เล่มที่ 3 บทที่ 74
เป็เวลากว่าหนึ่งชั่วยามแล้วที่คนสองสามคนเข้าไปในห้องด้านหลัง จื่อเอ๋อร์ที่อยู่ด้านนอกจึงเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายใจ
“หยุดเดินไปเดินมาได้แล้ว ข้าตาลายไปหมดแล้ว” ปี้เอ๋อร์ดึงจื่อเอ๋อร์ที่เดินไปรอบๆ เป็วงกลมให้นั่งลง “คุณหนูใหญ่จะไม่เป็ไรอย่างแน่นอน เ้าไม่ต้องวิตกกังวล”
“เกิดอะไรขึ้นที่ลำคอของคุณหนูใหญ่?” ครู่ก่อนนางเห็นรอยฟกซ้ำที่ลำคอของคุณหนูใหญ่ทำให้นางใมาก
ดวงตาของปี้เอ๋อร์เคร่งขรึมขึ้นมาก่อนปล่อยมือของจื่อเอ๋อร์ "ไม่มีอะไร เ้าก็อย่าถามนักเลย"
“เกิดเื่อะไรขึ้นใช่หรือไม่? พวกเ้าถึงได้มาดึกดื่นเพียงนี้ ใช่หรือไม่?” จื่อเอ๋อร์จับมือของปี้เอ๋อร์ด้วยความเป็ห่วง ในดวงตาของนางมีความวิตกกังวลเป็อย่างมาก “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ใครเป็คนทำหรือ?”
ความวิตกกังวลของจื่อเอ๋อร์ทำให้ดวงตาของปี้เอ๋อร์ปรากฏอารมณ์หนักหน่วงแต่นางก็ไม่พูดอะไรอีก
ปี้เอ๋อร์ไม่ปริปากพูดเป็สาเหตุให้จื่อเอ๋อร์ยิ่งวิตกกังวลอย่างมาก นางอดไม่ได้ที่จะถามและนางต้องรู้สาเหตุให้ได้
ในห้องชั้นใน มู่หรงฉิงมองเป้ยหนิงอย่างขบขัน ถึงกระนั้นนางกลับยอมทำตามคำขอของเป้ยหนิง ด้วยการเรียกอีกฝ่ายเสียงเบาว่า "ศิษย์พี่หญิง"
เมื่อได้ยินมู่หรงฉิงเรียกขานนางว่า 'ศิษย์พี่หญิง' เป้ยหนิงก็รู้สึกสบายไปทั้งตัว อุ๊ย! ในท้ายที่สุด นางก็มีศิษย์น้องให้ได้ทรมานแล้ว
ทั้งคู่เพิ่งเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวแต่มู่หรงฉิงกลับรู้สึกว่าพวกนางรู้จักกันเป็เวลานาน เป็วาสนาที่ไม่อาจพูดได้อย่างกระจ่างชัดเจน และมันทำให้นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
เป้ยหนิงซักถามสารทุกข์สุกดิบกับมู่หรงฉิง หลังจากการบอกเล่าเสร็จสิ้น มู่หรงฉิงก็เริ่มพูดถึงประเด็นสำคัญ "ท่านอาจารย์ ถ้ากระดูกฝ่ามือหักไปหมด จะยังสามารถรักษาได้หรือไม่?"
“กระดูกหักไปหมดหรือ?” หมอเทวดาส่ายศีรษะไปมา “เ้าคิดว่าข้าเป็หมอเทวดาจริงๆ หรือ? กระดูกหักไปหมดแล้ว ข้าจะรักษามันได้อย่างไรล่ะ?”
“รักษาได้” ดวงตาของมู่หรงฉิงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ท่านอาจารย์สามารถรักษาได้”
“ข้ารักษามันไม่ได้ ข้าเป็แค่หมอ ข้าไม่ใช่เทพเซียน” มองดูมู่หรงฉิงด้วยความขุ่นเคือง หมอเทวดากำลังจะสอนนางที่มีความคิดเพ้อฝัน แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าดวงตาของมู่หรงฉิงกลับลุกเป็เพลิงอย่างกะทันหัน และคำพูดของนางทำให้หัวใจของเขารู้สึกเย็นะเื
“ท่านอาจารย์สามารถรักษาได้ ท่านอาจารย์สามารถรักษาได้อย่างแน่นอน เนื่องจากท่านอาจารย์รู้ว่ากระดูกฝ่ามือที่หักทั้งหมดไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ถ้าตัดมือก็สามารถต่อเข้าไปได้”
คำพูดของมู่หรงฉิงสิ้นสุดลง ขณะทั้งสามคนมองนางด้วยสายตาที่ต่างกันออกไป หมอเทวดาคิดว่านางคิดเพ้อฝันเกินไป ทางด้านเป้ยหนิงกำลังคิดว่านางน่าสนใจมาก แต่ดวงตาของจ้าวจื่อซินกลับเป็ประกายวิบวับ เขารู้แล้วว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ
หลังจากเงียบไปนาน หมอเทวดาก็ดูเหมือนจะเข้าใจแล้วว่า มู่หรงฉิงซ่อนเร้นบางอย่างไว้ในคำพูด ด้วยสาเหตุนั้นความขุ่นเคืองบนใบหน้าจึงกระจายหายไป เขาแตะจมูกของตนเองเบาๆ "เ้า้าให้ข้าทำอะไรหรือ?"
