อันเจิงไม่ได้รอในหน่วยทหารนานนัก แต่เขาก็ไม่ได้พบกับผู้ดูแลสำนักวรยุทธ์ของหน่วยทหารเช่นกันเมื่อวานตอนเจอหวังไคไท่ เขาบอกว่าเฉินไจ่เหยียนรองเ้ากรมของหน่วยทหารจะมาพบเขาด้วยตัวเองห่าวผิงอันจากไปเพียงไม่นาน ก็มีชายสวมเครื่องแบบเดินมาหาอันเจิงและตู้โซ่วโซ่วที่สวนดอกไม้จากนั้นก็พาทั้งสองไปรายงานตัวที่สำนักวรยุทธ์
จริง ๆ แล้วอันเจิงกับเพื่อนยังมีทางเลือกอีกมากในเมืองฟางกู้มีสำนักมากมายนับไม่ถ้วน และต่างก็มีเื้ัคอยหนุนอยู่ทั้งนั้นนอกจากสำนักเหล่านี้ ก็ยังมีสำนักที่เปิดโดยคนของทางการ หนึ่งในนั้นที่มีชื่อเสียงมากก็คือสำนักต้าติงที่เปิดขึ้นโดยตระกูลเชื้อพระวงศ์ยังมีสำนักจื่อเต้า สำนักหนิงเยี่ยน สำนักชิงหลิง และสำนักไท่ซ่างเต้า ที่เปิดโดยหน่วยจัดการสำนักและสุดท้ายคือสำนักวรยุทธ์ชางที่เปิดโดยหน่วยทหาร
แต่ถึงกระนั้นอันเจิงก็เลือกเข้าสำนักวรยุทธ์ชางของหน่วยทหารฉะนั้นตู้โซ่วโซ่วกับเพื่อน ๆ จึงไม่มีทางที่จะเลือกเข้าสำนักอื่นแน่นอน
ศิษย์ที่ไม่มีฐานะมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เข้าร่วมเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงความเป็จริงแล้วถือว่าเป็ความฝันที่เลือนรางเลยก็ว่าได้เพราะเทศกาลใบไม้ร่วงจะมีคนมากพร์เฉิดฉายออกมา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมาจากสำนักต่างๆ ทุกคนต่างรู้ดี คนที่ชนะการแข่งขันในเทศกาลนี้ก็จะถูกเรียกไปรับใช้ราชสำนัก ฉะนั้นจึงไม่มีสำนักไหนที่จะทิ้งความโลภนี้ไปได้เมื่อคนจากสำนักตัวเองได้ทำงานในราชสำนัก ก็จะมีผลประโยชน์ตามมาอีกมากมาย
เริ่มแรกเทศกาลฤดูใบไม้ร่วงเป็เพียงพิธีการที่ไม่ได้วุ่นวายมากแต่เป็เพราะเหล่าผู้มากพร์ หลังจากที่ถูกคัดเลือกเข้าไปในราชสำนักแล้วต่างก็ได้ทำประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างมาก ฉะนั้นต่อมาราชสำนักและหน่วยงานต่าง ๆจึงเริ่มให้ความสำคัญกับเทศกาลนี้มากขึ้น
เพราะบ้านเมืองมีการทำาอย่างต่อเนื่องไม่เพียงแต่หน่วยทหารเท่านั้นที่ขาดทรัพยากรมนุษย์ แต่ทุกหน่วยก็ขาดทรัพยากรเหมือนกันเมื่อได้เข้าไปอยู่ในหน่วยทหารและสร้างผลงานในสนามรบได้ก็จะได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว
แม่ทัพที่พาอันเจิงไปสำนักวรยุทธ์ชางมีชื่อว่าฟางเต้าจือเขาอายุยังไม่มากนัก น่าจะประมาณยี่สิบหกถึงยี่สิบเจ็ดปี แต่ชุดเกราะที่เขาใส่อยู่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเขาเป็ถึงแม่ทัพอินทรีเหล็กระดับสี่
