ราวกับว่าจวินหวงรู้สึกได้ถึงสายตาของเขาก็เลยหันมามอง สายตาของทั้งสองคนจึงชนกันเข้าพอดี นางสะดุ้งรีบผละสายตาออกจากเขาทันที แต่หนานสวินเพียงแค่ถูจมูกของตนเองเบาๆ เท่านั้น พลางคิดในใจ
'ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?'
จวินหวงหายใจลึกๆ รวบรวมสมาธิให้มั่นก่อนจะกล่าวต่อ เพื่อคลายความสงสัยให้ฉีอวิ๋น
"บิดาทุกคนในโลกนี้ ล้วนปรารถนาให้บุตรชายบุตรสาวมาอยู่ข้างกาย ฮ่องเต้ทรงเป็เ้าแผ่นดิน นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง ผู้คนล้วนหมอบกราบให้ความเคารพ แต่จะมีใครรู้ว่าในพระทัยของพระองค์เปลี่ยวเหงาเพียงใด ดังนั้นสิ่งที่พระองค์้าก็คือความรักของคนในครอบครัว หากหวางเหย่มีเวลาว่างก็ไปเยี่ยมฮ่องเต้บ่อยๆ พระองค์จะต้องซาบซึ้งพระทัยอย่างแน่นอน"
ฉีอวิ๋นฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมากทีเดียว ไม่คิดว่าจวินหวงจะสามารถแก้ไขปัญหาที่บั่นทอนจิตใจของตนเองมาเนิ่นนานได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ด้านหนึ่งเขาคิดว่าจวินหวงเป็ยอดกุนซือที่หาได้ยากยิ่ง แต่อีกด้านก็คิดว่าหลายปีก่อน องค์หญิงที่เขารู้จักคนนั้นเป็เพียงองค์หญิงที่เป็ที่รักของประชาชนนับหมื่น แล้วนางกลายมาเป็สตรีเ้าแผนการเช่นตอนนี้ได้อย่างไร
จวินหวงเหลือบตาขึ้นมอง เห็นฉีอวิ๋นกำลังดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิด สายตาของเขาวนเวียนอยู่ที่ตัวนางตลอดเวลา รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของนาง สิ่งที่ฉีอวิ๋นคิดนางย่อมกระจ่างใจดี แต่ความทุกข์ทรมานใจนับร้อยพันประการจะพูดออกมาให้หมดสิ้นได้อย่างไร นางจึงเพียงแค่ยิ้มกลบเกลื่อนเอาไว้เท่านั้น
"วันนี้ยังมีเวลาเหลืออยู่มาก พวกเรามาดื่มกันสักหน่อยเป็อย่างไร?" จวินหวงเห็นบรรยากาศตึงเครียดมากจึงกล่าวเสนอขึ้น
"ไม่ได้" หนานสวินปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด เขาจำได้ว่าในร่างกายของจวินหวงยังมีพิษตกค้าง ท่านหมอเคยบอกไว้ว่านางไม่ควรดื่มสุรา ยิ่งไปกว่านั้นสุราก็เป็สิ่งที่ทำลายสุขภาพอยู่แล้ว
ในตอนนั้นฉีอวิ๋นลุกขึ้นยืน เขาลูบๆ รอยย่นบนเสื้อผ้าให้เรียบ แล้วประสานมือคำนับจวินหวงและหนานสวิน "น่าเสียดายจริงๆ บังเอิญว่าข้ามีธุระเล็กน้อยที่ต้องกลับไปจัดการ วันนี้ต้องขอตัวกลับก่อน" กล่าวจบเขาก็ค่อยๆ ถอยกลับออกไป
...
ในระหว่างทางกลับวัง ฉีอวิ๋นรู้สึกอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่างกาย เขาจึงไปที่สุสานหลวงนั่งคุยกับพระมารดาที่ล่วงลับไปแล้วอยู่พักใหญ่ ความกดดันในใจถึงค่อยผ่อนคลายลงมามาก
เมื่อเดินมาถึงห้องทรงงานของฮ่องเต้ ขันทีที่อยู่งานปรนนิบัติองค์ฮ่องเต้เห็นฉีเฉิน ก็วิ่งเข้ามาถวายบังคม ฉีอวิ๋นโบกมือเบาๆ ให้เขาลุกขึ้นไม่ต้องมากพิธี แล้วถามเบาๆ "เสด็จพ่อยังไม่พักผ่อนอีกหรือ?"
