ณ ฝั่งด้านหน้าของจวนใหญ่ ในห้องทำงานของท่านโหว แม้ว่าจะมีเอกสารกองโตถูกวางกองไว้บนโต๊ะไม้งามขนาดใหญ่ รอคอยให้หวังจิ่นหรงมาสะสางให้เรียบร้อย แต่ทว่าเขานั้นกลับยืนหันหลังให้กับโต๊ะทำงาน ไม่ได้สนใจกับงานที่กำลังรอเขาอยู่แต่อย่างใด
ดวงตาสีทองของหวังจิ่นหรงจับจ้องไปยังจี้หยกเนื้อดีที่วางอยู่บนฝ่ามือใหญ่ของเขา ราวกับมองของล้ำค่าที่บรรจุความทรงจำเอาไว้ ความคิดของเขาล่องลอยไปยังอดีตที่เต็มไปด้วยความสุขสันต์ร่วมกับเ้าของจี้หยกชิ้นนั้น
“ท่านโหวเ้าคะ ฮูหยินของท่านทำร้ายข้าโดยไม่มีเหตุผล! นางเอาน้ำมาสาดใส่ข้า!”
เสียงร้องห่มร้องไห้ของเหลียนฮวาที่ถูกสาดน้ำดังขึ้น พร้อมกับการวิ่งตรงเข้ามาหาเขา
หวังจิ่นหรงชะงัก ฝ่ามือหนารีบกำจี้หยกไว้แน่น ก่อนจะยัดมันเข้าไปในสาปเสื้ออย่างรวดเร็ว ท่าทางของเขาดูราวกับ้าปิดบังความในใจบางอย่างที่ไม่้าให้ผู้ใดล่วงรู้
"ท่านโหวเ้าคะ ฮูหยินของท่านทำร้ายข้าโดยไม่มีเหตุผล นางเอกน้ำมาสาดใส่บ่าว!"
“ลู๋เอ๋อร์.. ไม่สิ ตอนนี้ฮูหยินอยู่ที่ไหน?”
ในความทรงจำของหวังจิ่นหรง ไป๋ลู่เป็สตรีที่แตกต่างจากภาพที่เขาเห็นในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง นางเป็คนสุภาพอ่อนโยน และค่อนข้างเก็บตัว ไม่สุงสิงกับผู้ใด
แต่การกระทำที่เด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในวันนี้ ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ราวกับว่านางไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยรู้จัก
หวังจิ่นหรงไม่กล่าวอะไรต่อ รีบเดินออกจากห้องทำงาน ตรงไปทิศทางที่บ่าวในจวนแจ้งว่าฮูหยินของเขากำลังรออยู่ โดยที่สายตาของเขานั้นไม่ได้เฉียดไปทางเหลียนฮวาเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งความเพิกเฉยนั้นยิ่งตอกย้ำความเจ็บแค้นในใจของสาวใช้ผู้มองตามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ความเงียบที่อีกฝ่ายมอบให้กลับสร้างเสียงกรีดร้องดังกึกก้องในหัวใจของนาง
“ฮูหยิน เ้ามีอะไรจะอธิบายหรือไม่?”
หวังจิ่นหรงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ดวงตาจับจ้องไปที่นางราวกับ้าคำตอบที่ชัดเจน
“บ่าวในจวนของท่านพูดจาดูิ่ข้าก่อน ข้าเพียงแค่สั่งสอนนางด้วยวิธีของข้าเท่านั้น”
หวังจิ่นหรงปรายตามองบ่าวหญิงที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนพื้น สายตาคมกริบของเขาหันกลับไปยังไป๋ลู่พร้อมกับถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยหน่าย
“ไป๋ลู่... ครั้งนี้เ้าทำเกินไปแล้ว บ่าวพวกนี้ยังไงก็เป็คนของข้า จำไว้ว่าจวนนี้มีกฎระเบียบที่เ้าต้องปฏิบัติตาม”
คำพูดของเขาทำให้ไป๋ลู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาที่เยือกเย็นไม่แพ้กัน
“อ๋อ อย่างนั้นก็แปลว่าบ่าวของท่านสามารถทำร้ายบ่าวของข้าได้ใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงของนางราบเรียบ แต่แฝงความขมขื่นลึกซึ้ง
“เพราะอย่างไรเสีย ข้านั้นก็หาใช่เ้าของจวนนี้ไม่อยู่แล้ว...”
คำตอบของนางราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบงัน หวังจิ่นหรงมองไป๋ลู่ด้วยสายตาที่ซับซ้อน ราวกับ้าพูดบางสิ่ง แต่กลับเลือกที่จะนิ่งเงียบแทน
"หรือท่านคิดว่าการปล่อยให้บ่าวในจวนละเลยข้าเป็เื่ที่สมควร? ถ้าในสายตาของท่าน ข้าเป็ฮูหยินที่ไม่ได้เื่ขนาดนั้น ก็เขียนจดหมายหย่าเสียเถิด เดี๋ยวข้าจะลงนามให้เอง"
หวังจิ่นหรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาคมดุจเหยี่ยวจ้องมองนาง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่สะกดทุกคนในห้องให้เงียบงัน
"ได้ เพื่อให้คนในจวนเห็นว่าข้าไม่ลำเอียง ข้าจะลงโทษเหลียนฮวาโทษฐานที่ทำร้ายบ่าวของเ้า แต่บ่าวของเ้าก็จะต้องรับโทษด้วยเช่นกัน"
“...”
“ส่วนเ้า รู้ตัวหรือไม่ว่าเ้าพูดอะไรออกมา! ฮ่องเต้เป็คนมอบสมรสพระราชทาน เ้านึกว่าจะหย่าได้ง่ายดายอย่างนั้นหรือ? ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเ้าก็ยังไม่รู้ความเช่นเคย ไม่รู้จักโต!”
“นี่ท่านจะมากไปแล้วนะ!”
“มันไม่มีคำว่ามากเกินไป เพราะอย่างไรข้าก็เป็เ้าของจวนแห่งนี้ เ้าจงไปคุกเข่าอยู่ที่หน้าศาลบรรพชน คุกเข่าจนกว่าข้าจะสั่งให้หยุด แล้วจงสำนึกเสียว่าวันนี้เ้าทำกิริยาที่แย่ๆ อะไรลงไปบ้าง!”
จากนั้นไป๋ลู่ก็ถูกพ่อบ้านของจวนพาไปยังบริเวณหน้าศาลบรรพชน และถูกสั่งให้คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางลมหนาวที่พัดโชยมาเป็ระลอก
โหดร้ายที่สุด! คำเล่าลือที่กล่าวขานว่าท่านโหวแห่งแดนเหนือเป็บุรุษใจเหี้ยมและไร้ปรานี เห็นทีจะไม่เกินจริงแม้แต่น้อย บทลงโทษที่มอบให้บ่าวหญิงในจวน ไม่เพียงแต่หนักหนาเกินรับไหว แต่ยังปราศจากการละเว้นหรือปรานีแม้แต่นิดเดียว
ทั้งเหลียนฮวาและผิงผิงถูกลงโทษด้วยการโบยคนละสิบที ก่อนจะถูกจับแยกขังเดี่ยวอย่างไร้ความเมตตา เหลียนฮวาถูกขังอยู่ในห้องนอนเล็กข้างห้องทำงานของหวังจิ่นหรง ขณะที่ผิงผิงต้องถูกขังในห้องใต้ดินมืดมิดและหนาวเย็นจนแทบไร้ความหวัง
“ช่างเป็คนที่ยุติธรรมเสียจริง!” ไป๋ลู่กัดฟันแน่นขณะคุกเข่าอยู่หน้าแท่นบูชาบรรพชน นางต่อว่าผู้เป็สามีด้วยความคับแค้นใจ น้ำเสียงที่ลอดออกมาจากริมฝีปากบางสั่นไหวด้วยอารมณ์ที่ปะทุขึ้น
“สงสัยเหลียนฮวาคงเป็สาวใช้อุ่นเตียงกระมัง ถึงหวงนักหวงหนา ไม่ยอมให้ใครแตะต้อง!”
