หลังจากที่เขากินลูกชิ้นปลาก็อดไม่ได้ที่จะตัดพ้อเล็กๆ นายน้อยก็เหลือเกิน ตระหนี่จริงเชียว ให้มาเพียงแค่สองลูก
หลังจากแน่ใจแล้วว่าซูจื่อเยี่ยไม่ได้มีนัยแฝงว่าจะตัดไข่สองใบของเขา เกาจิ่วที่ได้เมนูอาหารใหม่ก็ปลื้มปริ่มดีใจยิ่งนัก
พลันคิดหาวิธีที่จะเอ่ยปากกับหลิวเต้าเซียงอย่างไรดี
แต่คิดไม่ถึงว่า วันรุ่งขึ้นสามีของแม่เฒ่าจางก็มาหาถึงหน้าบ้าน
“นายท่านจิ่ว นายท่านจิ่ว ก่อนหน้านี้เหมือนข้าจะเห็นแม่สาวน้อยนั่นมาอีกแล้ว”
หลิวเต้าเซียงไม่เคยเห็นพ่อครัวจางซึ่งๆ หน้า แต่พ่อครัวจางเคยเห็นนางแล้ว เพียงแต่ไม่ได้เผยตัวให้เห็น
“เหมือนคืออะไร? ตกลงมาแล้วหรือไม่ได้มา?”
เกาจิ่วกําลังไตร่ตรองว่าจะสร้างเหตุบังเอิญเพื่อพบกันดีหรือไม่ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ไต้ซือ [1] แล้วสาวเท้าไปยังหน้าบ้านตนเอง จากนั้นไล่ถามพ่อครัวจางที่เพิ่งเดินมาถึงบันได
พ่อครัวจางเห็นท่าทีรีบร้อนของเขา จึงคิดในใจว่าโชคดีที่ตนเองเป็คนช่างสังเกต
“มาแล้วขอรับ ทว่า ครั้งนี้ไม่ได้มาเพียงผู้เดียว หากแต่พาชายหนุ่มวัยยี่สิบหกถึงยี่สิบเจ็ดมาด้วยหนึ่งคน”
เกาจิ่วถามว่า “หน้าตาเป็อย่างไร?”
พ่อครัวจางกล่าวอย่างละเอียด
เกาจิ่วเปรียบเทียบกับภาพวาดที่เคยเห็นอย่างละเอียด และรู้ว่าผู้ที่มาคือใคร จึงพยักหน้ารับ “อืม เดาว่าคงเป็คนที่บ้านนาง”
หลังจากคิดเช่นนี้ จึงพูดต่อ “ใครก็ได้ ไปเรียกพี่จางมา”
พี่จางที่เกาจิ่วหมายถึงก็คือ แม่เฒ่าจาง
ในไม่ช้า แม่เฒ่าจางก็มา เกาจิ่วไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วถามนางว่า “แม่สาวน้อยผู้นั้นมาหาเ้าแล้ว อีกประเดี๋ยวก็จัดการตามแผนที่วางไว้ เ้ารีบกลับไป อย่าให้นางรอนาน”
ขณะที่พูด เขาก็เริ่มคิดหนัก นายน้อยของตนนั้นเล่นงานเหรัญญิกจบแล้ว ก็โยนเื่ไว้ให้เขาโดยไม่สนใจ
เขา้ารีบไปหาหลิวเต้าเซียงเพื่อประเมินสถานะ ขอเพียงคำพูดเดียวก็สามารถแก้ไขเื่นี้ให้ผ่านพ้นไปได้ แต่นายน้อยกลับไม่ยินยอม รั้นจะให้ทำทุกเื่อย่างอ้อมไปมา
นี่ทําให้เขาปวดหัวจริงๆ
แม่เฒ่าจางเป็คนที่ฉลาดมาก เมื่อนางเห็นท่าทางที่ปวดหัวของเกาจิ่ว นางถามว่า “นายท่านจิ่ว จะสั่งอะไรอีกหรือไม่เ้าคะ?”
