คิดไม่ถึงเลยว่ามาที่นี่แล้วยังมีคาบเรียนงานฝีมืออีก เหยาเชียนเชียนอุ้มอาเหยียนพลางถอนหายใจ
“เ้าว่าถ้าข้าซื้อกลับมาสักอัน ท่านพ่อของเ้าจะจับได้หรือไม่?”
อาเหยียนน้อยแนะนำอย่างอ้อมค้อมไม่ให้นางทำเช่นนั้น หากเปิดเผยตรงไปตรงมาสักหน่อยอาจจะดีกว่า แต่หากโกหกต่อผู้เป็พ่อ สถานการณ์ก็จะแตกต่างออกไป
“ท่านพ่อเกลียดคนที่โกหกเขาที่สุด”
เหยาเชียนเชียนยิ้มเผล่ เช่นนั้นคงไม่ดี นางหลอกเขาไปหลายเื่แล้ว อย่างแรกเลยคือเ้าสาวของเขาก็ไม่ใช่คนเดิมแล้ว
“ท่านแม่คง...ไม่อยากทำรังให้เสี่ยวไกวไกวใช่หรือไม่?” อาเหยียนเอ่ยถาม “หากไม่อยากทำก็บอกท่านพ่อได้นะขอรับ”
เขาคิดว่าเหยาเชียนเชียนดูจะลำบากใจกับเื่นี้มาก แม้จะไม่เข้าใจ แต่สัญชาตญาณของเขาก็ยังเข้าข้างผู้เป็แม่มากกว่า ส่วนท่านพ่อนั้น แต่เดิมเมื่อแปลงเป็ร่างเดิมก็มักจะชอบขึ้นไปอยู่บนหลังคาอยู่แล้ว จะ้ารังไปทำไมกัน
“ท่านพ่อของเ้ามอบหมายคำขอนี้แก่ข้า อีกอย่างฟังดูแล้วก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร” เหยาเชียนเชียนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ถ้าแค่นี้ยังปฏิเสธ จะดูไม่เหมาะสมเกินไปหรือไม่?”
อีกอย่างยามนี้ชีวิตน้อยๆ ของนางก็ยังอยู่ในกำมือเขา ต่อให้เขาจะสั่งให้นางไปบุกน้ำลุยไฟนางก็ต้องไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกับแค่ทำรังแมวอันเดียวเลย
ทำรังแมว...ทำอย่างนั้นหรือ?
“จริงด้วย” เหยาเชียนเชียนตาเป็ประกาย “ไยข้าถึงดึงดันเช่นนี้ จริงๆ แล้วคำนี้มีจุดที่สามารถพลิกแพลงได้อยู่!”
นางกอดอาเหยียนและหอมเขาแรงๆ สองฟอด รู้สึกว่าทุกครั้งที่อยู่กับอาเหยียน นางสามารถพลิกวิกฤตให้เป็โอกาสได้เสมอ แรงบันดาลใจปะทุออกมาราวกับน้ำพุ
“ไปกัน แม่จะพาเ้าไปเล่น”
เหยาเชียนเชียนจูงอาเหยียนกลับไปยังเรือนของนาง และสั่งให้คนไปนำไม้ดีๆ จำนวนมาก รวมถึงสารพัดเครื่องมือมาให้
“อาเหยียนดูนี่สิ สวยหรือไม่?”