ขันทีส่ายหน้า "นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่บ่าวไปเกลี้ยกล่อมอยู่นาน แต่ก็ไร้ประโยชน์ องค์ชายสี่ก็ทรงทราบ ที่เราเห็นๆ ว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง แต่แท้จริงแล้วทรงพระกาสะอย่างหนักทุกคืน บ่าวรู้สึกร้อนใจเป็กังวลยิ่งนัก"
ฉีอวิ๋นก้มศีรษะลงครุ่นคิด บังเอิญในเวลานั้นบ่าวที่ทำหน้าที่ยกพระโอสถมาถวาย เดินเข้ามาพอดี ฉีอวิ๋นนึกถึงคำพูดเ่าั้ของจวินหวงเมื่อตอนกลางวันได้ จึงตรงเข้าไปรับชามพระโอสถมา จากนั้นก็คุยกับขันทีสองสามคำก่อนจะผลักประตูเข้าไปในตำหนัก
ฮ่องเต้กำลังก้มพระพักตร์อ่านฎีกาบนโต๊ะ เมื่อได้ยินเสียงเท้าเดินก็นึกว่าขันทีเดินเข้ามา จึงไม่ได้สนพระทัยมากมาย จนกระทั่งได้กลิ่นยาจึงเงยพระพักตร์ขึ้น กลับพบว่าที่แท้คนที่มาปรนนิบัติคือฉีอวิ๋น พระโอรสของพระองค์เอง
"อวิ๋นเอ๋อร์ เ้ามาได้อย่างไร?" พระขนงที่มุ่นขมวดอยู่คลายลงทันที ทรงมองฉีอวิ๋นด้วยรอยยิ้มเต็มพระพักตร์
ฉีอวิ๋นวางชามพระโอสถลงบนโต๊ะทรงพระอักษร คุกเข่าลง ประสานมือแล้วกล่าวว่า "ลูกมาเข้าเฝ้ายามดึก ไม่ได้กราบทูลเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่ออย่าได้ถือโทษ"
ฮ่องเต้ทรงถอนพระปัสสาสะ ลุกขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปหาฉีอวิ๋น ประคองให้เขายืนขึ้น ทรงตบมือของเขาเบาๆ "เ้ามาเยี่ยมเยียนเรา เราจะตำหนิเ้าได้อย่างไร?"
"เสด็จพ่อ แม้ว่าราชกิจแผ่นดินจะสำคัญ แต่พระองค์ก็ต้องดูแลพระพลานามัยด้วย หากประชวรขึ้นมาย่อมไม่ดีแน่" ฉีอวิ๋นกล่าวด้วยความเป็ห่วง
"เสด็จพ่อผู้นี้ของเ้าย่อมรู้จักขอบเขตของตนเองดี" ฮ่องเต้จูงมือของฉีอวิ๋นให้มานั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง กระดานหมากบนโต๊ะยังไม่ได้เก็บ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงหมากกับใต้เท้าท่านใด ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายคงจะเสมอกัน
สองคนพ่อลูกนั่งคุยกันอยู่นาน ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงรำพันออกมาอย่างหดหู่ "ตอนนี้ในบรรดาโอรสทั้งหมดของเรา ก็มีเ้าที่ใกล้ชิดเราที่สุด"
"ไยเสด็จพ่อจึงกล่าวเช่นนั้น เสด็จพี่รองก็ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อเสมอมาอยู่มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? หลายวันมานี้เสด็จพี่รองก็สามารถแบ่งเบาราชกิจของเสด็จพ่อได้ อีกหน่อยเสด็จพ่อก็ไม่จำเป็ต้องทรงงานหนักเช่นนี้อีกแล้ว" ฉีอวิ๋นกล่าวเรียบๆ แต่ในน้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยเป็ธรรมชาติเท่าไรนัก ฮ่องเต้ทรงเป็คนมีความคิดละเอียดอ่อน มีหรือจะฟังไม่ออก
แต่พระองค์ก็ไม่ได้คาดเดาความนัยจากคำพูดของฉีอวิ๋นมากมายนัก ทรงคิดว่าเขาคงจะรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมในการจากไปของพระมารดาของตนเอง พระองค์ทรงถอนพระปัสสาสะ แล้วกุมมือของฉีอวิ๋นเอาไว้ "ไยเราจะไม่รู้ว่าเฉินเอ๋อร์ไปวิ่งเต้นเข้าหาบรรดาขุนนางใหญ่ทุกวัน แต่เขากลับไม่สามารถมาหาเราบ่อยๆ เหมือนกับเ้าได้ และเขาก็แต่งงานแล้วด้วย"
...