ดวงตาของเกาจิ่วสว่างขึ้น เขาช่างซื่อบื้อเหลือเกิน คนตรงหน้าที่ดีเช่นนี้กลับไม่ใช้งาน รั้นจะทำให้ตนเองปวดหัว
แน่นอนว่า เขาไม่มีทางปล่อยให้ตนเองกลายเป็ที่หัวเราะของคนรอบข้าง
กระนั้นจึงปั้นหน้าขึงขัง แล้วค่อยๆ เอ่ย “อืม แม่สาวน้อยคนนั้นคงมาขายของดีให้เ้า ประจวบเหมาะ ่นี้แขกที่โรงเตี๊ยมบอกว่าเริ่มเบื่ออาหารแบบเก่าของเรา ข้ากำลังคิดอยู่ว่า แม่สาวน้อยดูท่าน่าจะมีไหวพริบ บางทีอาจจะถามได้ความก็ไม่แน่ หากว่าสามารถทำอาหารป่าได้คงไม่เลว ถึงตอนนั้นค่อยให้พ่อครัวจางช่วยทำงานเพิ่มเสียหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะได้รายการอาหารใหม่ก็เป็ได้”
แม้ว่าแม่เฒ่าจางจะไม่ทราบว่าหลิวเต้าเซียงดึงดูดความสนใจของนายท่านเกาจิ่วได้อย่างไร แต่นางก็แอบคิดว่า เห็นทีแม่สาวน้อยจะเข้าตานายท่านจริงแล้ว
มิฉะนั้น เพียงแค่รู้ว่านางเข้ามาในตำบล เหตุใดเขาจึงต้องรีบไล่นางให้กลับไปต้อนรับด้วย ราวกับกลัวว่าแม่สาวน้อยจะทนรอไม่ไหวและจากไปก่อน
แม่เฒ่าจางยิ้มรับ จากนั้นก็หันหลังกลับและสั่งงานให้เสร็จเรียบร้อย แล้วกลับไปยังบ้านของตนเอง
“หืม ข้าว่าเต้าเซียง เหตุใดวันนี้เ้าจึงมาเร็วเช่นนี้?”
แม่เฒ่าจางผู้ซึ่งได้รับคําสั่งจากเกาจิ่ว ปั้นหน้ายิ้มแย้มเดินเยื้องย่างเข้ามาพร้อมกับแสงอรุณ
หลิวเต้าเซียงลุกขึ้นยืนและทักทายนางทันที “ท่านป้า วันนี้ท่านเองก็กลับมาเช้าเหลือเกิน เดิมทีข้าคิดว่าคงต้องรออีกสักพัก”
“เ้านายเมตตา วันนี้ข้าทำธุระเสร็จไว จึงให้ข้ากลับมาพักผ่อน”
นางไม่ได้พูดในสิ่งที่เกาจิ่วบอกว่า ให้มาพบกับแม่สาวน้อยคนนี้เป็พิเศษ
หลังจากพูดจบ นางก็มองไปทางหลิวซานกุ้ยที่อยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านนี้คือ?” ดูจากหน้าตาแล้วละม้ายคล้ายกัน จึงคาดเดาในใจอยู่รางๆ
หลิวเต้าเซียงตอบอย่างนอบน้อม “ท่านป้า นี่คือท่านพ่อของข้า วันนี้จับปลาเฉาเป็ๆ ได้สองตัว แล้วก็ปลาหลี่อวี๋ในข้อง ได้ยินท่านป้าเคยบอกว่า ท่านลุงเป็พ่อครัว จึงอยากมาถามท่านป้าดูก่อน”
นางเอ่ยความตั้งใจของตนเองออกมา ความหมายก็คือถามแม่เฒ่าจางก่อน หากว่านางไม่เอา หลิวเต้าเซียงก็ตั้งใจจะเอาไปถามคนในตลาดดู
“ที่แท้ก็พ่อของเต้าเซียงนี่เอง รีบเข้ามานั่งก่อน”