“สำนักวรยุทธ์ชางไม่เคยรับคนไร้ความสามารถและยิ่งไม่รับคนที่เข้าโดยใช้เส้นสาย”
ฟางเต้าจือดูเ็าและสุขุม เมื่อเขาเอ่ยปากพูดอะไรออกมาก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของคนฟังเท่าไหร่นัก
“ฉะนั้น...ข้าไม่ได้รู้สึกดีหรือรู้สึกอะไรกับพวกเ้าเลยสักนิด”
ฟางเต้าจือหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองอันเจิงและตู้โซ่วโซ่ว“พวกเ้าน่าจะรู้ดี วิธีง่ายที่สุดที่จะทำให้เข้าสำนักวรยุทธ์ชางได้คืออะไรเพื่อเข้าสำนักวรยุทธ์ชาง เด็กอายุน้อยพวกนั้นไปอยู่แถบชายแดนฆ่าฟันและต่อสู้กับศัตรูนับไม่ถ้วนเมื่อฆ่าศัตรูจนมีผลงานถึงได้รับการสนับสนุนจากหน่วยทหารแถบชายแดนและเพื่อความฝันนี้ ในหนึ่งร้อยคนก็เป็ไปได้ว่าอาจไม่มีใครทำมันสำเร็จเลยสักคนเหตุผลใหญ่ที่ไม่สามารถทำได้เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะพวกเขายังไม่ทันสร้างผลงานได้ก็ต้องมาตายเสียก่อน”
“ข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไรพวกเ้าถึงถูกรับเข้าสำนักโดยไม่ได้แสดงความสามารถก่อนแต่ข้าก็ยังเชื่อว่าหน่วยทหารยุติธรรมเสมอ และเชื่อว่าสำนักวรยุทธ์ชางก็ยุติธรรมเช่นกันฉะนั้นข้าได้แต่บอกตัวเองให้เชื่อว่าพวกเ้าทั้งสองคงมีความสามารถอยู่แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็ยังรู้สึกว่าพวกเ้าก็ไม่ต่างกับขโมยพวกเ้าขโมยโอกาสของเด็กคนอื่นที่กำลังใช้ชีวิตแลกมันมา”
เขาหันหลังกลับ “ข้าพูดจบแล้วพวกเ้าฟังแล้วอาจจะรู้สึกไม่พอใจ แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญเพราะข้าไม่ได้อยากให้พวกเ้ามาชอบข้า แล้วข้าก็ไม่คิดจะชอบพวกเ้าด้วย”
อันเจิงที่เดินตามหลังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าไม่ได้ขโมยโอกาสพวกนั้น แต่จะแย่งมันมาต่างหาก”
ฟางเต้าจือหยุดลงอีกครั้งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน“เช่นนั้นข้าก็หวังว่าพวกเ้าจะสามารถแย่งมาได้อย่างยิ่งใหญ่และเปิดเผย”
อันเจิงหยุดนิ่ง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่เข้าสำนักวรยุทธ์ชางแล้ว”
ฟางเต้าจือขมวดคิ้ว “เ้าน่าจะรู้ดี...ขัดขืนคำสั่งทหารต้องรับโทษอย่างไร”
