เมื่อต้องเตรียมการเปิดร้าน เื่ทุกอย่างย่อมต้องทำไปพร้อมกัน
หลังผ่านวันปีใหม่ บรรยากาศในรั้วมหาวิทยาลัยก็ตึงเครียดขึ้นกว่าเดิม เวลาทบทวนบทเรียนของสมาชิกในหอพักก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ คนส่วนใหญ่ยังเคยชินกับนิสัยการเรียนในสมัยมัธยมปลาย สอบติดหัวชิงแล้วไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง คนรอบกายต่างพยายามกันหมด ดังนั้นจะมีใครกล้าี้เีบ้าง?
ภาระหน้าที่ทางการเรียนนั้นสำคัญมาก สอบปลายภาคของเทอมแรก ไม่มีใครอยากได้คะแนนไม่ดี
ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ตนไม่ได้ละเลยด้านการเรียน เวลาเข้าเรียนไม่เคยนั่งเหม่อ เวลาทบทวนบทเรียนเธอไม่เคยแอบอู้ มิเช่นนั้นเธอคงลำบากมากกว่านี้อย่างแน่นอน คนอื่นทบทวนบทเรียนเธอเองก็ต้องทำ มิหนำซ้ำยังต้องไปติวเข้มภาษาอังกฤษเพิ่มอีกด้วย!
กำหนดการจัดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศชนกับการสอบปลายภาคของหัวชิงพอดี โดยวันสอบปลายภาคของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้นไม่ต่างกันมากนัก ไม่รู้ว่านักศึกษาต่างถิ่นจะทำอย่างไร เพราะพวกเขายังต้องเร่งเดินทางมาแข่งขันที่ปักกิ่งด้วยน่ะสิ
พอคิดเช่นนี้แล้ว ความเหนื่อยล้าของเซี่ยเสี่ยวหลานก็หายไป
คังเหว่ยออกเดินทางจากปักกิ่งไปหลายวันแล้ว ตอนนี้ยังไม่ส่งข่าวมา ไม่รู้ว่าเื่โจวเฉิงจะมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง
เซี่ยเสี่ยวหลานเผลอใจลอยโดยไม่รู้ตัว
“น้องหก เธอนอนไม่พอใช่ไหม ใต้ตาของเธอคล้ำเชียว!”
ซูจิ้งพูดจบก็หาวออกมา
เซี่ยเสี่ยวหลานใช้น้ำเย็นล้างหน้า รู้สึกสดชื่นขึ้นมาภายในชั่วพริบตา
“พวกเธอก็เหมือนกันมิใช่หรือ เมื่อคืนใครเปิดไฟฉายอ่านหนังสือ ไม่กลัวสายตาเสียหรืออย่างไรกัน”
แส้ล่องหนกำลังหวดเด็กสาวห้อง 307 หรือกล่าวได้ว่าแส้นี้กำลังหวดเหล่าหนุ่มสาวทุกคนของยุค 80 การปล่อยเวลาให้สูญเปล่าเป็เื่ไม่น่าให้อภัย คนหนุ่มสาวในยุคนี้ล้วนยุ่งอยู่กับการพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่แค่สมาชิกห้อง 307 เท่านั้น เด็กทั้งหัวชิง รวมถึงคนอื่นอีกมากมายนอกหัวชิง มีใครบ้างไม่พยายาม
นักเขียนคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า นี่คือยุคสมัยที่ดีที่สุด และคือยุคสมัยที่เลวร้ายที่สุดด้วยเช่นกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นด้วยเป็อย่างยิ่ง โดยเฉพาะ่ยุค 80 ขอแค่เพียรพยายามก็จะได้รับผลตอบแทน สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตตัวเองได้ เนื่องจากไม่มีเกมคอมพิวเตอร์มาทำลายความมุ่งมั่นของเด็กมหาลัย ไม่ว่าชายหรือหญิง สถานที่ที่ไปได้ก็คือห้องเรียน ห้องสมุด ห้องทบทวนบทเรียน และสนามกีฬา เข้าชมรมต่างๆ ได้ทำกิจกรรมด้านศิลปะ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็พลังบวกและสร้างความก้าวหน้า ผู้คนต่างพากันพูดคุยเื่อนาคตอย่างมีความฝัน
สภาพแวดล้อมทางสังคมก็ดี ไม่มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจำนวนมากเหมือนในอนาคต
อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่พยายามก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว แม้แต่อากาศของปักกิ่งยังสดชื่น ฤดูใบไม้ผลิมีพายุทรายมาเยือนบ้างหาใช่เื่ใหญ่อะไร ่เช้าของฤดูหนาวก็มีแค่หมอก ไม่มีฝุ่นควันเหมือนในอนาคต!
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดแล้วก็หลุดขำออกมา ซูจิ้งกับโจวลี่ิ่ลอบสบตากัน เสี่ยวหลานบ้าไปแล้ว การแข่งขันภาษาอังกฤษคงทำให้เธอกดดันมากสินะ!