ไป๋ลู่ที่กำลังนั่งคุกเข่ากำลังต่อว่าสามีแต่งของนางอยู่นานด้วยความคับแค้นใจ กระทั่งบ่าวไพรในจวนก็ยังเลือกปฏิบัติ ไหนบอกว่าจะตัดสินอย่างยุติธรรม แบบนี้มันใช้ได้เสียที่ไหนกัน
ข้าไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนไร้เหตุผลแบบนี้! ถ้าขืนยังปล่อยให้เป็แบบนี้ต่อไป ข้าอาจจะทำให้ผิงผิงที่รักและเทิดทูนข้าต้องตายลงสักวันหนึ่ง มันจะต้องมีวิธีที่จะพาพวกเราออกไปจากที่แห่งนี้สิ
ในห้องทำงานโอ่อ่าของจวนโหว เอกสารกองโตถูกวางเรียงรายเต็มโต๊ะ หวังจิ่นหรงนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ ดวงตาสีทองจับจ้องไปยังเอกสารตรงหน้า
ในเอกสารเ่าั้ ไม่เพียงแต่มีรายงานเกี่ยวกับกิจการกองทัพ แต่ยังมีรายงานลับที่สายสืบของเขาในวังหลวงส่งกลับมา
“ทุกอย่างเป็ไปตามที่ข้าคาดการณ์ เหลียนฮวาเป็สายที่คนผู้นั้นส่งมาเพื่อยุยงให้ข้ากับลู่เอ๋อร์หย่ากัน”
กรามของหวังจิ่นหรงถูกขบจนขึ้นเป็สัน พร้อมกับความขุ่นเคืองที่อัดแน่นเต็มอก แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไปถึงสามปีเต็ม แต่คนผู้นั้นกลับยังคงยึดมั่นในความรู้สึกเดิม ไม่ยอมเปลี่ยนใจไปจากภรรยาของเขา
“ช่างเป็ความรักที่บริสุทธิ์นัก...”
หากจะผิด ก็ผิดตรงที่กล้ามากระตุกหนวดเสือร้ายอย่างเขา!
หวังจิ่นหรงผู้ไม่เคยยอมให้ใครล้ำเส้น กลับต้องเผชิญกับการล่วงเกินที่ไม่อาจให้อภัยได้ บังอาจส่งสายลับเข้ามาในจวน เพียงเพื่อหวังแย่งชิงของสำคัญไปจากมือของโหวแดนเหนืออย่างเขา
“ท่านโหว จะให้ข้าทำอย่างไรกับเหลียนฮวาดีขอรับ”
“จัดการนางเสีย จากนั้นให้ส่งร่างไร้ิญญาของนางไปยังตำหนักของคนผู้นั้น”
“แต่ว่า เหลียนฮวานั้นเป็สาวใช้ส่วนตัวของท่าน...”
“ข้ารู้นะว่าเ้ากำลังจะพูดอะไร” หวังจิ่นหรงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ดวงตาสีทองฉายแววเหนื่อยหน่าย
“ข้าไม่เคยร่วมเตียงกับสตรีคนใด และไม่มีความคิดนั้นอยู่ในหัวด้วย หากเ้าจะยังคิดเื่ไร้สาระเช่นนี้อยู่ ก็รีบออกไปจัดการธุระที่ข้าสั่งให้เรียบร้อยดีกว่า”
“ท่านโหว เอ่อ ข้าว่าเื่นี้ท่านควรจะมีอธิบายให้กับฮูหยินนะขอรับ หากว่านางเข้าใจ่ทานผิดไป เกรงว่าจะยุ่งยากกับความสัมพันธ์ของพวกท่านในอนาคต”
หวังจิ่นหรงเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าแค่้าปกป้องนาง...ในแบบของข้า”
คำตอบนั้นทำให้ชายคนสนิทของเขานั้นต้องหยุดชะงัก เขาขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ
“อย่าบอกนะว่า การที่ท่านสั่งให้ฮูหยินคุกเข่าหน้าศาลบรรพชน...”