อันเจิงหมุนตัวกลับ“ข้าไม่รู้ว่าต้องได้รับโทษอะไร แต่ข้าไม่ชอบให้ใครมากล่าวหาข้าลับหลังหากคนในหน่วยทหารยังไม่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของคนในหน่วยทหารด้วยกันเอง มันไม่ใช่ความรุนแรงหรือความเืเย็นของท่านแต่มันคือความหยิ่งทะนงต่างหาก ข้าจะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะคนบางคน ถึงแม้คนนั้นจะเป็แม่ทัพอินทรีเหล็กระดับสี่ก็ตามแต่ที่ข้าไม่เข้าสำนักวรยุทธ์ชางตอนนี้เพราะท่านบอกว่ามีหลายคนใช้ชีวิตแลกโอกาสนี้มา เช่นนั้นข้าจะเข้าร่วมการแข่งขันแล้วหากข้าเข้าสำนักวรยุทธ์ชางได้ด้วยความสามารถตัวเองเมื่อใด เชื่อว่าถึงเวลานั้นท่านคงจะเงียบได้สักที”
เขาเดินไปพลางพูด“หากพวกเราใช้เส้นสายเข้าสำนักอย่างที่ท่านพูดคิดว่าแบบนั้นก็คงไม่ดีต่อท่านแม่ทัพเหมือนกัน”
ฟางเต้าจือขยับตัวขวางอันเจิงอย่างรวดเร็วในแววตาะเิความโกรธออกมา “เ้ารู้ผลของสิ่งที่กำลังจะทำหรือไม่เ้ากำลังท้าทายกฎของหน่วยทหาร และกำลังขัดคำสั่งของหน่วยทหารด้วย”
อันเจิงตอบกลับอย่างจริงจัง “ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงตัดสินใจเข้าสำนักวรยุทธ์ชาง?ท่านคงคิดว่าข้าอยากยกระดับชีวิตตัวเองสินะ? ไม่เลยที่ข้าเข้าสำนักวรยุทธ์ชางก็เพราะอยากแสดงให้เห็นว่า คนที่ตายไปแล้วไม่ได้คิดผิดต่อให้จะไม่เข้าสำนักไหนเลยข้าก็มีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว แต่พี่น้องทหารแถบชายแดนไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตได้นอกจากการเข้าสำนักข้าสามารถแข่งขันกับพวกเขาได้อย่างเปิดเผยและแน่นอนว่าข้าไม่ได้ตั้งใจจะขโมยโอกาสของใคร”
ฟางเต้าจือไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่อันเจิงพูดมากนัก เพราะเขาก็ไม่ได้รู้จักเชียวจ่างเฉินสักเท่าไหร่เขาเป็หนึ่งในกลุ่มอัศวินเพลิงเหล็กที่ถูกเก็บตัวเอาไว้ในหน่วยทหารครั้งนี้ไม่ได้ลงไปทางใต้พร้อมกับเพื่อนทหารด้วย จึงทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่มในใจยิ่งมาเจออันเจิงแสดงสีหน้าแบบนี้อีก ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียขึ้นหลายเท่า
“เ้าทำแบบนี้ไม่กลัวข้าจะใช้กฎทหารฆ่าเ้าหรือ?”เขาถามขึ้น
“ถ้าท่านทำอย่างนั้นก็แสดงว่าท่านไม่คู่ควรกับหน่วยทหารและทำผิดต่อชุดอินทรีเหล็กที่ใส่อยู่ด้วย”
ฟางเต้าจือหัวเราะกลบความโมโห “ได้ เช่นนั้นข้าจะรอเ้าอยู่ที่สนามทดสอบอยากรู้เหมือนกันว่าเ้าจะมีความสามารถมากเท่าไหร่กัน”
อันเจิงและตู้โซ่วโซ่วเดินก้าวยาว ๆแล้วพูดขึ้น “ไม่ต้อง รอข้าที่แท่นของท่านนั่นแหละ”
ตู้โซ่วโซ่วถามอันเจิง“ทำไมต้องไปต่อกรกับแม่ทัพนั่นด้วย”