“น้องหก รักษาสุขภาพด้วยนะ”
“นั่นน่ะสิ ไม่ต้องพยายามขนาดนั้น...”
เซี่ยเสี่ยวหลานแปลกใจ “ทุกคนก็พยายามกันทั้งนั้นมิใช่หรือ?”
เปล่าสักหน่อย ไม่มีใครเดี๋ยวทำหน้ากลุ้ม เดี๋ยวก็ยิ้มออกมาแบบเธอเลยสักคน
ไม่รู้ว่านี่เป็โรคของคนมีความรักหรือเปล่า ในห้อง 307 นอกจากเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว อีกเจ็ดคนที่เหลือยังคงสถานะภาพโสดไว้ พวกเธอย่อมอยากรู้อยากเห็นเื่การมีแฟนมาก แต่ก็ไม่กล้าลองัักับความรู้สึกนี้ด้วยตัวเองแม้แต่คนเดียว
แน่นอนว่าพวกเธอย่อมมีนักศึกษาชายเข้าหา ทว่าเด็กปีหนึ่งส่วนใหญ่ยังไม่กล้า ต่างจากพวกรุ่นพี่ชั้นปีสูงๆ ที่หน้าค่อนข้างหนา สถานที่ที่มีผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิงอย่างหัวชิง รุ่นพี่จะจีบรุ่นน้องถือเป็เื่ธรรมดา
มีรุ่นพี่ปีสามคนหนึ่งตามจีบสาวอ่อนหวานประจำห้องอย่างเฉินอีอีอย่างไม่ลดละ
เขาบอกว่าตนไม่ชอบผู้หญิงเสียงดัง ชอบคนอ่อนโยนแบบเฉินอีอี ผู้หญิงอ่อนโยนอาจจะไม่สะดุดตาเหมือนผู้หญิงที่กล้าแสดงออก แต่กลับเป็ดั่งธารน้ำบริสุทธิ์ที่ยิ่งรู้จักก็ยิ่งดึงดูดใจ
แน่นอนว่าเฉินอีอีไม่รับรักเขา ทว่าเื่นี้ก็มิวายถูกใช้เป็เครื่องมือทำลายความเครียดของชาวห้อง 307
เวลากดดันมากๆ ถ้าไม่ล้อเล่นสักหน่อย บรรยากาศในหอพักจะตึงเครียดเกินไป
เซี่ยเสี่ยวหลานนั้นรู้สึกเหนื่อยกว่ายิ่งกว่าพวกเธอ เพราะมีเื่ให้ต้องคิดมากมาย ทังหงเอินบอกว่าความคิดความอ่านของเธอไม่เหมือนเด็กนักศึกษาคนอื่น เซี่ยเสี่ยวหลานยอมรับ เพราะจะให้เธอพุ่งสมาธิไปกับการเรียนแบบพวกซูจิ้งคงไม่ได้
อยากเก่งกว่าคนอื่น อยากมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่น อยากเหยียบคนที่ดูถูกเธอให้อยู่แทบเท้า ก่อนอื่นเซี่ยเสี่ยวหลานต้องทำให้ตนเป็ดั่งูเาสูงที่มองไม่เห็นปลายยอด ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ การต่อสู้ย่อมไม่มีวันสิ้นสุด!
ไม่ทันไร หลิวหย่งก็พากงหยางมาที่ปักกิ่ง
เซี่ยเสี่ยวหลานมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสองร้าน ดังนั้นหลิวหย่งย่อมให้ความสำคัญกับการตกแต่งร้านสองแห่งนี้เป็ลำดับแรก
ตอนนี้กงหยางกลายเป็สถาปนิกของ ‘หย่วนฮุย’ แล้ว ถ้าเขาไม่มาแล้วใครจะมากัน
งานตกแต่งภายในทำแล้วรู้สึกภาคภูมิใจ พื้นที่ขาวโล่ง กงหยางอยากตกแต่งอย่างไร ไม่มีลูกค้าคนไหนบอกว่าไม่ชอบ มีแต่ได้รับคำชม นั่นยิ่งทำให้เขามีแรงทำงาน! อีกอย่างหลิวหย่งก็้เป็คนใจกว้าง โดยให้ค่าจ้างต่อการออกแบบหนึ่งงาน พอกงหยางได้ยินว่ามีงานเข้ามาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก
คราวก่อนที่เซี่ยเสี่ยวหลานเจอกับลุงคือที่เผิงเฉิง แน่นอนว่าเธอรู้สึกคิดถึงเขามาก
หลิวหย่งงานรัดตัวเหลือเกิน แม้เขาจะเป็เถ้าแก่แล้วทว่ายังคงผ่ายผอมเหมือนเดิม ครั้งนี้เขาเดินทางมาตกแต่งร้านให้เซี่ยเสี่ยวหลาน คนที่เป็เ้านายอย่างเขายังคงแต่งตัวอย่างขอไปที