“ทุกอย่างเป็ดั่งที่เ้าคิด หากคนขององค์ชายใหญ่นั้นแทรกซึมเข้ามา ข้าไม่อาจปล่อยให้นางอยู่นอกสายตาได้ อย่างน้อยตรงนั้นก็ยังมีพ่อบ้านหลี่และคนอื่นคอยจับตามองอยู่”
“แต่ข้าว่าเื่มันอาจจะยิ่งวุ่นวายมากกว่าเดิมนะขอรับ”
หวังจิ่นหรงหรี่ตามองอีกฝ่าย ริมฝีปากกระตุกเป็รอยยิ้มบางที่ดูแสนจะเ็า
“วุ่นวายอย่างนั้นหรือ? เื่ความปลอดภัยในจวนเป็หน้าที่ที่ข้าต้องจัดการด้วยตัวเอง ข้าไม่อยากให้นางเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้”
หวังจิ่นหรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ ไม่ช้าก็เร็วเหลียนฮวาจะต้องถูกเขากำจัดให้พ้นจากจวนอยู่ดี เขาจึงได้ทำการถ่ายทอดคำสั่งไปยังพ่อบ้านหลี่ให้ยกเลิกบทลงโทษของฮูหยิน พร้อมส่งนางกลับไปยังเรือนพักของนางทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋ลู่ก็ต้องรู้สึกแปลกใจเป็อย่างมากเพราะว่าคนในจวนพูดกันอย่างหนาหูว่าเหลียนฮวานั้น หลังจากที่ถูกโบยแล้ว ท่านโหวมีคำสั่งให้โยนนางออกนอกจวนทันที
“อรุณสวัสดิ์เ้าค่ะ ฮูหยิน” เหล่าบ่าวไพร่ในจวนโหวที่มักทำท่าทีหมางเมินใส่ไป๋ลู่ มาวันนี้กลับกรูเข้ามาทักทายอย่างนอบน้อมจนผิดวิสัย
“เอ่อ...อรุณสวัสดิ์” ไป๋ลู่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่แววตาฉายแววหวาดระแวงเล็กน้อย
“พวกเ้าทำตัวตามสบายเถิด”
แต่นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตงิดในใจ เพราะสัญชาตญาณจากโลกเก่าของอลิษานั้นคอยสะกิดเตือนว่าคนที่เมินเฉยต่อกันทุกวัน จู่ๆ จะมาทำดีด้วยคงไม่ใช่เื่ธรรมดา...
เพราะคนพวกนี้มักจะเข้ามาทำดีเพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่ก็กลัวตัวเองจะเดือดร้อนหากถูกจบได้ว่ามีความผิด จึงต้องรีบประจบประแจงเอาใจ
เช้าวันนี้ไป๋ลู่ก็ยังไปเยี่ยมเยียนโรงครัวเฉกเช่นเดิม ที่ไม่เหมือนเดิมคือบรรยากาศของเหล่าพ่อครัวแม่ครัวในจวนโหว บ่าวไพร่ที่เคยแสดงท่าทีเมินเฉย บัดนี้กลับให้การต้อนรับนางอย่างนอบน้อม
ไป๋ลู่ครุ่นคิดในใจ ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น...
อาจเป็เพราะไข่เจียวจานเรียบง่ายที่นางทำไว้เมื่อวันก่อนสร้างความประทับใจ หรืออาจเป็เพราะการที่เหลียนฮวา บ่าวคนสนิทของท่านโหว ถูกขับไล่ออกจากจวนไปแล้วก็เป็ได้
หลังจากทำไข่เจียวเป็เมนูแรกแล้ว วันนี้ไป๋ลู่จึงตัดสินใจทำเมนูที่สองเพื่อแสดงฝีมือการทำอาหารของนาง โดยเมนูของวันนี้คือ “ผัดผักรวมมิตร” ซึ่งเป็เมนูที่คุ้นเคยเป็อย่างดี
ผักสดที่มีอยู่ในตรัวถูกแม่ครัวล้างอย่างพิถีพิถัน ผักกะหล่ำ เห็ดหอม กระเทียมถูกสับอย่างละเอียด หลังจากนั้นไป๋ลู่จึงโยนวัตถุดิบทุกอย่างลงในกระทะที่มีน้ำมันร้อนจัดอยู่ในนั้น
“ฉ่า!”