อาเหยียนน้อยบรรจงเลือกแบบที่เขาชอบที่สุดจากแผนภาพทั้งหมดที่นางวาด เหยาเชียนเชียนจึงเริ่มตัดรูปทรงตามแบบในแผนภาพนั้น หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ยุ่งอยู่กับการปรับเสริมเติมแต่งรังแมวตลอดทั้งบ่าย จนในที่สุดก็ทำรูปทรงคร่าวๆ ออกมาได้
“ข้าคิดว่าไม่เลวเลย” เหยาเชียนเชียนเช็ดเหงื่อพลางชื่นชมผลงานของนางอย่างพึงพอใจ “รอข้าขัดให้เงาวาวอีกสักหน่อยก็เป็อันเสร็จแล้ว”
อาเหยียนน้อยมองดูสิ่งของรูปทรงประหลาดชิ้นนั้น เขาพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่านางกำลังทำอะไร เสียงเล็กจึงเอ่ยเตือนว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อบอกว่าให้ท่านเย็บขอรับ”
แมวตัวใหญ่ขนาดนั้น ถ้าให้เย็บต้องทำถึงเมื่อใดเล่า แน่นอนว่ายิ่งง่ายยิ่งดี
เหยาเชียนเชียนจูบเขาเบาๆ และตบรังแมวทรงคันธนูขนาดสูงเท่าครึ่งตัวคนข้างๆ เล็กน้อย อันนี้ดี ขอแค่ปูปุยฝ้ายไว้ข้างในสักหน่อยก็ถือว่างานใหญ่สำเร็จลุล่วงแล้ว ส่วนงานเย็บปักย่อมมีวิธีอยู่
“ดูสิ มันมีสองชั้นด้วยนะ รังแมวอันแสนหรูหรา”
เหยาเชียนเชียนลูบแผ่นสี่เหลี่ยมชั้นบนด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อถึงเวลาก็เอาเชือกมาพันรอบเสา และชั้นสำหรับให้แมวปีนก็เป็อันเสร็จ
“เกรงว่าท่านพ่อ...จะไม่ชอบนะขอรับ” อาเหยียนน้อยเอ่ยเตือน
“เขาชอบแล้วจะมีประโยชน์อันใด เขาไม่ได้จะอยู่เองเสียหน่อย” เหยาเชียนเชียนมั่นใจมาก “ขอแค่เสี่ยวไกวไกวชอบก็พอแล้ว”
นอกจากนี้นางยังห้อยลูกตะกร้อพันด้ายเงินเล็กๆ ไว้ข้างบนอีกหนึ่งลูก ส่วนข้างล่างห้อยพู่ไข่มุก ตกแต่งไปเรื่อยๆ ก็สวยแล้ว
แม้ว่าจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากอาเหยียน แต่เหยาเชียนเชียนยังคงทำรังแมวอันแสนหรูหราต่อไปด้วยความคึกคัก ถ้าหากสามารถทำให้ท่านอ๋องพอใจได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็ผลดีก็ได้
วันต่อมาเหยาเชียนเชียนแอบออกไปข้างนอกเพื่อตามหาร้านตัดเย็บเพียงลำพัง นางเดินเข้าไปยัดเงินแท่งชิ้นหนึ่งให้ และใช้เวลาอยู่ในนั้นทั้งวันสำหรับเตรียมตัวออกรบ
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ล้วนหนีไม่พ้นสายตาขององครักษ์เงา เป่ยเหลียนโม่ยิ่งไม่เข้าใจสตรีผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ หากพูดถึงฝีมือเย็บปักถักร้อย ไม่มีผู้ใดในนครหลวงแห่งนี้สามารถเทียบฝีมือนางได้ เหตุใดนางยังต้องไปหาช่างตัดเย็บที่ร้านด้วยเล่า?
เหยาเชียนเชียนหมกตัวอยู่ที่ร้านตัดเย็บสามวันติดต่อกัน
เมื่อถึงยามพลบค่ำของวันที่สาม นางมุ่งหน้ากลับจวนอย่างมีความสุขพร้อมกับผ้าผืนหนึ่ง ทันใดนั้นเงาดำสองร่างก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ดาบคมเปล่งแสงอันเย็นเยือกเล็งไปที่ขั้วหัวใจด้านหลังของนาง และแทงทะลุผ่านสายลมโดยฉับพลัน
“กรี๊ด!”
ลูกธนูคมดอกหนึ่งพุ่งขวางดาบนั้นไว้ได้อย่างฉิวเฉียด เหยาเชียนเชียนยังไม่หายตระหนก นางกุมหน้าอกไว้พลางถอยหลังไปหลายก้าว และหมุนตัวออกวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปยังทิศทางที่ตั้งของจวนอ๋องพร้อมกับร้องะโไปด้วย
“ท่านอ๋องช่วยด้วย!”
เป่ยเหลียนโม่ทั้งโกรธทั้งขำ เขาอยู่ข้างหลังนางนี่เอง นางจะวิ่งทำไม
มือซ้ายของเขาถือคันธนู ปลายเท้าระผ่านกระเื้ัคา เพียงชั่วพริบตาก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเหยาเชียนเชียน หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว ยั้งฝีเท้าไม่ทันจนศีรษะชนเข้ากับหน้าอกของเขา นางกอดเขาไว้ทั้งตัวสั่นระริก แม้กระทั่งเสียงก็สั่นตามไปด้วย
“ท่านอ๋องช่วยหม่อมฉันด้วย มีคนจะฆ่าหม่อมฉัน!”
