ทางเข้าหมู่บ้าน มีรถม้าสีดำเลียบไปตามทางถนนอิฐสีฟ้าเคลื่อนไปท้ายหมู่บ้านช้าๆ
เมื่อรถม้าเดินทางมาถึง่กลางหมู่บ้าน ความเร็วก็ลดระดับช้าลง
หน้าต่างรถม้าถูกคนเลิกขึ้น ปรากฏใบหน้าเดือดดาลและเกลียดชังจนบิดเบี้ยวหนึ่งดวงออกมา
จ้าวไฉ่สยามองไปยังทิศทางบ้านเก่าสกุลหูด้วยดวงตาสองข้างดั่งมีเปลวไฟลน ไม่คิดเลยว่าจ้าวไป่ิจะขอหูชุ่ยจูแต่งงาน!
ไม่กี่วันก่อน ตอนเถียนกุ้ยจือไปเยี่ยมนาง ได้เผยข่าวคราวออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ตามที่ได้ยินมาทั้งสองครอบครัวได้ปรึกษาหารือกันแล้ว สิ้นปีไปก็จะมอบสินสอดทองหมั้นอย่างเป็ทางการ
ทำไมกัน? จ้าวไป่ิสอบเป็ซิ่วฉายได้แล้วยังจะขอแม่นางในหมู่บ้านแต่งานอีก เขาไม่ควรเลือกหญิงสาวจากครอบครัวร่ำรวยในเมืองแต่งงานหรือ?
หากเป็เช่นนั้น นางอาจไม่เดือดดาลเพียงนี้
ทำไมถึงเป็หญิงสาวสกุลหู? นางมีตรงไหนที่สู้นังเด็กชั้นต่ำสองคนนั่นไม่ได้กัน มีสิทธิ์อะไรถึงไม่พึงพอใจนางแต่พึงพอใจหูชุ่ยจู?
ไม่ใช่แค่เพราะสองสามปีมานี้สกุลหูร่ำรวยขึ้นหรือ? เมื่อก่อนสกุลหูไม่ได้เหมือนเช่นนี้เลย ยากจนขมขื่นอย่างยิ่ง นางไม่ยอมแน่!
สองวันที่ผ่านมา เพราะเื่เหล่านี้นางจึงนอนไม่หลับเอาแต่พลิกไปมา ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธแค้น
จ้าวไป่ิขอหญิงสาวครอบครัวไหนแต่งงานก็ได้ ทำไมถึงต้องเลือกคนสกุลหูด้วย
ขณะที่รถม้าเคลื่อนออกห่างจากบ้านเก่าสกุลหู ประตูบ้านได้เปิดขึ้นกะทันหัน
หูชุ่ยจูจูงเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งเดินออกมาจากในบ้าน กาย้าของนางสวมเสื้อกันหนาวลายดอกไม้สีเข้มผ้าทอธรรมดาชนิดที่มีซับใน ด้านล่างสวมกระโปรงร้อยจีบปักลวดลายดอกบัว ท่าทางสดใสมีชีวิตชีวา งดงามอ่อนหวาน
จ้าวไฉ่สยาออกแรงทึ้งผ้าไหมเช็ดหน้าในมือ พอคิดถึงปีหน้า นางผู้นั้นใกล้จะได้แต่งงานให้กับจ้าวไป่ิ ความเกลียดชังในใจตนก็สูงขึ้นเป็ระลอกแล้วระลอกเล่า
มีสิทธิอะไรให้ตนแต่งกับพ่อม่ายภรรยาตาย ส่วนนางคนนั้นกลับแต่งให้กับจ้าวไป่ิได้สมดังใจ
นางกัดฟันกรอดพร้อมกับกลอกดวงตาไปมา คิดว่าพอจะมีวิธีอะไรขัดขวางการแต่งงานของสองคนได้บ้าง
เงากายลับๆ ล่อๆ ร่างหนึ่ง ปรากฏเข้าสู่สายตา
หลิวเหล่าซาน เขาหลบอยู่มุมกำแพงทำอะไร?
