ตอนที่ 5: ประกายไฟแรกแห่งการโต้กลับ
ความสุขและความอบอุ่นที่ได้จากข้าวต้มหนึ่งมื้อนั้นช่างแสนสั้น เมื่องานเลี้ยงเล็ก ๆ ของครอบครัวจบลง ความเป็จริงอันโหดร้ายก็กลับมาเยือนอีกครั้ง ท่านแม่หลิวยังคงไอไม่หยุด ท่านพ่อหลินเจิ้งยังคงมีสีหน้ากังวล และอนาคตของพวกเขาก็ยังคงมืดมนเช่นเดิม
หลินเฟยรู้ดีว่าอาหารและยาจากมิติิญญาเป็เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นางไม่สามารถนำของจากโลกอนาคตออกมาใช้ได้อย่างโจ่งแจ้งตลอดไป มันจะนำภัยมาสู่ครอบครัวได้ง่าย ๆ นางต้องหาหนทางสร้างรากฐานที่มั่นคงในโลกใบนี้ด้วยทรัพยากรของโลกใบนี้ให้ได้
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดถึงแผนการขั้นต่อไปอยู่นั้นเอง เสียงแหลม ๆ ที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยก็ดังขึ้นมาจากหน้าประตูที่เปิดแง้มไว้
“โอ้โฮ...ได้กลิ่นหอมฟุ้งมาแต่ไกล ที่แท้ก็แอบซุ่มกินของดีกันอยู่นี่เอง! นึกว่าบ้านรองจะอดตายกันไปหมดแล้วเสียอีก”
เ้าของเสียงนั้นก้าวเข้ามาในกระท่อมโดยไม่รอคำอนุญาต นางคือ หลินเวย ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของบ้านใหญ่ บุตรสาวของท่านลุงใหญ่และป้าใหญ่ผู้ละโมบ
หลินเวยอายุสิบเจ็ดปี มากกว่าหลินเฟยหนึ่งปี รูปร่างอวบอิ่มกว่าเล็กน้อยจากการได้กินอาหารดี ๆ อยู่เสมอ ใบหน้าไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่แววตาที่หยิ่งผยองและความริษยาที่ฉายออกมาอย่างไม่ปิดบังนั้นทำให้ความงามลดลงไปกว่าครึ่ง นางสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีสดที่ดูใหม่และสะอาดกว่าของทุกคนในกระท่อมนี้รวมกัน ซึ่งยิ่งขับเน้นความแตกต่างทางฐานะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ กระท่อมด้วยความรังเกียจ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ชามข้าวต้มที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ จมูกของนางย่นเข้าหากันอย่างดูแคลน “หึ...แค่ข้าวต้มนี่เอง ฉันก็นึกว่าไปได้เนื้อกวางมาจากไหนเสียอีก ทำเป็ส่งกลิ่นหอมไปสามบ้านแปดบ้าน”
ท่านแม่หลิวพยายามจะยันตัวลุกขึ้นเพื่อทักทายตามมารยาท “เวยเอ๋อ...มาหาอาหญิงมีธุระอะไรรึ?”
หลินเวยเชิดหน้าขึ้น ไม่แม้แต่จะมองหน้าท่านแม่หลิว “ท่านย่าให้ฉันมาดูน่ะสิ ว่านังลูกเนรคุณบางคนหายไข้แล้วหรือยัง จะได้รีบไสหัวกลับไปทำงานที่กองผลิตได้เสียที อย่ามัวแต่อู้งานทำตัวเป็คุณหนูป่วยการเมืองอยู่เลย คะแนนสะสมงานของครอบครัวพวกแกติดลบจนจะไม่มีปัญญาแลกข้าวสารในเดือนหน้าอยู่แล้ว!”
คำพูดแต่ละคำของนางช่างหยาบคายและไร้ความปรานี ราวกับมีดที่กรีดซ้ำลงบนาแของครอบครัวนี้
หลินเจิ้งกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ แต่เขาก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ เขาเป็เพียงคนบ้านรองที่อ่อนแอ จะไปมีปากมีเสียงอะไรกับหลานสาวคนโปรดของท่านย่าได้
แต่คนที่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าจะตอบโต้ กลับเป็หลินเฟยที่นั่งเงียบอยู่บนเตียงมาตลอด...