“เปิ่นหวังเห็นแล้ว” เขาอยากแกะตัวอีกฝ่ายออกจากร่าง แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าแรงของหญิงสาวเพิ่มขึ้นขนาดนี้ั้แ่เมื่อไรไม่รู้ แรงเยอะจนกระทั่งต่อให้ดึงก็ดึงไม่ออก
“ความสามารถในการเกี้ยวพานของหวังเฟยช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ภายใต้ม่านราตรีนี้ยังคงมีคนคะนึงหาหวังเฟยอยู่ ช่างลุ่มหลงในรักโดยแท้”
ในเวลาแบบนี้เลิกพูดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยได้แล้ว!
เหยาเชียนเชียนนึกถึงดาบคมเล่มนั้น ยามนั้นมันอยู่ห่างจากนางเพียงไม่กี่หลีหมี่ [1] จนเส้นผมถูกตัดขาดไปครึ่งหนึ่ง นอกจากคราแรกที่ถูกเป่ยเหลียนโม่จับได้ นี่เป็ครั้งแรกที่นางอยู่ใกล้ความตายมากถึงเพียงนี้
ดูเหมือนว่านางจะเสียขวัญจริงๆ ในเวลาปกติถ้าเขาพูดเช่นนี้นางต้องโต้กลับแน่นอน
เป่ยเหลียนโม่หลุบตามองอีกฝ่าย หญิงสาวตัวน้อยกอดเขาไว้ด้วยความตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก และเขาก็ััได้ถึงความกลัวของนางแม้ว่าจะคั่นด้วยเนื้อผ้า
ไฉนถึงขี้ขลาดเช่นนี้ ยามที่ลงมือฆ่าอาเหยียนในคืนอภิเษกสมรส และยามที่เผชิญหน้ากับเขา ก็ไม่เห็นนางเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“ท่านอ๋องช่วยหม่อมฉันด้วย” นางกอดเป่ยเหลียนโม่แน่นไม่ยอมปล่อย พูดอ้ำๆ อึ้งๆ “หม่อมฉันตายไม่ได้ ถ้าหม่อมฉันตายอาเหยียนจะทำอย่างไร?”
เป่ยเหลียนโม่เกือบหลุดหัวเราะ นางตายไปแล้วอาเหยียนก็ยังสบายดี สำคัญตัวเองให้น้อยๆ หน่อยเถิด
“นายท่าน พวกมันตายหมดแล้วขอรับ” องครักษ์เงากลับมารายงาน
“ตายแล้ว ตายหมดแล้วหรือ?” เหยาเชียนเชียนถามเสียงสั่น “พวกมันเป็ผู้ใด?”
องครักษ์เงาชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็ตอบกลับไป “ทหารกล้าตายที่ถูกเลี้ยงมา เมื่อทำภารกิจล้มเหลวจะปลิดชีพตัวเองทันที ไม่มีสัญลักษณ์ระบุตัวตนขอรับ”
เหยาเชียนเชียนใจกระตุกวูบ ้าส่งนักฆ่ายอดฝีมือมาฆ่านางอย่างนั้นหรือ?
“ข้าซื่อสัตย์มาโดยตลอด ผู้ใดกันที่้าจะฆ่าข้า?”
ซื่อสัตย์?
เป่ยเหลียนโม่เหลือบตามองนางเล็กน้อย ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่พยายามจะบีบคออาเหยียนให้ตายทันทีที่เพิ่งเข้าจวนมา สองสามวันก่อนก็ทะเลาะกับเป่ยเซวียนเฉิง กระทั่งกลับบ้านเดิมไปก็ยังถูกทุบตีอีก
คนที่้าชีวิตของนางมีไม่น้อย คำว่าซื่อสัตย์นี้นางก็ยังกล้าพูดออกมาให้เขาได้ยิน
“เก็บกวาดให้เรียบร้อย” เป่ยเหลียนโม่ออกคำสั่ง “อย่าให้ผู้คนแตกตื่นไปมากกว่านี้”
“ขอรับ” องครักษ์เงารับคำสั่งและจากไป
เหยาเชียนเชียนเกาะเขาไว้ราวกับปลาหมึก และขอให้เป่ยเหลียนโม่ลากกลับจวนอ๋องไปด้วยกัน
นางขดตัวอยู่บนเตียงและห่อตัวในผ้าห่มแล้วแต่ก็ยังไม่ค่อยวางใจ เมื่อเห็นว่าเป่ยเหลียนโม่กำลังจะไปก็ยื่นมือไปจับไว้โดยไม่รู้ตัว
“ท่านอ๋อง...พระองค์จะเสด็จกลับแล้วหรือเพคะ?”