จ้าวไฉ่สยามองไปตามสายตาของเขา จู่ๆ ดวงตาก็เป็ประกายขึ้นมาทันที หลิวเหล่าซานกำลังมองหูชุ่ยจูอยู่นี่ ในสมองของนางปรากฏความคิดหนึ่งแวบเข้ามา
นางให้คนที่เร่งรถม้าอยู่หยุดลง ค่อยๆ ประคองเอวลงจากรถม้าแล้วจ่ายเงินค่ารถไป รถม้าจึงหันหัวกลับไปทางเดิม
หลิวเหล่าซานเห็นจ้าวไฉ่สยาลงมาจากรถม้าจึงไม่ได้หลบอีก ออกมาทักทายอย่างยิ้มแป้นขึ้น “น้องไฉ่สยา กลับมาบ้านท่านพ่อท่านแม่เ้าหรือ เหตุใดลงจากรถแล้วเล่า บ้านเ้ายังห่างออกไปอีกเล็กน้อยเลยนี่”
นางลอบค่อนแคะอยู่ในใจ แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออก ยืดท้องขึ้นและเดินไปด้านหน้าสองก้าว “หลิวเหล่าซาน ผู้ใดเป็น้องไฉ่สยาของเ้ากัน เ้าหยาบคายให้น้อยลงหน่อย ระวังข้าจะให้ท่านพ่อข้าเฆี่ยนเ้า”
สีหน้าของเขาชะงักค้าง มองนางปราดหนึ่ง จ้าวไฉ่สยาผู้นี้เมื่อก่อนอยู่ในหมู่บ้านวั้งหลิน เป็คนที่คิดว่าตนเองสูงส่งเลยวางมาดเย่อหยิ่ง สำหรับพวกเขาที่เป็ชายว่างงานแล้ว นางไม่เคยมีสีหน้าที่ดีอย่างไรด้วยเลย ผลสุดท้ายแต่งให้กับพ่อม่ายร่ำรวยคนหนึ่งในเมือง สวมทองใส่เงิน เดินกรีดกรายยกเท้าสูงวางท่าเชิด ท่าทางที่ยิ่งไปกว่านั้นคือจมูกรั้นขึ้นฟ้า [1]
ต้องเป็แม่เลี้ยงให้เด็กสาวค่อนข้างโตสองคน มีอะไรให้พอที่จะหยิ่งผยองได้กัน... นังโง่
เขาคร้านที่จะคิดเล็กคิดน้อยกับนาง และกำลังจะก้าวเท้าจากไป
ในใจจ้าวไฉ่สยาร้อนรนทันที รีบเรียกหยุดเขาไว้ “หลิวเหล่าซาน เมื่อครู่ข้าเห็นทั้งหมดแล้ว”
หลิวเหล่าซานเบนสายตามองนางแวบหนึ่ง ไม่ยี่หระแต่อย่างใด วันนี้เขาไม่ได้ทำเื่มีลับลมคมในทั้งสิ้น “เห็นอะไรล่ะ?”
“หึๆ สองตาเ้ามองหูชุ่ยจูอย่างเป็ประกาย” จ้าวไฉ่สยาเลิกคิ้วกล่าว
“ฮ่าๆ ข้ามองหูชุ่ยจูแล้วอย่างไร? มองคนงามผิดกฎหมายหรือ?” หลิวเหล่าซานยกแขนขึ้นมากอดอก พิจารณานางขึ้นลงหนึ่งรอบ
“เ้า!” จ้าวไฉ่สยาถูกการกระทำอันเสเพลของเขาทำให้โมโหจนทนไม่ไหว แต่พอคิดถึงแผนการในใจขึ้น จึงทำได้เพียงกล่าวอย่างอดทน “หลิวเหล่าซาน ไม่ใช่ว่าเ้าชอบหูชุ่ยจูหรือ? เหตุใดไม่ให้ครอบครัวเ้าหาแม่สื่อไปสู่ขอล่ะ?”