“บ้านใหญ่คงจะว่างงานกันมากสินะ ถึงขนาดต้องส่งคุณหนูใหญ่ผู้สูงศักดิ์มาเดินเหยียบดินโคลนถึงกระท่อมท้ายคอมมูนด้วยตัวเอง”
น้ำเสียงของหลินเฟยเรียบเฉยและเยือกเย็นจนผิดปกติ มันไม่มีแววของความหวาดกลัวหรือเจียมตัวเหมือนเคยแม้แต่น้อย
หลินเวยชะงักไปเล็กน้อย นางหันมามองหลินเฟยอย่างเต็มตา ก่อนจะหัวเราะเยาะออกมาเสียงดัง “อะไรกันนี่? ตกน้ำไปครั้งเดียวถึงกับสมองกลับเลยรึ นังตัวไร้ค่า? กล้าดียังไงมาพูดจาแบบนี้กับฉัน!”
หลินเฟยค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนช้า ๆ แม้ร่างกายจะยังอ่อนแอ แต่แววตาของนางกลับคมกริบและมั่นคง นางมองหลินเวยั้แ่หัวจรดเท้าด้วยสายตาแบบเดียวกับที่ใช้ประเมินผู้ป่วยในห้องผ่าตัด...สายตาที่มองทะลุเปลือกนอกเข้าไปถึงความบกพร่องภายใน
“แล้วเธอล่ะ กล้าดียังไงมายืนส่งเสียงดังในบ้านของฉัน?” หลินเฟยสวนกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นลงกว่าเดิม “การก้าวเข้ามาในบ้านผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังใช้ถ้อยคำหยาบคายกับผู้าุโ...นี่คือสิ่งที่ท่านย่าผู้เคร่งครัดในธรรมเนียมสั่งสอนเธอรึ? หรือว่าธรรมเนียมของบ้านใหญ่...มีไว้ใช้กับคนอื่นเท่านั้น?”
คำพูดที่อ้างหลักการและเหตุผลอย่างตรงไปตรงมานั้นทำให้หลินเวยอึ้งจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นางไม่เคยเจอหลินเฟยในมุมนี้มาก่อน ที่ผ่านมาเด็กคนนี้เป็เหมือนลูกแกะที่เอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ ไม่ว่านางจะด่าทอหรือทุบตีอย่างไรก็ไม่เคยปริปากเถียงแม้แต่คำเดียว
“นะ...นัง! นังปากดี!” หลินเวยตะคอกกลับอย่างโมโหที่ถูกย้อนจนเสียหน้า “ฉันจะพูดอะไรแล้วมันจะทำไม? พวกแกมันก็แค่ปลิงที่คอยสูบเืตระกูลหลิน! ถ้าไม่มีบ้านใหญ่คอยอุ้มชู ป่านนี้พวกแกคงอดตายกันไปนานแล้ว!”
หลินเฟยข้นเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ราวกับได้ยินเื่ตลกที่สุดในโลก
“ปลิงรึ? น่าสนใจดีนะ” นางเริ่มก้าวเดินเข้ามาหาหลินเวยช้า ๆ ทีละก้าว ทีละก้าว...ออร่าที่กดดันอย่างบอกไม่ถูกแผ่ออกมาจากร่างที่ดูบอบบางของนางจนหลินเวยต้องเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าจะพูดถึงปลิง...ฉันว่าเรามานับบัญชีกันหน่อยดีไหม?” หลินเฟยพูดต่อ น้ำเสียงของนางยังคงเรียบเฉยแต่ทุกถ้อยคำกลับคมกริบ “ท่านพ่อของฉันทำงานในกองผลิตหนักกว่าใคร ได้คะแนนสะสมงานมากกว่าใคร แต่ทุกสิ้นเดือน...ใครกันที่เอาคะแนนส่วนใหญ่ไปรวมเป็ของบ้านใหญ่? ที่ดินผืนเล็ก ๆ ที่ท่านปู่ทิ้งไว้ให้พ่อฉัน...ใครกันที่เอาไปทำกินโดยไม่แบ่งผลผลิตให้แม้แต่เมล็ดเดียว? และเสื้อผ้าใหม่ที่รัฐปันส่วนให้ทุกปี...มันเคยตกมาถึงบ้านรองอย่างเราบ้างไหม?”
“หรือจะให้ฉันพูดถึงเื่ล่าสุดดีล่ะ?” นางหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลินเวย จ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่เริ่มสั่นระริกของอีกฝ่าย
“มันเทศชิ้นสุดท้ายที่ท่านพ่อขุดมาได้...ใครกันที่พยายามจะขโมยมันไป? และใครกัน...ที่ผลักฉันตกน้ำจนเกือบตาย?”