เป่ยเหลียนโม่มองมือเล็กบนแขนเสื้อเล็กน้อย ั์ตาเต็มไปด้วยแววขบขัน ไม่รู้ว่านางจะงัดไม้ไหนมาใช้ แต่อย่างไรยามนี้ก็น่าเอ็นดูกว่ายามก่อนหน้าอยู่มาก
“หวังเฟยหมายความว่าอย่างไร คงไม่ได้กำลังเชิญชวนให้เปิ่นหวังอยู่ค้างคืนที่นี่กระมัง?”
เหยาเชียนเชียนได้ยินเช่นนั้นก็เกิดลังเลและกำลังจะปล่อยมือ แต่ภาพสีแดงฉานตรงหน้าก็ยังไม่อาจลบเลือนไปได้ ดังนั้นจึงกุมแขนเสื้อชายหนุ่มไว้แน่น และดึงเขาไปข้างเตียงด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มเอาใจ
“เหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ในเมื่อหม่อมฉันเป็ชายาชิงผิงอ๋อง คิดดูแล้วเื่นี้ก็อาจจะเดือดร้อนไปถึงท่านอ๋องได้ เช่นนั้นท่านอ๋องรั้งอยู่ที่นี่ดีกว่าเพคะ หม่อมฉันจะสนทนากับท่านอ๋อง จะได้ช่วยท่านอ๋องคลายกังวลด้วย”
กังวลอันใดเล่า เป่ยเหลียนโม่เหลือบมองนางเล็กน้อย
คนที่กังวลคือนางมากกว่ากระมัง
เื่คอขาดบาดตายเช่นนี้ แน่นอนว่ายางอายต้องทิ้งไปก่อน เหยาเชียนเชียนแสร้งทำเป็ไม่เห็นแววตาเหยียดหยามของอีกฝ่าย พลางขยับบั้นท้ายเข้าไปข้างใน และตบตำแหน่งข้างตัวเบาๆ
มีเขาอยู่ด้วย คืนนี้นางถึงจะหลับได้อย่างสบายใจ
การกระทำที่ใจกล้าและเชื้อเชิญเช่นนี้ทำให้เป่ยเหลียนโม่ไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไรไปชั่วครู่ เขาทำได้เพียงหันหลังกลับไปนั่งข้างเตียง
เหยาเชียนเชียนทำใจกล้าโผล่ศีรษะออกไปแตะตัวเขา จำต้องนั่งอยู่ข้างในนิ่งๆ คิดว่ายามนี้นางต้องอาศัยชิงผิงอ๋องคุ้มครองชีวิตของนาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็ชายาของชิงผิงอ๋อง ถ้าหากนางตายไปแล้วอีกฝ่ายก็คงยากจะอธิบายต่อผู้อื่น
“ท่านอ๋อง เื่นักฆ่าในวันนี้พระองค์มีคนที่สงสัยหรือไม่ อย่างไรที่นี่ก็มีแค่เราสองสามีภรรยา ทรงตรัสออกมาก็ไม่เป็ไรหรอกเพคะ”
นางโน้มตัวเข้าหาเขาเล็กน้อย “พระองค์เห็นคนเ่าั้กล้าลอบโจมตีหม่อมฉันกลางถนน เช่นนั้นต้องเป็การแสดงอำนาจต่อท่านอ๋องและ้าหยามเกียรติของพระองค์เป็แน่ ห้ามผ่อนปรนให้พวกมันเป็อันขาดเลยนะเพคะ!”