เขาเบะปาก “สกุลหูในตอนนี้ฐานะครอบครัวเป็อย่างไร จะสนใจคนระดับข้าเสียที่ไหนกัน”
หลิวเหล่าซานเป็น้องสามีของพี่สะใภ้หลิวเอ้อร์ ปีนี้อายุสิบเก้า เมื่อก่อนมักเอ้อระเหยไปมาอยู่กลุ่มเดียวกันกับจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อ นับเป็คนที่อยู่ว่างๆ ไม่เอาถ่าน
“เหอะ เมื่อก่อนสกุลหูเทียบกับครอบครัวเ้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จะมีฐานะอะไรได้ เ้ายกย่องพวกเขาเกินไปแล้ว” จ้าวไฉ่สยารำคาญการหยิบเอาเื่ฐานะของครอบครัวสกุลหูในตอนนี้มาพูดถึงเป็ที่สุด “หลิวเหล่าซาน ข้าจะถามเ้า เ้าอยากแต่งเอาหูชุ่ยจูเข้าบ้านเ้าหรือไม่?”
ภายในใจของเขาสั่นไหวทันที ใช้สายตาไม่แน่ใจมองไปทางนาง
“หากเ้า้า ข้าจะช่วยเ้า” ในดวงตาส่วนลึกของจ้าวไฉ่สยาปรากฏความคิดไม่ซื่อขึ้นแวบหนึ่ง
“…จะช่วยอย่างไร?” หลิวเหล่าซานหวั่นไหว หูชุ่ยจูไม่เพียงงดงามแต่ยังเป็หญิงสาวจากสกุลหู หากสามารถแต่งงานกับนางได้ ชั่วชีวิตนี้ของเขาก็ไม่ต้องกลุ้มใจแล้ว
มุมปากจ้าวไฉ่สยายกยิ้มอย่างเยือกเย็นขึ้นทันที มองซ้ายขวาทีหนึ่ง และก้าวไปทางข้างกำแพงไม่กี่ก้าว หลังจากนั้นทำท่าทีให้เขาตามมา
สองคนซุบซิบเสียงเบาอยู่ข้างกำแพงเป็เวลานาน
ผ่านไปหนึ่งเค่อ สองคนจึงแยกย้ายกันเดินออกจากมุมกำแพงอย่างในใจเต็มไปด้วยแผนการ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ประตูลานบ้านของกำแพงรั้วแห่งนี้ได้เปิดออก จ้าวเสี่ยวเหล่ยยื่นศีรษะออกมาจากด้านใน เขามองซ้ายขวาและเดินออกจากบ้าน หลังจากนั้นหันไปปิดประตูแล้วรีบสาวเท้าวิ่งไปยังทางเข้าหมู่บ้านทันที
...เจินจูกำลังพูดคุยกับหลิ่วฉางผิงอยู่หน้าประตูลาน
“ท่านลุงหลิ่ว ประตูหน้าต่างของคฤหาสน์ในหุบเขาด้านนั้นตอนนี้ใส่เข้าไปดีแล้ว รอปีหน้าพอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิก็เริ่มทาสีกำแพงและเพาะต้นกล้าลงไปได้ ท่านคิดว่าจำเป็ต้องใช้เวลาเท่าไรถึงจะทำงานออกมาได้เสร็จสิ้นเ้าคะ?”
“พวกนี้ข้าเคยคำนวณดูแล้ว เร็วที่สุดก็ต้องสามเดือน หากฤดูใบไม้ผลิมีฝนมากล่ะก็ คงต้องล่าช้าไประยะหนึ่งเลย” หลิ่วฉางผิงมือหนึ่งอุ้มผ้าทอมือสองชิ้น มือหนึ่งหิ้วของขวัญสิ้นปีครึ่งตะกร้ากล่าวอย่างหัวเราะเสียงดัง
“อื้ม จริงสิ การที่ฝนตกปรอยๆ ในฤดูใบไม้ผลิก็เป็อุปสรรคด้วยนี่นะ” อากาศเปียกชื้นไม่เหมาะให้ทาสีกำแพง “เช่นนั้นคงต้องเอาหน่อต้นกล้าแต่ละชนิดปลูกลงไปก่อนแล้วล่ะเ้าค่ะ”
“ใช่ หากอากาศดี ที่จริงทาสีก็ไม่ได้ใช้เวลานานเลย” หลิ่วฉางผิงกล่าว