หลังจากที่ผักสดเ่าั้นอนสลดอยู่ในกระทะ เครื่องปรุงหลายอย่างถูกใส่ลงไปเล็กน้อยให้พอมีสีสัน แม้จะมีสีสันเพียงน้อยนิด แต่กลิ่นหอมของผัดผักก็อบอวลไปทั่วห้องครัว
ฮูหยินน้อยก็ยังมีน้ำใจเช่นเคย นางแบ่งสรรปันส่วนผัดผักนี้ให้กับบ่าวไพร่ในจวน
“ฮูหยิน ข้าว่าท่านควรนำไปให้ท่านโหว สามีของท่านด้วยด้วยนะเ้าคะ”
ผิงผิงเอ่ยขึ้นมา อย่างไรท่านโหวก็มีศักดิ์เป็สามีของไป๋ลู่ หากทำอาหารให้บ่าวคนอื่นแต่ไม่ทำให้สามี คนอาจจะครหาคุณหนูของนางก็เป็ได้
“งั้นข้ารบกวนเ้าด้วย ผิงผิง” ไป๋ลู่พูดพลางถอนหายใจเบาๆ
ไป๋ลู่พูดพร้อมกับดันสำรับอาหารให้ผิงผิง นางไม่อยากเจอหน้าท่านโหวอีก ผู้ชายใจร้ายปากร้ายคนนั้น เจอกันครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว
ณ ศาลาเล็กที่หวังจิ่นหรงมักชอบนั่งทานอาหารเช้านั้น
“นี่คือสำรับอาหารอะไรกัน?” หวังจิ่นหรงเลิกคิ้วมองจานผัดผักที่วางอยู่ตรงหน้า ผักหลากสีสันที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้
“ข้าไม่เคยเห็นอาหารหน้าตาเช่นนี้มาก่อน”
หวังจิ่นหรงเอ่ยถามกับผิงผิงที่เป็คนยกสำรับเข้ามาให้กับเขา เนื่องจากเหลียนฮวาไม่อยู่แล้ว หน้าที่ยกสำรับอาหารของเขาจึงว่างเว้นยังไม่มีใครมาแทน ผิงผิงเลยต้องอาสามาทำหน้าที่นี้แทน
“เรียนท่านโหว ผัดผักจานนี้เป็ฝีมือของฮูหยินเ้าค่ะ”
ผิงผิงเอ่ยออกมาด้วยความตะกุกกตะกัก ด้วยไม่รู้ว่าท่านโหวคนนี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร หลังจากที่ได้ทราบว่าภรรยาของตนเข้าไปทำครัวด้วยตัวเองร่วมกับบ่าวไพร่
คำตอบนั้นทำให้หวังจิ่นหรงชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาสีทองกวาดมองจานอาหารตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย แม้กฎของจวนจะห้ามฮูหยินเข้าครัว เนื่องจากเหตุการณ์วางยาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ผู้หญิงคนนี้กลับทำสิ่งที่ขัดกับกฎอย่างชัดเจน
หวังจิ่นหรงมองผัดผักที่วางอยู่ตรงหน้า เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา มีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจคีบผักขึ้นมาชิม
รสชาติที่เรียบง่ายแต่กลมกล่อมทำให้หวังจิ่นหรงรู้สึกประหลาดใจ เขาวางตะเกียบลง ชำเลืองมองผิงผิงที่ยืนทำตัวเกร็งอยู่
"ฮูหยินของข้าเป็คนทำเองจริงๆ หรือ?" หวังจิ่นหรงเอ่ยถามกับผิงผิงด้วยน้ำเสียงที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ จนบ่าวคนนี้ลำบากใจที่จะตอกย้ำถึงคำตอบ
"เ้าค่ะ ท่านโหว..."
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้