“ดวงตาของอาจารย์เปรียบเสมือนคบเพลิง ไม่สามารถซ่อนอะไรจากสายตาของท่านอาจารย์ได้เลยจริงๆ”
“ฮึ อย่ามาพูดประจบสอพลอ เ้าไม่มีความสามารถเท่าเ้าเป้ยหนิงหรอก” เขายิ้มเยาะเบาๆ และพูดต่อ “ดูเ้าเองก็น่าสงสารเช่นกัน บอกข้าซิว่ามีอะไรที่ข้าช่วยได้บ้าง?”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปมองเป้ยหนิง "ศิษย์น้องของเ้าน่าสงสารมาก นางแต่งงานกับคนโง่งม สาเหตุที่มาสายเอาป่านนี้ ต้องเป็เพราะว่านางถูกทุบตีเป็แน่ ดูที่ลำคอของนาง... จุๆ..." พูดจบเขาก็เว้นจังหวะไปชั่วครู่จากนั้นเอ่ยอีกว่า “ดังนั้นเ้าไม่ต้องมัวแต่คิดที่จะแต่งงานแล้ว เ้าติดตามข้าจะดีกว่า เ้าจะได้ไม่เหมือนนางที่จะต้องเตรียมเป็แม่หม้ายั้แ่อายุยังน้อย”
ส่วนแรกของคำพูดของหมอเทวดาค่อนข้างมีมนุษยธรรม ส่วนครึ่งหลังนั้นมู่หรงฉิงไม่เพียงแต่มองดูหมอเทวดาด้วยความรู้สึกจนปัญญา แต่นางยังรู้สึกคับแค้นใจอีกด้วย "ท่านอาจารย์ ต่อให้ท่านอาจารย์้าทดสอบยากับศิษย์พี่หญิง ถึงอย่างไรก็ไม่จำเป็ต้องโรยเกลือบนาแของข้าใช่หรือไม่?"
ดวงตาทั้งสองข้างของเป้ยหนิงถึงกับเบิกกว้างและตบโต๊ะอย่างดุเดือด "ตาเฒ่า เ้ากล้าสาปแช่งคนที่ข้ารักหรือ ในเวลานี้เขาได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่แล้วและเขาจะกลับมาในเร็วๆ นี้ ถ้าเ้ากล้าที่จะพูดเช่นนั้นในภายภาคหน้า ระวังตัวไว้ ข้าจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด จะต้องตัดเ้าเป็ชิ้นเล็กๆ ให้ได้”
“โธ่ โธ่ โธ่ เ้ามีมโนธรรมหรือไม่? เขาเอาที่ดินของพวกเราไปมอบให้กับฮ่องเต้แล้ว เ้ากลับยังเข้าข้างเขาอยู่อีกหรือ?” หมอเทวดาดูมีความทุกข์ใจ แต่ไม่มีร่องรอยของความรักชาติในสายตาของเขาแม้แต่เศษเสี้ยว
“ฮึ อำนาจอยู่ในกำมือของฮ่องเต้ มันย่อมดีกว่าถูกคนชั่วเ่าั้แย่งไปแย่งมาและทำร้ายคน ทำให้ครอบครัวต้องแตกแยกนับไม่ถ้วน” เปล่งเสียงฮึเบาๆ เป้ยหนิงไม่มีร่องรอยความเ็ปกับการเป็ผู้แพ้ที่มาแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ไมตรี ดูจากอากัปกิริยา นางมีท่าทีค่อนข้างสบายๆ
การค้นพบนี้ทำให้มู่หรงฉิงงงงวยเป็อย่างมาก บ้านเมืองของผู้พูดถูกคนบุกรุกแล้ว แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงมีความสุขได้ถึงเพียงนี้?