“เอาล่ะ รบกวนท่านแล้ว ท่านลุงหลิ่ว ยุ่งมาครึ่งค่อนปี ปีนี้ก็ฉลองปีใหม่ให้มีความสุขนะเ้าคะ”
“ฮ่าๆ ไม่รบกวนเลย ยังต้องขอบคุณครอบครัวเ้ามากกว่าที่มีงานให้ทำ ทุกคนล้วนมีความสุขทั้งนั้น”
สองคนกำลังสนทนากัน จ้าวเสี่ยวเหล่ยก็วิ่งพรวดเข้ามาจากประตูลานบ้านอย่างทันทีทันใด
เจินจูชะงักงัน เห็นเขาวิ่งเข้ามาอย่างเร่งด่วนจึงรีบถามออกไปทันที “เสี่ยวเหล่ย เป็อะไรไป? เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
จ้าวเสี่ยวเหล่ยสูดลมหายใจคลายความเหนื่อยหอบ ชำเลืองมองหลิ่วฉางผิงที่อยู่ด้านข้าง ท่าทางของเขาจึงไม่เป็ธรรมชาติพร้อมทั้งไม่กล่าวอะไรออกมา
“ฮ่าๆ” หลิ่วฉางผิงจึงหัวเราะขึ้นและอำลาเจินจูออกจากประตูลานบ้านไป
จ้าวเสี่ยวเหล่ยจึงเดินเข้าใกล้เจินจู กล่าวกระซิบอย่างร้อนใจออกมา “พี่เจินจู เมื่อสักครู่ข้าได้ยินเื่ร้ายแรงเข้า”
เจินจูกะพริบตา เดินไปยังประตูบ้านและปิดลงสลักให้เรียบร้อย
“มา เสี่ยวเหล่ย เข้ามาดื่มชาสักถ้วยในบ้านแล้วค่อยคุยกัน”
ขณะกล่าวก็นำทางเขาเดินเข้าห้องโถงไปด้วย
ให้เขานั่งรออยู่สักครู่ นางจึงยกชาร้อนๆ กับของว่างออกมาจากหลังบ้าน
เห็นเขาดื่มชาไปหลายอึกแล้ว เจินจูจึงยิ้มขึ้น “เอาล่ะ ลองกล่าวมา เป็เื่อะไร?”
วันนี้จ้าวเสี่ยวเหล่ยกับหม่าซื่อมารดาของเขากลับไปเยี่ยมเยือนที่บ้านท่านตาของเสี่ยวเหล่ย จึงตั้งใจลาหยุดหนึ่งวัน พอตอนบ่ายเขากับท่านแม่เพิ่งกลับมาถึงบ้านได้ไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยของคนที่อยู่มุมกำแพงเข้า เดิมทีคิดจะไม่สนใจอยู่แล้ว แต่คาดไม่ถึงเลยว่าในเสียงสนทนาของคนสองคนหนึ่งชายหนึ่งหญิงนั้น ได้เอ่ยถึงชื่อของหูชุ่ยจูอยู่หลายครั้ง
เขาเกิดความประหลาดใจอย่างมาก จึงยกบันไดจากหลังบ้านออกมาเบาๆ แล้วปีนขึ้นไปบนสันกำแพง แอบฟังคำพูดของพวกเขาอย่างเงียบๆ
ยิ่งฟังก็ยิ่งตื่นตระหนก เขาแอบฟังจนถึงท้ายที่สุดก็ใจนเกือบจะหลุดเสียงอุทานออกมา
“จ้าวไฉ่สยากับหลิวเหล่าซาน?” เจินจูขมวดคิ้วเป็ปม
จ้าวไฉ่สยาเกลียดชังและริษยาพี่รองที่สามารถแต่งให้กับจ้าวไป่ิได้ ฉะนั้นจึงอยากวางแผนให้ร้ายพี่รอง ส่วนหลิวเหล่าซานชื่นชอบพี่รองอยู่ แต่ไม่มีความสามารถพอที่จะแต่งด้วยได้ สองคนก็เลยมีความคิดเป็เอกฉันท์และสมคบคิดกัน
หึๆ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก จ้าวไฉ่สยา เมื่อก่อนก็ถูกนางล่อลวง เื่ที่กลิ้งตกเนินเขานางยังไม่ได้สืบหาสาเหตุให้ลึกลงไปเลย ครั้งนี้ยังคิดที่จะก่อเื่ขึ้นมาอีก ได้... นางจะช่วยให้พวกเขาสมปรารถนาเอง