หลังจากฉีอวิ๋นจากไปไม่นาน จวินหวงก็คิดว่าตนเองควรจะกลับได้แล้ว หากอยู่ข้างนอกนานเกินไป เกรงว่าฉีเฉินจะสงสัยเอาได้ จึงลุกขึ้นตัดสินใจกลับ
หนานสวินเห็นนางจะไปแล้วก็ลุกขึ้นเช่นกัน เขากระแอมเบาๆ แล้วกล่าวอย่างหน้าตาย "อย่างไรก็ทางเดียวกันอยู่แล้ว ข้าจะส่งเ้ากลับเอง" พูดจบก็เดินออกไปเลย โดยไม่รอให้จวินหวงตอบกลับ จวินหวงรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ในเมื่อไม่มีทางเลือก จึงได้แต่ตามออกไป
ผู้คนในเมืองหลวงมากมาย รถม้าควบตะบึงอยู่บนถนนไม่ขาดระยะ หนานสวินมองเห็นรถม้าของคนตระกูลมั่งคั่งสูงส่งเ่าั้วิ่งกันอย่างเหิมเกริม ฮ่องเต้ทรงเคยสั่งห้ามรถม้าส่วนตัววิ่งบนถนนสายสำคัญของเมืองหลวง แต่คนเหล่านี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามอย่างจริงจังเลยสักนิด
ม้าควบตะบึงผ่านพาเอาฝุ่นละอองคลุ้งตลบไปทั่ว หนานสวินกลัวว่ารถม้าที่ควบขับอย่างรวดเร็วเหล่านี้จะพลาดพลั้งมาชนจวินหวง จึงเดินออกมาอยู่ด้านนอกอย่างเงียบๆ แล้วกันจวินหวงเข้าไปชิดด้านใน
สิ่งที่เขาทำย่อมอยู่ในสายตาของจวินหวง เพียงแต่นางยังไม่ประสีประสาด้านความรัก จึงคิดว่าหนานสวินปฏิบัติเช่นนี้ก็เป็ธรรมชาติที่สุภาพบุรุษพึงกระทำอยู่แล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
พวกเขาสองคนคุยกันอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มบางๆ ระบายอยู่บนใบหน้าของจวินหวง ทั้งคู่ต่างมีเื่สนุกๆ มาเล่าสู่กันฟังไม่หยุดปาก หนานสวินก็เล่าเื่ราวปลีกย่อยมากมายในระหว่างที่เขาการเดินทางไปออกรบให้จวินหวงฟัง
ในมโนของจวินหวงปรากฏภาพควันไฟในทะเลทรายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ราวกับว่าหลับตาลงก็ได้ยินเสียงโลหิตที่ไหลวนอยู่ในร่างกายของวีรบุรุษผู้กล้า นางคิดว่าผู้คนที่เคยสังหารข้าศึกในสนามรบเ่าั้ ก็คงจะมีลักษณะเหมือนกับหนานสวินเช่นนี้กระมัง แสงที่ส่องประกายในดวงตาของเขาเจิดจ้าจนมิอาจมองข้ามได้เลย
แต่พวกเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าในท่ามกลางฝูงชน มีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องพวกเขาอยู่ นั่นคือพ่อบ้านในจวนเฉินอ๋อง ซึ่งนับว่าเป็คนสนิทคนหนึ่งของฉีเฉิน ตลอดเวลาที่ผ่านมาใครไม่รู้บ้างว่าฉีเฉินไม่ค่อยลงรอยกับหนานสวินนัก เมื่อเขาเห็นจวินหวงกับหนานสวินเดินไปคุยไปหัวเราะไปอยู่ด้วยกัน ฉับพลันก็รู้สึกว่าเื่นี้ไม่ธรรมดา จึงเลี้ยวไปใช้เส้นทางลัดกลับจวนอ๋อง
ตอนนั้นฉีเฉินหน้าตึงเดินออกมาจากเรือนพอดี พ่อบ้านมองเข้าไปด้านหลัง ก็เห็นเว่ยหลานอิ๋งนั่งน้ำตานองหน้าอยู่บนเก้าอี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทะเลาะกันอีกแล้ว
"มีเื่อะไรถึงได้ดูลุกลี้ลุกลนเช่นนี้?" ฉีเฉินมุ่นคิ้วถามขึ้น เมื่อเห็นพ่อบ้านมีท่าทางรีบร้อนเดินเข้ามา โดยไม่สนใจเว่ยหลานอิ๋งที่ยังร้องไห้กระซิกๆ อยู่ด้านหลังโดยสิ้นเชิง
พ่อบ้านเข้ามาใกล้ฉีเฉินแล้วกล่าวเบาๆ "เมื่อครู่บ่าวออกไปข้างนอก เห็นคุณชายเฟิงที่ถนนหลักด้านหน้า เขาเดินอยู่กับท่านหนานสวินอ๋อง ท่าทางสนิทสนมกันมากเลยขอรับ"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉีเฉินยิ่งดูไม่ได้ เขาหันกลับมาถลึงตาใส่เว่ยหลานอิ๋งอย่างรุนแรง นางใจนตัวสั่น ลืมเื่ร้องไห้ไปสิ้น ลุกขึ้นยืนเอามือปิดหน้าแล้ววิ่งออกไป
เว่ยหลานอิ๋งกลับไปยังเรือนของตน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วสะบัดมือตบสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังของตนเองไปทีหนึ่ง สาวใช้ถูกนางตบจนหูชาวิ้ง ลงไปคุกเข่าน้ำตาไหลพราก
"พวกไร้ประโยชน์" เว่ยหลานอิ๋งกล่าวด้วยน้ำเสียงรุนแรง
ที่แท้วันนี้เว่ยหลานอิ๋งให้สาวใช้ไปเฝ้าอยู่หน้าประตู นางไม่ได้พบฉีเฉินนานแล้ว รู้สึกคิดถึงเขามาก หลังจากหวีผมแต่งตัวเสร็จก็รอสาวใช้กลับมาแจ้งข่าว ไม่นานนักสาวใช้ก็มาบอกว่าฉีเฉินกลับมาแล้ว นางจึงรีบไปหาด้วยความดีใจ
ใครจะรู้ว่าจะพบกับหนานกู่เยว่ที่เข้าวังไปถวายพระพรฮ่องเต้และพระสนมกุ้ยเฟยพร้อมกับฉีเฉินเข้าพอดี นางอดใจไม่ไหวเข้าไปพูดจาเสียดสีประชดประชัน หนานกู่เยว่เดิมทีก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาล้ำเส้นได้ง่ายๆ ตอนนั้นจึงได้โต้เถียงกันอย่างดุเดือด
ในระหว่างที่มีปากเสียงกันก็เลี่ยงไม่ได้ที่ร่างกายจะปะทะกันบ้าง นางผลักหนานกู่เยว่ไปทีหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ หากไม่ใช่ว่าฉีเฉินเข้ามาประคองไว้ทัน โทษทัณฑ์ของนางคงจะยิ่งหนักกว่านี้
ตอนนั้นฉีเฉินตบหน้านางทีหนึ่ง แล้วให้คนพาหนานกู่เยว่กลับไปที่ห้อง เว่ยหลานอิ๋งก็ลำเลิกถึงเื่ที่นางช่วยเขาขึ้นเป็รัชทายาทอีกเช่นเคย ยิ่งเป็การยั่วโทสะฉีเฉินเพิ่มขึ้นไปอีก เขาสะบัดหลังมือตบเว่ยหลานอิ๋งอีกครั้ง ทั้งยังคาดโทษเอาไว้ บอกให้นางอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวไปดีๆ มิเช่นนั้นเขาจะหย่ากับนางจริงๆ
ทางด้านจวินหวงกำลังร่ำลาหนานสวินอยู่นอกประตู พวกเขายืนอยู่ใต้ต้นท้อ ดอกท้อทิ้งกลีบโปรยปรายลงมา ส่วนหนึ่งหล่นลงบนศีรษะของจวินหวง หนานสวินยื่นมือโอบเข้ามาด้านหลังช่วยนางดึงกลีบดอกท้อออกอย่างเป็ธรรมชาติ
จวินหวงแก้มแดงหน้าร้อนผ่าว เบี่ยงตัวหลบมือของหนานสวิน แล้วมองไปทางอื่น หนานสวินเห็นท่าทางขวยเขินของจวินหวงแบบนั้น รอยยิ้มที่ริมฝีปากก็ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ เขายื่นมือออกมาด้านหน้าให้นางดู
"ข้าแค่ช่วยเ้าดึงกลีบดอกท้อที่ติดอยู่บนศีรษะออกให้เท่านั้นเอง เ้าคิดว่าข้าทำกระไรหรือ?"