นอกจากนั้นผู้ที่เป้ยหนิงได้กล่าวถึงว่ากำลังจะกลับมาจากการได้รับชัยชนะครั้งใหญ่คนนั้น เป็ไปได้หรือไม่ว่าจะเป็คนในใจของนาง คือองค์ชายรองที่ต่อสู้ในแนวหน้าหรือ?
“ลูกสาวที่แต่งงานแล้วก็เหมือนกับการสาดน้ำทิ้ง นี่ยังไม่ได้แต่งงานเลย เ้าก็เข้าข้างคนนอกเสียแล้ว” หมอเทวดาแสร้งทำเป็เศร้าสลด เขาวางมือบนไหล่ของมู่หรงฉิงพร้อมพูดว่า "ศิษย์ที่ดี ดูเหมือนว่าเ้าจะมีมโนธรรมสูงส่งนัก”
“หลังจากการต่อสู้หลายหน แคว้นก็ไม่ใช่แคว้นอีกต่อไปแล้ว และบ้านก็ไม่ใช่บ้านอีกต่อไปแล้ว เห็นแก่ชื่อเสียงและความเห็นแก่ตัว ครอบครัวนับหมื่นบนทุ่งหญ้าจะต้องพลัดถิ่น พวกเขาไม่มีที่อยู่อาศัยถาวร ถ้าไม่ใช่เพราะฮ่องเต้หลี่ส่งกองทหารไปช่วยปราบฏ บัดนี้เกรงว่าทุ่งหญ้าจะมีแต่กระดูกเต็มไปหมดแล้ว”
“จุ จุ จุ ดูสิดู ดูสิดู ั้แ่เ้าเจอกับคนคนนั้น สำนวนมากมายก็ออกมาทีละสำนวนอย่างต่อเนื่อง เ้าเกือบจะลืมภาษาของตัวเองแล้วใช่หรือไม่?”
"ตาเฒ่า เ้า..."
“ใจเย็นๆ อย่าได้วู่วาม ใจเย็นๆ อย่าได้วู่วาม” เห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันอีกหน มู่หรงฉิงจึงปวดศีรษะสุดจะทน นางทำได้เพียงยกมือขึ้นขวางหมอเทวดาผู้ซึ่งมีสารพัดพิษบนร่างกายแต่มันกลับทำอันตรายต่อนางไม่ได้โดยดันให้เขาออกห่างเล็กน้อย "ฉิงเอ๋อร์มีเื่สำคัญจะต้องทำ ศิษย์พี่หญิงและท่านอาจารย์ช่วยฟังฉิงเอ๋อร์ก่อนจะได้หรือไม่?”
ถ้าปล่อยให้ทั้งคู่ทะเลาะกันต่อไป น่ากลัวว่าจะเสียเวลาไปครึ่งชั่วยามเป็แน่
เมื่อหมอเทวดาเห็นว่ามู่หรงฉิงัักับพิษรุนแรงบนตัวแต่กลับไม่มีอาการใดเลย เขาก็รู้สึกเบื่อหน่าย ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้และปรับท่าทีให้กลับมาจริงจังเช่นเดิม "พูดเถอะ เ้ามีเื่อะไร?"