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ใบหน้าของหลินเวยก็ซีดเผือดลงทันที “ฉะ...ฉันไม่ได้ทำนะ! แก...แกลื่นตกไปเอง!” นางปฏิเสธเสียงสั่น
หลินเฟยยิ้ม...เป็รอยยิ้มที่เย็นเยียบจนน่าขนลุก
“อย่างนั้นรึ? แต่ลุงหลี่ซานคนตัดฟืน เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนะ” นางโกหกหน้าตาย แต่แววตาที่มั่นใจของนางทำให้คำโกหกนั้นดูน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง “ถ้าฉันไปรายงานผู้ใหญ่บ้าน...บอกว่าลูกสาวบ้านใหญ่พยายามจะฆ่าลูกพี่ลูกน้องตัวเองเพื่อแย่งชิงอาหาร...แกคิดว่าเื่มันจะจบลงยังไง?”
“นะ...นัง...แก...แกขู่ฉันงั้นรึ!” หลินเวยตัวสั่นด้วยความโกรธและความกลัว
“ฉันไม่ได้ขู่” หลินเฟยตอบกลับอย่างเยือกเย็น “ฉันแค่กำลัง ‘ชี้แจงข้อเท็จจริง’ ให้แกฟังเท่านั้น...ในฐานะที่แกดูจะไม่ค่อยฉลาดนัก”
“กรี๊ดดดดดดดดดด! นังหลินเฟย! ฉันจะฆ่าแก!”
ความอดทนของหลินเวยขาดสะบั้นลง นางกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งและพุ่งเข้ามาหมายจะตบหน้าหลินเฟยให้หายแค้น
แต่สิ่งที่นางเจอไม่ใช่ใบหน้าที่ตื่นตระหนกเหมือนเคย หลินเฟยเพียงแค่เอียงตัวหลบเล็กน้อย คว้าข้อมือของหลินเวยที่พุ่งเข้ามาไว้ได้อย่างง่ายดาย แล้วบิดเพียงเบา ๆ!
“โอ๊ย!” หลินเวยร้องออกมาด้วยความเ็ป นางรู้สึกเหมือนข้อมือจะหัก นางไม่เข้าใจว่าเด็กสาวที่ผอมแห้งตรงหน้าจะเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนมากมายขนาดนี้
หลินเฟยโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูของหลินเวยด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน
“กลับไปบอกคนที่ใช้แกมาด้วยนะ...ว่าหลินเฟยคนเก่าได้ตายไปในแม่น้ำแล้ว คนที่ยืนอยู่ตรงนี้คือคนใหม่ และนับจากนี้ไป...หนี้ทุกบาททุกสตางค์ที่พวกแกติดค้างครอบครัวฉันไว้...ฉันจะตามทวงคืนจนครบ...พร้อมดอกเบี้ย”
นางพูดจบก็สะบัดมือของหลินเวยทิ้งอย่างไม่ใยดีราวกับจับของสกปรก
หลินเวยเซถลาไปสองสามก้าว นางกุมข้อมือที่แดงก่ำของตัวเอง มองหลินเฟยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน นางอยากจะกรีดร้องด่าทออีก แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่เ็าคู่นั้น...นางกลับไม่กล้าพอ
“ฝะ...ฝากไว้ก่อนเถอะ!” นางขู่ทิ้งท้ายอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะรีบวิ่งหนีออกจากกระท่อมไปอย่างลนลาน
เมื่อร่างของหลินเวยลับสายตาไป บรรยากาศในกระท่อมก็กลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง หลินเจิ้งและท่านแม่หลิวมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง พวกเขามองลูกสาวของตัวเองราวกับเพิ่งเคยเห็นเป็ครั้งแรก
นี่คือลูกสาวที่ขี้อายและอ่อนแอของพวกเขาจริง ๆ หรือ?
หลินเฟยหันกลับมามองครอบครัวของนาง แววตาที่เ็าเมื่อครู่สลายหายไป กลายเป็ความอ่อนโยนเช่นเดิม นางเดินไปจับมือที่สั่นเทาของมารดาไว้
“ท่านแม่...ไม่ต้องกลัวนะคะ” นางกล่าวปลอบโยน “จากนี้ไป...จะไม่มีใครมารังแกพวกเราได้อีกแล้ว”
นี่เป็เพียงประกายไฟแรก...เป็เพียงการประกาศาเงียบครั้งแรกเท่านั้น หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลและเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่วันนี้...หลินเฟยได้จุดไฟแห่งการโต้กลับขึ้นมาแล้ว และนางจะไม่มีวันปล่อยให้มันมอดดับลงอย่างเด็ดขาด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้