ยิ่งได้ยินหนานสวินพูดจาหยอกเย้าเช่นนั้น จวินหวงก็ยิ่งเขินหนักพวงแก้มแดงเรื่อกว่าเดิม นางผลักมือของหนานสวินออกแล้ววิ่งออกไป โดยไม่กล่าวคำร่ำลา
เมื่อนางเดินเข้าไปในจวนเฉินอ๋อง ก็เห็นฉีเฉินยืนอยู่ใต้ต้นอู๋ถง จวินหวงพยายามควบคุมสติอารมณ์ให้สงบนิ่ง รอจนความรู้สึกร้อนลวกบนใบหน้าคลายลงไปแล้ว จึงค่อยๆ เดินเข้าไปประสานมือคำนับ
"วันนี้ฝ่าพระบาทไม่ไปอยู่เป็เพื่อนพระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ? หรือกำลังชมบุปผาในสวนอยู่?"
ฉีเฉินหันกลับมาเห็นจวินหวง ในแววตาเต็มไปด้วยเ็า "ฮึ! เปิ่นหวางจะทำอะไรอยู่ที่นี่ หรือควรจะทำอะไรยังต้องให้เ้าชี้แนะด้วยหรือ? ช่างไม่ดูตนเองบ้างเลยว่าอยู่ในฐานะอะไร"
จวินหวงกลายเป็ใบ้ในบัดดล นางรู้สึกว่าฉีเฉินพาลโมโหอย่างไร้เหตุผล อยากจะร้องไห้ในความไม่ยุติธรรมที่ได้รับแต่ก็ร้องไม่ออก "ฝ่าพระบาทเจอเื่ที่ทำให้ขุ่นเคืองพระทัยมาใช่หรือไม่? หากไม่รังเกียจก็บอกผู้น้อยมาเถิด ผู้น้อยยินดีช่วยฝ่าพระบาทคลายความกลัดกลุ้ม"
แต่แล้วความคิดในอีกรูปแบบหนึ่งก็พลันผุดขึ้นในใจ "หรือว่า... สาเหตุที่ฝ่าพระบาทอารมณ์ไม่ดีมาจากผู้น้อย?"
ฉีเฉินหันมามองจวินหวงเต็มตา แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะด้านข้าง เขาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วค่อยกล่าวเสียงเรียบ "เมื่อครู่พ่อบ้านออกไปข้างนอก พอกลับมาก็เล่าเื่หนึ่งให้เปิ่นหวางฟัง เื่นั้นทำให้เปิ่นหวางรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก" เขาบีบถ้วยชาในมือ สายตาเหล่มองมาที่จวินหวง คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของนาง
จวินหวงหลุบตาลงคิดดูก็รู้ว่าพ่อบ้านอาจจะเห็นนางกับหนานสวิน แต่นางก็ไม่รู้ว่าเขารายงานอะไรกับฉีเฉินบ้าง ชั่วระยะเวลาหนึ่งนางจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร ได้แต่หยั่งเชิงถามอย่างระมัดระวัง
"ไม่ทราบว่าเื่กระไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