จากนั้นแม่เฒ่าจางก็หยิบกุญแจเพื่อเปิดประตูและตอบว่า “เอาสิ จะไม่เอาได้อย่างไร เฮ้อ ตอนนี้คนหนุ่มมักขี้คร้าน ล้วนคิดอยากไปทำงานเบาสบายในเมืองโจว มีไม่กี่คนที่ยินยอมไปจับปลาในแม่น้ำ”
สิ่งที่แม่เฒ่าจางกล่าวคือความจริง แม้ว่าตำบลเหลียนซานจะเป็พื้นที่สำคัญ มีทั้งถนนหนทางที่ตัดผ่านหลายทิศ แล้วยังมีแม่น้ำและทะเล แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้คนที่สัญจรไปมาเพื่อค้าขายก็เพียงแค่พักผ่อนที่นี่ จึงไม่จำเป็ต้องใช้แรงงานมากมาย
ด้วยเหตุนี้นางจึงกล่าวเช่นนี้
เมื่อผลักประตูลานบ้านให้เปิดออก นางส่งยิ้มและเชิญให้ทั้งสองคนเข้าไปนั่งดื่มชาเย็นในลานบ้านก่อน
หลิวเต้าเซียงมาที่บ้านของแม่เฒ่าจางหลายครั้ง จึงหาถ้วยชามารินน้ำชาเองสองถ้วยสำหรับตนและพ่ออย่างคุ้นเคย
แม่เฒ่าจางเปิดตะกร้าดูแต่แรกแล้ว เห็นปลาในนั้นยังมีชีวิตอยู่และเคลื่อนไหวไปมา จึงยิ้มแล้วเอ่ย “พ่อเต้าเซียง เ้ารู้ด้วยหรือว่าต้องใช้หญ้าสีดำปกคลุม้าปลาเหล่านี้”
หลิวซานกุ้ยยิ้มอย่างเขินอาย “พี่สาว เรียกข้าว่าซานกุ้ยเถิด”
จากนั้นเขาก็ตอบว่า “ใช้หญ้าดำคลุมไว้ปลาจะไม่ตายง่ายๆ”
ทันทีที่ได้ยินก็รู้ว่าเขาไม่ได้เข้ามาขายปลาในตำบลเป็ครั้งแรก แม่เฒ่าจางพยักหน้าแล้วตอบ “ข้ากับเต้าเซียงคุ้นเคยกันดี จึงไม่พูดอะไรหลอกลวง ตอนนี้ในตลาดหาปลาเป็ได้ยากนัก แม้ว่ามีก็คงใช้เครื่องจับปลาล้วงขึ้นมา”
ขณะที่พูดนางก็จัดการเทปลาลงไปในบ่อเลี้ยง “นี่คือน้ำที่ตักมาจากแม่น้ำ เหมาะกับการเลี้ยงปลาที่สุด”
เมื่อเห็นปลาในตะกร้าลงไปในน้ำ จึงใช้นิ้วชี้ไปที่ปลาหลี่อวี๋ที่มีขนาดเพียงสองนิ้ว ยิ้มแล้วเอ่ย “เ้าตัวนี้ ข้าอาจจะไม่รับ”
จากนั้นก็กังวลว่าตนเองพูดได้ไม่ชัดเจน หลิวเต้าเซียงฟังแล้วจะคิดมาก จึงเอ่ยเสริม “ไม่ขอปิดบังพวกเ้า ตาเฒ่าของข้าเป็พ่อครัวใหญ่ในโรงเตี๊ยมตำบล ปลาหลี่อวี๋ขนาดเล็กเช่นนี้ ลำพังจะให้แขกโดยไม่คิดเงิน พวกเขาก็จะรังเกียจว่ามันเล็กเกินไป”
นางชี้ไปที่ปลาหลี่อวี๋ขนาดเท่าตะเกียบ ยิ้มแล้วเอ่ย “ขนาดเท่านี้เป็ที่นิยมที่สุด ขณะนี้ปลาหลี่อวี๋เป็ที่้าของตลาด รสชาติดีไข่เยอะ และมีแเื่ถามหามากนัก” ที่นางพูดเช่นนี้ก็เพราะได้รับการกำชับมาจากเกาจิ่ว
เมื่อหลิวเต้าเซียงได้ยินดังนั้น ทีแรกนางตื่นเต้น กังวลว่าหลิวเหรินกุ้ยจะรู้เื่ ต่อมาก็ได้ยินแม่เฒ่าพูดเพียงแค่เื่ปลาจึงฟังต่อ