“เสี่ยวเหล่ย ขอบใจเ้านัก โชคดีที่ได้เ้า ไม่เช่นนั้นพี่รองของข้าอาจถูกเอาเปรียบอย่างยิ่งแล้ว” เจินจูกล่าวขอบคุณจากใจจริง
“ไม่ ไม่ต้องขอบคุณเลย ฮิๆ พวกเราเข้าเรียนในโรงเรียนได้นับเป็โชคดีที่ได้จากครอบครัวท่าน พวกท่านล้วนเป็คนดีกันอย่างมาก จ้าวไฉ่สยากับหลิวเหล่าซานจิตใจสกปรก สมคบคิดกัน้าให้ร้ายพี่รองของท่าน ข้าจะมองพวกเขาทำเื่สกปรกได้อย่างไรล่ะ” จ้าวเสี่ยวเหล่ยกล่าวอย่างจริงจัง
“อื้มๆ เสี่ยวเหล่ยกล่าวได้ถูกต้อง พวกเขาจิตใจสกปรก เพราะความเห็นแก่ตัวของตนเองเลยต้องใส่ร้ายป้ายสีทำลายชื่อเสียงคนอื่น ดังนั้นพวกเราจะปล่อยเขาไปง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้” บนใบหน้าเจินจูปรากฏรอยยิ้มปีศาจขึ้น “เสี่ยวเหล่ย พรุ่งนี้เ้าช่วยข้าทีได้ไหม?”
จ้าวเสี่ยวเหล่ยรีบพยักหน้าทันที ครอบครัวพวกเขาล้วนได้รับประโยชน์จากสกุลหูทั้งสิ้น บ้านหลังคามุงกระเบื้องขนาดใหญ่สามห้องที่สร้างใหม่ของตน ล้วนเป็ไม่กี่ปีมานี้จ้าวต้าซานกับหม่าซื่อทำงานอยู่ที่บ้านสกุลหูเพื่อแลกมา พวกเขามักพร่ำกล่าวส่วนดีๆ ของสกุลหูอยู่เสมอ ให้จ้าวเสี่ยวเหล่ยตั้งใจเรียน ในวันข้างหน้าแม้ไม่สามารถสอบเอาซิ่วฉายมาได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถรู้ตัวหนังสือจะได้ไม่เป็คนลืมตาได้แต่มองไม่เห็น [2]
“เช่นนั้นดีเลย พรุ่งนี้ตอนเที่ยง เมื่อเ้าเลิกเรียนแล้วก็มาที่บ้านนี่พร้อมกับผิงอันนะ” เจินจูยิ้มแล้วตบแขนเล็กของเขาเบาๆ
นางห่อเกาเตี่ยนหนึ่งจานเล็กและมอบให้จ้าวเสี่ยวเหล่ยเอากลับไป เมื่อส่งเขาออกจากประตูลานบ้านแล้ว เจินจูจึงลูบคางตัวเองพร้อมกับใคร่ครวญแผนการที่ต้องเตรียมแต่ละอย่างในวันพรุ่งนี้ขึ้น
เที่ยงของวันถัดมา หลังโรงเรียนเลิก
ผิงอันพาจ้าวเสี่ยวเหล่ยกลับมาบ้านพร้อมกัน
เจินจูแจกซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่ให้คนละลูก และเริ่มกำหนดหน้าที่ให้พวกเขา
กระทั่งเด็กสองคนพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจแล้ว นางจึงให้พวกเขาจากไป
ส่วนเจินจูเองวิ่งไปบ้านเก่าสกุลหู
เป็ไปอย่างที่คิด ผ่านไปไม่นานแม่นางน้อยแซ่จ้าวคนหนึ่งในหมู่บ้านเดียวกันก็มาหาชุ่ยจู บอกว่าจ้าวไป่ิรอนางอยู่ในป่าตรงทางเข้าหมู่บ้าน มีเื่อยากจะปรึกษากับนาง เมื่อแม่นางน้อยผู้นั้นกล่าวจบก็วิ่งจากไป
ชุ่ยจูประหลาดใจอย่างมากและแก้มก็แดงขึ้น ในใจยังเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง กำลังลังเลใจว่าควรไปตามนัดหมายดีหรือไม่ เจินจูก็ยื่นตัวออกมาจากด้านหลังของนาง