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกที่อยู่กับหลิวหย่งเสร็จสรรพ และให้กุญแจร้านทั้งสองแห่งกับเขา หลิวหย่งพากงหยางไปวัดพื้นที่ ด้วยความที่พวกเขารับงานมาแล้วมากมาย จึงทำงานเข้าขากันได้ดียิ่งขึ้น
เซี่ยเสี่ยวหลานเอาแบบร่างที่ตนวาดไว้ยามว่างมาให้กงหยางดู ในส่วนของรายละเอียดอื่นๆ ยังคงต้องให้กงหยางช่วยทำให้สมบูรณ์แบบ
กงหยางชมเปราะ
“ตกแต่งเสร็จเมื่อไร ที่นี่จะเหมือนร้านอัญมณีที่นางเอกของเื่《นงเนาว์นิวยอร์ค [1] 》ใฝ่ฝันเลยล่ะ”
“ยังห่างชั้นจากหน้าร้านทิฟฟานีอีกมาก ที่นั่นคือตัวแทนของคำว่าฟุ่มเฟือย... แต่จะพูดแบบนี้ก็ไม่ผิด ฉันอยากได้ร้านแบบนั้นจริงนั่นแล ลูกค้าผู้หญิงที่เดินผ่านหน้าร้านไปมา พอเห็นเสื้อผ้าแฟชั่นด้านในจะต้องอยากเข้ามาดู”
《นงเนาว์นิวยอร์ค》เป็ภาพยนตร์ที่ถ่ายทำ่ปี 1961 ย่อมไม่ได้เข้าฉายในประเทศจีน นักศึกษาด้านศิลปะอย่างกงหยางจะแอบดูหนังประเภทนี้บ้างก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไร เดิมทีศิลปะก็เป็สิ่งที่ต้องใช้อารมณ์ร่วมอยู่แล้ว ดังนั้นภาพยนตร์จึงนับว่าเป็อาหารทางสายตา และเป็ศิลปะแขนงหนึ่ง
งบการตกแต่งมีแค่ไม่กี่หมื่นหยวน หาใช่หลายหมื่นดอลลาร์สหรัฐ เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าคงทำหน้าร้านให้หรูหราเหมือนร้านทิฟฟานีไม่ได้ และเธอก็ไม่้าทำให้มันหรูหราขนาดนั้น แค่อยากได้ความรู้สึกแบบเดียวกัน ทำให้คนหยุดมองก็พอ
ทิฟฟานีคือร้านที่แม้แต่สาวสังคมชั้นสูงอย่างฮอลลีซึ่งเป็นางเอกของเธอยังทำได้แค่มองผ่านกระจก
แบรนด์ Luna อยากเป็แบรนด์เสื้อผ้าสตรีชั้นสูงในประเทศจีน ก็ต้องทำให้คนััถึงความเหนือชั้น แต่ไม่ควรทำให้เหล่าลูกค้ารู้สึกใจนไม่กล้าเข้ามาเดินในร้าน งบตกแต่งไม่กี่หมื่นหยวนกำลังพอดี ทว่าหาก้าตกแต่งให้เหมือนร้านแบรนด์เนมจริงๆ เงินหลายหมื่นดอลลาร์ยังไม่พอให้เซี่ยเสี่ยวหลานใช้ด้วยซ้ำ
การร่างแบบเป็งานของกงหยาง หลิวหย่งดูแลแค่การเสนอราคา
“สองเดือนงานตกแต่งจะเสร็จสิ้น ทั้งสองร้านเริ่มตกแต่งพร้อมกัน ในเมื่อคุยเื่งานกันเสร็จแล้ว ตอนนี้ลุงอยากคุยเื่ส่วนตัวกับหลานบ้าง ร้านที่ซางตูจะยกให้ป้าสะใภ้ย่อมได้ แต่ถ้าอยากให้ลุงกับป้าสะใภ้ของหลานรับมันมาอย่างสบายใจ หลานจะต้องเห็นด้วยกับวิธีการของลุง หลานว่าร้านเสื้อผ้าที่ซางตูมีมูลค่าเท่าไร ขายสักสองแสนยังมีคนซื้อเลยใช่ไหม ทว่าถ้าหลานอยากได้เงินสดสองแสนตอนนี้ลุงคงให้หลานทันทีไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเงินปันผลจากการขายเสื้อผ้าฤดูหนาว ในส่วนของป้าสะใภ้หลานรับไปก่อนแล้วกัน!”
เงินปันผลคงได้หลายหมื่น ส่วนที่ยังขาดอยู่หลิวหย่งจะหามาเพิ่มให้
เชิงอรรถ
[1] ภาพยนตร์ดังปี 1961 สร้างมาจากนวนิยายชื่อเื่ภาษาอังกฤษว่า Breakfast at Tiffany's
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้