หลังจากที่นางพูดจบ คู่พ่อลูกก็เข้าใจได้ ที่แท้คนมีเงินเ่าั้ก็ชอบปลาตัวใหญ่ ยิ่งตัวใหญ่ยิ่งชอบ
หลิวเต้าเซียงยิ้มและพูดว่า “ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง ปลาที่ไม่ใหญ่ยังไม่เป็ที่้า”
แม่เฒ่าจางพยักหน้ารับ
ปลาครึ่งกิโลกรัมมีเพียงหกตัว บวกกับปลาเฉาสองตัวที่น้ำหนักเกือบหกกิโลกรัม ปลาเหล่านี้แม่เฒ่าจางจะนำไปให้โรงเตี๊ยม
หลิวซานกุ้ยยังคิดในใจว่า เื่นี้ต้องไม่ให้พี่รองรู้เข้า ชั่วขณะนั้นใบหน้าของเขาก็เผยความกังวลออกมา
แม่เฒ่าจางเห็นเข้าจึงพึมพำในใจ คงไม่ใช่เพราะตนเองให้ราคาต่ำเกินไปจึงพูดไม่ออกหรอกนะ
“ซานกุ้ย ราคาของปลานี้ แม่เฒ่าให้ราคานี้กับเ้า”
แม่เฒ่าจางชี้ไปที่ปลาหลี่อวี๋แล้วชูมือออกมาหนึ่งข้าง
หลิวซานกุ้ยอ้าปากและพ่นออกมาหนึ่งคำ “ตบหนึ่งที!”
หลิวเต้าเซียงอยากเอามือปิดหน้า พ่อของตนคงไม่อยู่ในสภาพปกติ สติปัญญาก็ลดทอนตามลงไป
“ไม่ใช่ หมายถึงห้าเหรียญต่อครึ่งกิโลกรัม เป็เช่นไร? ปลาเฉาตัวนี้ใหญ่เอาการและสดใหม่ ข้าให้เ้าเจ็ดเหรียญต่อครึ่งกิโลกรัม เ้าว่าอย่างไร?”
แม่เฒ่าจางเริ่มกังวลเล็กน้อย กลัวว่าแม่สาวน้อยจะโกรธและนายท่านจิ่วรู้เข้า นางคงได้โดนเล่นงานเป็แน่
ดังนั้นนางจึงไม่ได้สังเกตน้ำเสียงตนเองที่หวังจะเอาใจนั้น
หลิวซานกุ้ยยังคงนึกถึงเื่ที่หลิวเหรินกุ้ยจะรู้หรือไม่ ส่วนหลิวเต้าเซียง อืม ไม่ได้ฟังออกแต่อย่างใด
“ท่านพ่อ” นางยื่นมือไปกระตุกแขนเสื้อของหลิวซานกุ้ย ส่งสัญญาณว่า ไม่รู้ว่าปลานี่ราคาเท่าไรจริงๆ
เมื่อหลิวซานกุ้ยได้สติจึงตอบ “ราคานี้ยุติธรรมมาก”
แม่เฒ่าจางให้ราคาตามท้องตลาด หลิวซานกุ้ยจับปลาอยู่เป็นิจ สำหรับเื่ราคาปลาจึงรู้ดีอยู่แก่ใจ
หลิวเต้าเซียงเม้มริมฝีปากยิ้ม หันไปทางแม่เฒ่าจางแล้วเอ่ย “ลำบากท่านป้าแล้ว พวกข้าเองก็ไม่มีตาชั่ง”
“เป็เื่ธรรมดา” นางเคยซื้อของกับหลิวเต้าเซียงหลายครั้ง ย่อมรู้ว่าเด็กสาวไม่มีตาชั่ง
แม่เฒ่าจางปล่อยให้ทั้งสองนั่งอยู่พักหนึ่ง แล้วเดินไปยืมตาชั่งจากข้างบ้าน
“ยายเฒ่า นายท่านจิ่วมาแล้ว” แม่เฒ่าจางออกจากบ้านไปไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงพ่อครัวจางขานว่าเกาจิ่วมาแล้ว
หลังจากที่เกาจิ่วส่งแม่เฒ่าจางกลับมาที่บ้านนี้ เขาไตร่ตรองอยู่สักพัก สุดท้ายก็ตัดสินใจมาด้วยตัวเอง
หากจะถามว่าเพราะเหตุใด?