“ข้อแรก ข้าไม่อยากให้ทุกคนมองว่าข้าเข้าไปได้เพราะใช้เส้นสายข้อสอง ข้าต้องให้เกียรติความไว้วางใจของเชียวจ่างเฉิน”
“อย่างไรเสียข้าก็ไม่เข้าใจเื่พวกนี้อยู่แล้วเ้าว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น แต่ถึงอย่างนั้น เข้าสำนักโดยอาศัยความสามารถตัวเองก็ดีเหมือนกันคนอื่นจะได้ไม่ต้องมากล่าวหาเราในทางเสีย ๆ หาย ๆอีกอย่างก็ได้ร่วมการแข่งขันกับคนอื่น ๆ ด้วย คิดแล้วก็ตื่นเต้นเหมือนกันนะพวกเราอยู่ชายแดนมาตั้งสามปี ก็ควรทดสอบพลังความแข็งแกร่งบ้างแล้วล่ะ”
ทั้งสองออกไปจากหน่วยทหาร จากนั้นก็ตรงกลับบ้านในทันที
ฟางเต้าจือมองเงาด้านหลังของทั้งสองแล้วหัวเราะขึ้นอย่างกะทันหัน“หวังว่าพวกเ้าทั้งสองจะไม่ลืมคำพูดตัวเองในวันนี้ ในบางครั้งคนเราก็ต้องพิสูจน์บางอย่างให้ชัดเจนข้าเคยบอกไว้แล้วว่า ข้าไม่สงสัยในความยุติธรรมของหน่วยทหาร แต่ข้าเพียงอยากเห็นเ้าทั้งสองเดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผยเหมือนเช่นตอนนี้ ไม่ต้องกลัวคำนินทาของใครทั้งนั้น”
ห่าวผิงอันเสนาบดีของหน่วยทหารเดินมายืนข้างเขาแล้วพูดขึ้น“ไม่น่าเอาเ้าไว้ั้แ่แรกจริง ๆ นิสัยนี้ของเ้าจะใช้ไปถึงเมื่อไหร่กัน”
ฟางเต้าจือยักไหล่เล็กน้อย “ท่านใต้เท้าหากข้าไปฆ่าคนแคว้นโยวได้ คงได้ความดีความชอบไม่น้อยใช่หรือไม่”
“คงไม่น้อยอยู่แล้วล่ะ”
“เช่นนั้นให้ข้ามาจมปลักอยู่ในหน่วยทหารนี่ไม่ได้เลื่อนขั้น มิหนำซ้ำเงินเดือนก็ไม่เพิ่ม จะไม่ให้ข้าโมโหได้อย่างไร?”
“แคว้นเยี่ยนนับั้แ่วันแรกจนถึงวันนี้ถือว่าเ้าเป็คนที่เลื่อนขั้นเร็วที่สุดแล้ว อายุเพียงยี่สิบสี่ปี จากทหารธรรมดา ตอนนี้ได้เป็ถึงแม่ทัพอินทรีเหล็กระดับสี่ยังไม่เคยมีใครทำได้แบบนี้มาก่อน”
“ท่านไม่ควรพูดแบบนี้หากแม่ทัพฟางจือจี่ยอมให้ข้าร่วมทัพั้แ่อายุยี่สิบปี ไม่แน่ตอนนี้ข้าอาจอยู่ระดับสองแล้วก็ได้”
ฟางเต้าจือหันหลังจากไป“เพราะฉะนั้นท่านใต้เท้าไม่คิดจะเลี้ยงเหล้าข้าหน่อยรึ?”
ห่าวผิงอันส่ายหัว “ไม่เงินข้าหมดไปตั้งนานแล้ว”
ฟางเต้าจือชะงักไปครู่หนึ่งทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบ้านพักฟื้นพวกทหารที่ได้รับาเ็ต่างก็รักษาตัวอยู่ที่นั่น ห่าวผิงอันนำเงินเดือนของตัวเองเจ็ดในสิบส่วนบริจาคให้บ้านพักฟื้นเพื่อรักษาทหารเ่าั้
ฟางเต้าจือหัวเราะแห้ง ๆ“เงินข้าก็ใกล้หมดแล้ว แต่...ยังพอซื้อเหล้าสองไหกับห่านย่างอีกหนึ่งตัว”
ห่าวผิงอันอึ้งไปชั่วขณะ “ห่านอะไร? เหล้าอะไร?”