“บางที หลายวันถัดจากนี้จะมีผู้หญิงคนหนึ่งไปหาท่านอาจารย์และจะขอให้อาจารย์ช่วยนางรักษาอาการกระดูกฝ่ามือหักของนาง ถึงเวลานั้นท่านอาจารย์ช่วยบอกนางว่า ฝ่ามือของนางนั้นสามารถรักษาได้ แต่จะต้องใช้มือที่เหมือนกัน” การหยั่งเชิงของยวี้เอ๋อร์ในค่ำคืนนี้เป็การทำให้ความเมตตาสุดท้ายที่เหลืออยู่ของนางพังทลาย เนื่องจากยวี้เอ๋อร์ไม่ปล่อยแม้กระทั่งเฉินเทียนหยูผู้โง่งม กระนั้นก็อย่าตำหนินางที่โหดร้ายก็แล้วกัน
“จุๆ ... ไม่ใช่ฝีมือของเ้าใช่หรือไม่?” ครั้นมองเห็นความเกลียดชังในดวงตาของมู่หรงฉิง หมอเทวดาก็ส่ายศีรษะและกล่าวในใจว่า ความเกลียดชังที่อยู่ลึกลงไปในดวงตาของผู้หญิงตรงหน้าเป็ความเ็ป ดูเหมือนว่า เขาจะเคยเห็นสายตาเช่นนี้มาก่อน ทว่าเขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเมื่อใด
เด็กสาวออกจากบ้านหลังนั้น กว่าจะกลับไปถึงห้องนอนของนางก็เป็ยามท้องฟ้าสว่างแล้ว เนื่องจากอดหลับอดนอนเป็เวลาหลายคืนทำให้นางรู้สึกเหนื่อยมาก หลังจากมอบหมายงานให้ปี้เอ๋อร์สองสามคำ นางก็ล้มตัวลงนอนบนเก้าอี้ยาวและผล็อยหลับไป
เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกหน นางได้เห็นเฉินเทียนหยูนั่งเฝ้าอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ยาว น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของเขาราวกับเด็กที่ทำอะไรผิด ท่าทีของเขาในสายตาของมู่หรงฉิง มันทำให้หัวใจของนางโอนอ่อนโดยปราศจากเหตุผล
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือ? ใครทำให้ท่านพี่หงุดหงิดหรือ?” จังหวะที่นางจะลุกขึ้น เฉินเทียนหยูก็โผเข้าไปในอ้อมกอดของนางคล้ายเด็กและเริ่มร้องไห้ฮือๆ
“พวกนางบอกว่า ข้าเกือบจะฆ่าน้องหญิงแล้ว พวกนางบอกว่าข้าคลุ้มคลั่งอีกแล้ว ข้าไม่รู้ว่าคลุ้มคลั่งคืออะไร ข้ารู้แค่ว่าพวกนางกลัวข้า ข้าไม่กลัวพวกนาง ข้ากลัวน้องหญิงจะกลัวข้า ข้ากลัวน้องหญิงจะตาย...”
เสียงสะอื้นผสมกับคำพูดเป็ระยะของเฉินเทียนหยูทำให้ดวงตาของมู่หรงฉิงร้อนขึ้น มิหนำซ้ำในก้นบึ้งของหัวใจดูเหมือนจะอ่อนยวบละลายกลายเป็น้ำ นางยกมือขึ้นตบแผ่นหลังเฉินเทียนหยู "ท่านพี่อย่าร้องไห้เลย ฉิงเอ๋อร์สบายดี และท่านพี่ก็ไม่ได้คลุ้มคลั่งด้วย พวกนางโกหกท่านพี่ ท่านพี่ดูฉิงเอ๋อร์สิ ฉิงเอ๋อร์ยังสบายดีอยู่ใช่หรือไม่?”
“เ้าโกหกข้า น้องหญิงโกหกข้า คอของน้องหญิงเป็สีม่วงแล้ว มันจะต้องเ็ปมากเป็แน่ ตอนที่น้องหญิงผล็อยหลับไป ข้าแตะมัน และน้องหญิงก็ขมวดคิ้ว” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินเทียนหยูก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกหน “ข้าบอกแล้วว่า ข้าจะไม่ทำร้ายน้องหญิง พวกนางบอกว่าข้าทำร้ายน้องหญิงอีกหนแล้ว และทุกครั้งที่คลุ้มคลั่ง ข้าก็เกือบจะฆ่าน้องหญิง ฮือๆ ข้าไม่อยากทำร้ายน้องหญิง เห็นน้องหญิงเ็ป ข้าก็รู้สึกปวดใจมาก ..."
เฉินเทียนหยู ถ้าเ้าตื่นขึ้นมาจริงๆ เ้าจะยังปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็สมบัติล้ำค่าอยู่หรือไม่?
คิดได้ดังนั้นก็ถอนหายใจอีกหน เขาจะสามารถฟื้นสติขึ้นมาได้อีกหรือ? เหลือเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น จะประสบความสำเร็จหรือไม่?
