ่งวันหนึ่งคืน ในที่สุดก็ได้ผ่านพ้นไป
ยังมีเวลาเหลืออีกสองวันสองคืน ในขณะที่ทุกคนต่างรู้สึกว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไปอย่างสบายๆนั้น เฝินเหวินและเซียวซู่ซู่กลับรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน
ไม่มีใครสามารถคาดคิดได้ว่าการดีดพิณหนึ่งวันหนึ่งคืนโดยไม่พักนั้นนอกจากความง่วงแล้ว นิ้วมือยังไม่อาจทนรับได้อีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าบนปลายนิ้วมือขาวเรียวยาวของเซียวซู่ซู่ได้มีรอยห้อเืปรากฏขึ้นแล้ว
แม้ว่าเหลยอวี๊เฟิงจะนั่งอยู่บนจุดสูงของเวทีทำให้มองไม่เห็นนิ้วมือของเซียวซู่ซู่ได้ชัดนัก
แต่เขาเองก็รู้ว่าเวลานี้นิ้วมือของเซียวซู่ซู่จะต้องได้รับาเ็แล้วอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าเขาจะสามารถทำอะไรได้เขานั้นไม่สามารถทำอะไรได้ สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่มองดูอยู่เงียบๆ เท่านั้น
เฝ้ารอ
เพราะการเปลี่ยนแปลงจากฤดูร้อนไปฤดูใบไม้ร่วงทำให้ทุกคนที่อยู่ในงานต่างก็รู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างมาก
เสียงพิณของสรทฤดูไม่ได้พลิ้วไหวและรวดเร็วเหมือนเช่นเคยแต่มันกลับเป็เสียงที่มีความหนักหน่วงและรุนแรง และแน่นอนว่ายังเป็เสียงที่มีความรื่นเริงยินดีอย่างมากอีกด้วย
เสียงพิณของเซียวซู่ซู่ยังคงตามติดเสียงพิณของเฝินเหวินอย่างไม่ลดละเสียงพิณของทั้งสองคนยังคงประสานเข้าหากันได้เป็อย่างดีเหมือนเคย
เสียงทั้งสองทับซ้อนเข้าหากัน ก่อให้เกิดเสียงที่ไพเราะเสนาะหูเป็อย่างยิ่งออกมา
และยามราตรีก็มาอีกครั้ง แม้แต่ผู้ชมในงานก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากันแล้ว
ทว่า เสียงพิณที่ไพเราะเช่นนี้ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะอยู่รับฟังต่อ
สามวันสองคืนได้ผ่านพ้นไปแล้ว เฝินเหวินและเซียวซู่ซู่ล้วนไม่ได้ขอถอนตัวจากไปแต่กลับยังคงอดทนบรรเลงอย่างต่อเนื่อง
แสงอาทิตย์ใน่เวลากลางวันของฤดูร้อนนั้นร้อนระอุแผดเผาิัของคนเป็อย่างมาก
บนหน้าผากของเซียวซู่ซู่ก็มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มไปหมดร่างกายของนางก็ดูเหนื่อยล้าเป็อย่างมาก สีหน้าเองก็เริ่มเปลี่ยนเป็ขาวซีดแล้ว ท่าทางของนางดูราวกับดอกลิลลี่ที่กำลังเบ่งบานท่ามกลางสายลมและพายุโดยที่มันไม่เอนล้มเสียที
และก็ไม่ยอมที่จะล้มลงไปด้วย
“คุณหนูเล็กสกุลเซียว” ในที่สุดเหลยอวี๊เฟิงก็เดินมาข้างกายนางก่อนจะเอ่ยเรียกออกมาเบาๆ “ถ้าหาก...”
เขาอยากจะพูดว่าไม่จำเป็ต้องทนทรมาณถึงเพียงนี้
เขาเริ่มจะทนดูไม่ได้แล้ว
เขาไม่อาจทนเห็นเซียวซู่ซู่ต้องทุ่มเทความพยายามถึงเพียงนี้อีกต่อไปเพียงเพื่อให้เขาสนับสนุนสกุลเซียวและปกป้องสกุลเซียว นางได้ทำมาเพียงพอแล้ว
เซียวซู่ซู่ไม่ได้เอ่ยตอบ สามวันแล้วนางไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ตอนนี้นางเองก็ทำเพียงแค่เลิกตาขึ้นมองเหลยอวี๊เฟิงแวบหนึ่งโดยที่แววตาของนางได้บอกกับเขาว่านางสามารถทำได้
จากนั้นนางก็หลุบตาลงต่ำอีกครั้ง ก่อนจะอ้าปากออกมาเล็กน้อยและพ่นเข็มสองเล่มที่คาบไว้ในปากของตนออกมาเข็มทั้งสองเล่มพุ่งเข้าไปปักจุดที่ข้อมือของนางข้างละเล่มอย่างแม่นยำ
ทำให้เหลยอวี๊เฟิงนิ่งค้างไป ภาพนี้เหมือนกับว่าเขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เขาคุ้นเคยกับมันเป็อย่างดี
ครั้งนี้ เขารู้สึกตกตะลึง เซียวซู่ซู่ผู้นี้ได้สร้างความแปลกใจให้กับเขาอีกครั้ง
และก็ทำให้ภายในสมองของเขาผุดภาพของสตรีอีกผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
สตรีผู้นี้มีฝีมือพิณโดดเด่นและฝีมือทางการแพทย์เหนือชั้นผู้นั้น
นี่ทำให้เขารู้สึกว่าเซียวซู่ซู่และซูฉีฉีช่างคล้ายกันเสียเหลือเกิน
มีเพียงใบหน้าของพวกนางเท่านั้นที่ต่างกัน
ชั่วขณะหนึ่ง เขาก็ยืนอยู่ด้านข้างของเซียวซู่ซู่ไม่ได้เดินจากไป โดยที่ดวงตาจับจ้องไปทางนิ้วมือที่โบกสะบัดไม่หยุดของนางอย่างไม่กะพริบ
เสียงของพิณได้แปรเปลี่ยนเป็่เหมันตฤดูแล้วความรู้สึกหนาวเย็นได้กระจายไปโดยรอบ โดยเฉพาะตอนนี้ที่เป็เวลาค่ำคืนแล้วยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าความเยือกเย็นนั้นหนาวลึกเข้าไปถึงกระดูกก็มิปาน
และเซียวซู่ซู่ในตอนนี้ก็ไม่มีอารมณ์หันไปมองทางเหลยอวี๊เฟิงนางเพียงแต่จมดิ่งอยู่ในโลกของตนเอง โลกที่เยือกเย็นและเหน็บหนาว...
“ฟู่...”
ทันใดนั้นเฝินเหวินที่นั่งอยู่ตรงข้ามเซียวซู่ซู่ก็มีโลหิตพุ่งออกมาจากปากของเขา
เสียงพิณก็ได้หยุดลง
ฮวาฉือ นายบ้านสองและนายบ้านสามที่อยู่บนแท่น้าก็รีบลุกขึ้นและเหาะตัวมายืนอยู่ด้านข้างของเฝินเหวินก่อนจะรีบพยุงเขาให้ลุกขึ้น
เสียงพิณของเซียวซู่ซู่ยังคงดำเนินต่อไป
เห็นได้ชัดว่าเซียวซู่ซู่ชนะแล้ว...