เมื่ออันเจิงและตู้โซ่วโซ่วกลับถึงที่พักก็เพิ่งเป็เวลาเที่ยงมีชายชุดดำกำลังฝึกวรยุทธ์อยู่กลางสนาม ชายชุดดำเหล่านี้ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักวรยุทธ์เบิก์เพราะพวกเขาไม่สามารถฝึกพลังวัตรได้ แต่อันเจิงสอนวิธีการฝึกฝนร่างกายที่ถูกต้องให้กับพวกเขาฉะนั้นความรู้เื่การต่อสู้ของพวกเขาจึงมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปความเป็มาของทุกคนก็ไม่ได้ต่างกันมาก ต่างเป็คนที่อันเจิงรับไว้ทั้งนั้น
แคว้นจ้าวและแคว้นเยี่ยนไม่มีการต่อสู้กันแต่กับแคว้นโจวก็มีการขัดแย้งบ้างเล็กน้อย ชายชุดดำเหล่านี้ บ้างก็มาจากแคว้นจ้าวบ้างก็มาจากแคว้นเยี่ยน และบ้างก็มาจากแคว้นโจว ต่างเป็คนยากจนที่อาศัยอยู่แถบชายแดนทั้งนั้นพวกเขาทุกคนไม่ใช่คนชั่ว แต่เมื่อมีสิ่งแวดล้อมแบบนั้น พวกเขาจึงจำต้องแย่งชิงทรัพย์สินจากคนรวยแต่ก็เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ไม่เคยคิดทำร้ายร่างกายของใครมาก่อน ฉะนั้นโดยเนื้อแท้คนพวกนี้ไม่ใช่คนเลวอันเจิงจึงช่วยพวกเขาไว้
ด้วยสายตาที่เฉียบคมและฝีมือที่เก่งกาจของอันเจิงแล้วการจะหาเงินไม่ใช่เื่ยากเลย ฉะนั้นการอยู่ที่ชายแดนสามปีครึ่งทำให้อันเจิงกลายเป็มหาเศรษฐีได้ไม่ยาก
อันเจิงเคยพูดไว้ หากเป็คนดีแล้วต้องจนต้องลำบาก เช่นนั้นใครจะอยากเป็คนดีเล่า ฉะนั้นการเป็คนดีต้องได้ดื่มเหล้าได้กินเนื้อและมีเงินใช้ อยากมีชีวิตแบบไหนก็ต้องได้แบบนั้น
“่นี้ห้ามเข้าตราประทับท้าทาย์นะ”
อันเจิงกำชับ “ที่นี่เป็เมืองฟางกู้ไม่ใช่แถบชายแดนและไม่ใช่โลกมายา ที่นี่เต็มไปด้วยยอดฝีมือ ฉะนั้นหากใช้ตราประทับท้าทาย์ต้องมีคนรู้สึกได้ถึงพลังของมันอย่างแน่นอน”
ตู้โซ่วโซ่วพยักหน้า “ก่อนจะมีการทดสอบข้าจะไปฝึกกับพวกเขาก็แล้วกัน”
ถึงแม้เขาจะอายุน้อยแต่กลับชอบดื่มเหล้ากับคนอื่น ๆ เป็ที่สุด ตอนนี้ตู้โซ่วโซ่วคอแข็งจนน่าใชายชุดดำถูกเขาล้มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเกิดมามีนิสัยที่รักสนุก เฮฮาทุกคนต่างชอบอยู่กับเขาทั้งนั้น
“ไปเถอะ”