ปี้เอ๋อร์ที่อยู่ด้านนอกได้ฟังเสียงร้องไห้ของเฉินเทียนหยู นางพลอยรู้สึกเศร้าโศกอย่างสุดจะพรรณนา จ้าวจื่อซินนั่งอยู่ในห้อง มือถือดาบแวววาวโดยใช้ผ้าในมือถูดาบไปมา ดวงตาของเขาหลุบต่ำจึงไม่เห็นอารมณ์ที่ชัดเจน
ฮูหยินน้อยตื่นขึ้นมาแล้ว ข่าวดังกล่าวย่อมแพร่กระจายไปในจวนเฉินอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินก็มาถึง แม้กระทั่งแม่รองเฉินก็เดินเข้ามาด้วยอาการวิตกกังวลโดยมีหลิงเอ๋อร์ช่วยประคอง
มู่หรงฉิงมองไปทางแม่นมฟางที่ยืนอยู่ด้านข้างนาง นางรู้สึกผิดครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็ความจนใจ
แม่นมฟาง แม่นมจิ่น ข้าขอโทษด้วย ไม่ใช่เพราะว่าฉิงเอ๋อร์้าใช้ประโยชน์จากแม่นมทั้งสองคน แต่มันเป็การกระทำที่ฉิงเอ๋อร์เองก็อับจนหนทางเช่นเดียวกัน
“โธ่...” ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ ยามได้เห็นมู่หรงฉิงนอนอยู่บนเก้าอี้ยาวในสภาพร่างกายอ่อนแอ
เฉินเทียนหยูคอยปกป้องอยู่ด้านหน้าเก้าอี้ยาวด้วยน้ำตาคลอเบ้า เขาไม่ก้าวจากไปแม้แต่ก้าวเดียว แม้กระทั่งตอนที่จ้าวจื่อซินให้ผลไม้แก่เขา เขาก็ยังคงเฝ้าปกป้องอยู่ด้านหน้าเก้าอี้ยาว ร้องไห้ไปพลางแทะผลไม้ไปพลาง
“ฉิงเอ๋อร์คงจะใกลัวมาก ตอนนี้ฮูหยินหลิงส่งเทียบเชิญมาให้ เกรงว่าคงจะไปไม่ได้แล้ว” ฮูหยินเฉินพูดด้วยความกังวลแต่เจือความผ่อนคลายอยู่หลายส่วน เนื่องจากนั่นเป็ข้อแก้ตัวที่ดีที่สุด
“เ้าส่งคนไปคุยกับฮูหยินหลิงแล้วหรือไม่? หากไม่บอกให้ทราบก่อนล่วงหน้า ถ้าเกิดฮูหยินหลิงกล่าวโทษขึ้นมา เกรงว่ามันคงจะเป็เื่ยากที่จะรับมือ” ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองมู่หรงฉิงผู้ซึ่งนอนเบิกตาไร้คำพูดคำจาอยู่บนเก้าอี้ยาว น้ำเสียงของนางเหนื่อยอ่อนไม่น้อย
“เรียนฮูหยินผู้เฒ่า ส่งไปนานแล้วคิดว่าอีกสักพักก็คงจะกลับมา” ในจังหวะที่ฮูหยินเฉินเอ่ยบอก จู่ๆ สาวใช้ข้างนอกก็เข้ามากระซิบคำสองสามคำที่ข้างใบหูของนาง ถัดจากนั้นฮูหยินเฉินจึงมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้าลำบากใจ “ฮูหยินผู้เฒ่า คิดว่าจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงของฮูหยินหลิงโดยไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”
“โอ้? ฮูหยินหลิงคนนั้น้าให้ฉิงเอ๋อร์นอนไปร่วมงานหรือ?” คำพูดดังกล่าวไม่สุภาพเป็อย่างมาก พอจะพิสูจน์ให้เห็นถึงความขุ่นเคืองในใจของฮูหยินผู้เฒ่าได้
“ฮูหยินหลิงได้ยินว่าฉิงเอ๋อร์ป่วย นางจึงสั่งกำชับว่าให้ฉิงเอ๋อร์ไปร่วมงานให้ได้ โดยบอกว่าหมอเทวดาจะไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน ฉะนั้นจะให้หมอเทวดาดูอาการให้ฉิงเอ๋อร์ ไม่แน่หลังจากดูอาการก็จะสามารถรักษาให้หายดีได้"
หมอเทวดา ร่ำลือกันว่าแม้กระทั่งราชวงศ์ยังยากที่จะเชิญมาได้ แต่ไม่นึกไม่ฝันว่า ฉิงเอ๋อร์จะมีวาสนา
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินดังนั้น ถึงกับตกตะลึงชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้ากลับฉายชัดถึงความลำบากใจ “ดี ก็ดีอยู่ เพียงแต่เกรงว่า…”
“ฮูหยินผู้เฒ่าไม่จำเป็ต้องวิตกกังวล” ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงลังเลแต่ทันใดนั้นจ้าวจื่อซินที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่า หมอเทวดาสามารถช่วยรักษาคนที่ตายไปแล้วให้กลับมาฟื้นคืนชีวิตได้ เขามีวิชาชุบชีวิตคนตายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮูหยินน้อยซึ่งแค่มีอาการใ แม้กระทั่งร่างกายไม่มีกระดูกแล้ว หมอเทวดาก็สามารถรักษาได้"