หลังจากที่แม่เฒ่าจางออกไป เขาขังตนเองอยู่ในห้องและพินิจอยู่สักพักใหญ่ รู้สึกว่านายน้อยของตนหาใช่คนที่ว่างมาก การให้ลูกชิ้นปลาสองลูกแก่เขาต้องมีความหมายอะไรลึกซึ้งกว่านั้นแน่นอน
เมื่อวิเคราะห์เป็จริงเป็จัง ในที่สุดเขาก็พอจับทางได้
เป็ไปได้ไหมว่าเ้านายของเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ? ยิ่งเกาจิ่วคิดถึงเื่นี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งอยากร้องไห้มากขึ้นเท่านั้น แล้วต้องทำเช่นไร เขาเองยังต้องใช้ไข่สองใบในการสืบทอดสกุลอีกนะ!
ถูกต้อง สิ่งที่เกาจิ่ววิเคราะห์ได้ก็คือ ซูจื่อเยี่ยกำลังใช้ลูกชิ้นเนื้อสองลูกเพื่อส่งสัญญาณลับให้เขา หากดูแลหลิวเต้าเซียงไม่ดี จักต้องจัดการเฉือนไข่สองใบของเขาเอาไปป้อนให้สุนัข
เกาจิ่วกระจ่างถึงความหมายลึกซึ้งของซูจื่อเยี่ย พลันรู้สึกเย็นวาบและขนลุกซู่ จากนั้นก็รีบะโเรียกพ่อครัวจางมา
ดังนั้นทั้งสองจึงปรากฏตัวนอกประตูลานบ้านของพ่อครัวจาง
หลิวเต้าเซียงได้ยินเสียงะโในลานบ้าน จึงพูดกับหลิวซานกุ้ย “ท่านพ่อ เขากำลังเรียกท่านป้าหรือไม่?”
“ดูเหมือนจะใช่!” หลิวซานกุ้ยก็ไม่แน่ใจเช่นกัน “ข้าจะลองไปดู เ้าอยู่ตรงนี้ห้ามไปไหนเด็ดขาด”
ด้วยเหตุนี้ พ่อครัวจางกับเกาจิ่วจึงนั่งรถม้ากลับมาด้วยกัน ถนนเส้นนี้ไม่กว้างนัก รถม้าจึงจอดเทียบอยู่หน้าประตูบ้านเพียงสองก้าว
หลิวซานกุ้ยกับหลิวเต้าเซียงที่นั่งอยู่ในลานบ้านมีกำแพงบังอยู่ จึงมิอาจเห็นว่าผู้ใดมา
“ท่านคือ?”
พ่อครัวจางเพิ่งช่วยพยุงเกาจิ่วออกจากแคร่ เมื่อเขาหันหลังกลับก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ที่ทางเข้าลานบ้าน ซึ่งเป็คนเดียวกับที่นั่งอยู่ที่ทางเข้าลานบ้านของเขาในตอนเช้า
“อ้อ ข้าน้อยหลิวซานกุ้ย เป็ชาวบ้านที่มาจากหมู่บ้านสามสิบลี้ ได้ยินว่าพี่สาวจางรับซื้อปลา ด้วยความเกียจคร้าน จึงตรงมาหาเสนอให้กับพี่สาวจาง”
พ่อครัวจางรู้ดีอยู่แล้ว ย่อมไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ ใบหน้ากว้างและใบหูใหญ่นั้นเมื่อยิ้มออกมาช่างราวกับพระโพธิสัตว์ จากนั้นเขาก็พยักหน้าแล้วเอ่ย “ได้เลย ได้เลย เราเข้าไปคุยข้างในกันก่อน”
หลิวซานกุ้ยเห็นเขาพาแขกเข้ามา ดูราวกับเป็คนมีฐานะที่สูงส่ง
เขาหันลำตัวไปด้านข้างเพื่อให้คนทั้งสองได้เข้าไปก่อน
เกาจิ่วไม่กล้าอวดเบ่ง เพียงแต่เวลาเขาอยู่ต่อหน้าผู้คนนั้นต้องวางมาดให้ดี
-----
เชิงอรรถ
[1] เก้าอี้ไต้ซือ เป็เก้าอี้ไม้ยุคโบราณ มีพนักพิงและที่พักแขน ดังในรูป