อันเจิงตบไหล่ตู้โซ่วโซ่วเบา ๆ“อีกประเดี๋ยวก็ออกไปซื้อแพะมาหลายตัวหน่อย แล้วย่างกินกันในนี้คืนนี้ทุกคนดื่มเหล้ากันได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องเป็ไปตามธรรมเนียมหากใครดื่มเหล้าแล้วก่อเื่ก็ตีได้เลย หากก่อเื่ใหญ่ก็ฆ่าได้ที่นี่เป็แผ่นดินเยี่ยน แต่เราก็ยังต้องใช้กฎของสำนักวรยุทธ์เบิก์”
“ได้เลย วางใจเถอะ เ้ายังไม่รู้อีกหรือ?พวกเราในนี้ไม่มีใครดื่มเหล้าแล้วก่อเื่หรอกน่า”
หลังจากตู้โซ่วโซ่วกล่าวตอบรับแล้วเขาก็วิ่งไปหาชายชุดดำเ่าั้
ขณะที่อันเจิงเดินมาถึงประตูห้องเขามองเข้าไปที่หน้าต่าง จึงเห็นชวีหลิวซีกำลังทำความสะอาดห้องให้เขาอยู่ นางพับเสื้อผ้าและจัดผ้าปูที่นอน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน นางไม่เคยปล่อยให้อันเจิงใช้ผ้าปูที่นอนเกินเจ็ดวันเลยเพราะผ่านไปเพียงไม่กี่วัน นางก็มักจะเข้ามาทำความสะอาดห้องให้เสมอ
อันเจิงอยากทักทายแต่ก็กลัวชวีหลิวซีจะเขินอายฉะนั้นเขาจึงยืนดูนางอยู่หน้าประตูอย่างเงียบ ๆ เมื่อชวีหลิวซีจัดเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วกำลังจะออกมาอันเจิงก็รีบเดินหลบไปก่อน
กู่เชียนเยว่นั่งเบ้ปากอยู่บนกำแพง ในมือมีไหเหล้าอยู่“เป็คนที่น่าเบื่อทั้งคู่เลย เห็นแล้วหมั่นไส้ เห็นแล้วก็เหนื่อยแทน”
นางะโลงมาจากกำแพง จึงเห็นผู้เฒ่าฮั่วยืนพิงกำแพงดื่มเหล้าอยู่
“ผู้าุโ ท่านคิดจะทำให้ข้าใตายหรือเป็คนไม่มีพลังวัตรแท้ ๆ ทำไมเวลาเดินถึงเงียบขนาดนี้นะ”
“เฮ้อ! ข้าเดินเสียงดังจะตายเ้าไม่ได้ยินเพราะกำลังใจจดใจจ่ออยู่ตรงนู้น แล้วยังจะมีหน้ามาโทษข้าอีก?”
กู่เชียนเยว่หัวเราะเสียงดัง “แหม...ก็คนเขาหล่อมองมากหน่อยจะเป็ไรไป”
“ข้ามียาสลบนะถ้าเ้าเอายาใส่ลงในเหล้าแล้วให้เขาดื่ม พอเขาสลบเ้าก็ได้สิ่งที่้าแล้ว” ผู้เฒ่าฮั่วเสนอ
“ผู้าุโ ท่านพูดแบบนี้เหมือนไม่ให้เกียรติข้าเลยนะข้าจะแข่งกับชวีหลิวซีอย่างยุติธรรมต่างหาก จะใช้ยาสลบได้อย่างไรกัน”
ผู้เฒ่าฮั่วพยักหน้า “ข้านับถือใจเ้า”
กู่เชียนเยว่ขยับไปด้านหน้า “ท่านมียากระตุ้นกำหนัดหรือไม่?”
“เหอะ ๆ...” ผู้เฒ่าฮั่วแค่นเสียงหัวเราะแล้วเดินจากไป
กู่เชียนเยว่เลิกคิ้ว “ผู้าุโ ต่อให้ท่านจะแก่แค่ไหนก็หน้าด้านสู้ข้าไม่ได้หรอก”
นางะโโลดเต้นจากไปราวกับลืมสิ่งที่ทำให้ตัวเองอารมณ์เสียไปแล้วในพริบตา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้