ดูเหมือนนางอยากให้เขาช่วยจับตัวคนเื้ัให้นาง จึงได้ดึงเกียรติของเขาเข้ามาเกี่ยว เป่ยเหลียนโม่เอียงศีรษะมองนาง ดวงตากลมโตของหญิงสาวทั้งไร้เดียงสาและหมดจด และนางยังกำหมัดแน่นด้วยความแค้นเคืองราวกับกำลังเรียกร้องความเป็ธรรมให้กับตัวเอง
“หวังเฟยกล่าวเช่นนี้น่าสนใจยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของนักฆ่าคือเ้า หวังเฟยมิสู้รีบสารภาพมาเถิดว่าก่อนหน้านี้เคยล่วงเกินผู้ใดบ้าง เร่งสืบสวนให้ชัดเจน และจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนเปิ่นหวังด้วย”
เหยาเชียนเชียนลอบชูนิ้วกลางใส่แผ่นหลังของเขาอย่างโกรธเคือง ทันทีที่เห็นเป่ยเหลียนโม่หันกลับมาจึงรีบเก็บมือ พลางเข้าไปข้างๆ เขาและบีบนวดไหล่ให้อีกฝ่ายเบาๆ
“ท่านอ๋อง พระองค์ทรงรู้ว่ามีคนปองร้ายหม่อมฉันใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นพระองค์จะมาทันเวลาได้อย่างไร” นางเอ่ยอย่างสุภาพ “พระองค์ตรัสมาเถิดว่าอีกฝ่ายคือผู้ใด ต่อให้หม่อมฉันล่วงเกินผู้อื่นจริง ถ้า้าแก้ไขก็ง่ายดายไม่ใช่หรือ ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ หม่อมฉันก็ไปขอโทษคนผู้นั้นได้”
เป่ยเหลียนโม่ดึงสายตากลับมา เขาไม่สามารถบอกนางได้ว่าตนรู้เพราะอาเหยียนเป็คนบอก
เขาอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสืออยู่ดีๆ อาเหยียนก็พลันรีบร้อนวิ่งเข้ามาบอกว่าท่านแม่ของเขาตกอยู่ในอันตราย ขอร้องให้เขารีบไปช่วย
เื่นี้หากพูดออกไปนางจะเชื่อหรือไม่เชื่อยังไม่ต้องกล่าวถึง หากว่านางเกิดความสงสัยในตัวอาเหยียนด้วยเื่นี้ เช่นนั้นจะไม่เป็การผลักเด็กน้อยให้อยู่ในอันตรายหรือ
“เ้าแอบหนีออกไปจากจวนทุกวัน คิดว่าเปิ่นหวังไม่รู้จริงๆ หรือ”
เป่ยเหลียนโม่หัวเราะในลำคอเบาๆ “หากไม่มีคำสั่งของเปิ่นหวัง หวังเฟยคิดว่าตัวเองจะหนีออกไปโดยไม่เปิดเผยร่องรอยใดๆ ได้จริงหรือ?”
ที่แท้เขาก็รู้แล้ว เหยาเชียนเชียนหัวเราะแห้ง เช่นนั้นเขาก็รู้แล้วหรือว่านางไปทำอะไรที่ร้านตัดเย็บทั้งวัน เช่นนั้นเื่งานตัดเย็บก็ถูกเปิดเผยแล้วน่ะสิ!
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันออกจากจวนไปก็ไม่ได้ไปที่อื่น ทั้งหมดล้วนเพื่อสัตว์เลี้ยงของท่านอ๋องทั้งสิ้นเพคะ”
นางวิ่งลงจากเตียงด้วยเท้าเปล่า และลากรังแมวอันแสนหรูหราที่ตั้งใจทำออกมาจากหลังตู้ มันถูกนางขัดจนเป็เงาวาว ดูไปแล้วคงทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจและเวลาไปไม่น้อย
เป่ยเหลียนโม่ขมวดคิ้วมองสิ่งของแปลกประหลาดชิ้นนั้น น้ำเสียงเปลี่ยนเป็เย็นเยียบ สตรีผู้นี้ไม่ได้สนใจฟังคำพูดของเขาเลยหรือ
“นี่คือรังแมวที่หวังเฟย เย็บ! ขึ้นมางั้นหรือ ช่างแข็งแรงดีจริงๆ”
เชิงอรรถ
[1] หลีหมี่ หมายถึง เิเ