เฮ้อ แผนการป่าเถื่อนง่ายดายเพียงนี้ เมื่อแม่นางน้อยที่ไร้เดียงสาไม่มีประสบการณ์มาประสบเข้า ย่อมใช้ได้ผลจริงๆ
นางเรียกชุ่ยจูกลับมาในห้องโถง บอกเื่ที่จ้าวเสี่ยวเหล่ยได้ยินเมื่อวานให้นางฟัง ชุ่ยจูใจนใบหน้าซีดขาวไปชั่วขณะ
“ทำไมจ้าวไฉ่สยาผู้นั้นจึงทำเช่นนี้? นางไม่ใช่ว่าแต่งงานไปแล้วหรือ? ได้ยินว่าตอนนี้ยังตั้งครรภ์อยู่ด้วยนี่” ชุ่ยจูใบหน้าซีดขาว พร้อมกับเกิดความสงสัยไปทั่วใบหน้า แต่งงานให้กับผู้อื่นไปแล้ว การโหยหาชายอื่นเป็เื่ที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก
“นั่นต้องเป็เพราะเมื่อก่อนนางชอบจ้าวไป่ิอย่างแน่นอน ทว่าไม่สามารถแต่งกับเขาได้ ส่วนท่านกลับได้แต่งกับคนที่นางชื่นชอบ เพราะอย่างนั้นนางเลยเกิดจิตใจคิดร้ายขึ้นมาอย่างไรล่ะ” เฮ้อ พี่รองของนางช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้วจริงๆ เป็แบบที่คิดไว้เลย วันๆ เอาแต่อยู่บ้านไม่ติดต่อกับผู้คน ใช้การไม่ได้นัก อย่างไรเสียใจคนก็ไม่อาจคาดคะเน หากใสซื่อบริสุทธิ์เกินไปจะรับมือกับความสัมพันธ์อันแสนซับซ้อนของมนุษย์ได้อย่างไร
ชุ่ยจูสีหน้านิ่งอึ้ง “ในหมู่บ้านพวกเรา หญิงสาวที่ เอ่อ... ชื่นชอบเขาก็มีไม่น้อย หรือเพราะการชอบเขาก็ไม่ยินยอมให้เขาได้แต่งงานหรือ? แต่ตัวจ้าวไฉ่สยาเองก็แต่งงานไปแล้วนี่ นางยังโหยหา เอ่อ... เขาอยู่ แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
“ฮ่าๆ” เจินจูหัวเราะเสียงดัง พี่รองของนางเป็ตัวแทนของความโง่อย่างมากและบริสุทธิ์ไร้เดียงสามากจริงด้วยนะนี่ “จิตใจคนเป็สิ่งที่สลับซับซ้อนยิ่งนัก แม้จ้าวไฉ่สยาจะแต่งงานไปแล้ว แต่นางไม่ใช่ว่าชื่นชอบเซียงกงของนางถึงได้แต่งงาน นางแต่งให้กับพ่อม่ายที่ร่ำรวย นางเป็แม่นางน้อยที่อยู่ในวัยสาวกลับต้องแต่งไปเป็แม่เลี้ยงให้คนเขา ท่านว่านางจะเต็มใจหรือ? เพียงเพื่อทรัพย์สินเงินทองนางถึงได้แต่งให้เขา ดังนั้นนางจึงไม่ได้ยินดีเลย”
“…ไม่ยินดีแล้วมาวางแผนให้ร้ายข้าหรือ?” ชุ่ยจูจ้องตาโต “เช่นนั้น หากเขาขอผู้อื่นแต่งงานล่ะ? จ้าวไฉ่สยาก็จะวางแผนทำเช่นนี้หรือ?”
“อืม นี่ก็ไม่แน่นะ อย่างไรเสียพวกเราก็ไม่ค่อยถูกกับนางั้แ่เด็กแล้วนี่ บางทีอาจเป็เพราะนางไม่อาจทนมองพวกเรามีความสุขก็เป็ได้” เจินจูยักคิ้ว
เชิงอรรถ
[1] จมูกรั้นขึ้นฟ้า หมายถึง หยิ่งยโสถือดี เหยียดผู้อื่น ดูแคลนและเต็มไปด้วยความดูถูก หรือการอธิบายท่วงท่าว่าไม่มองคนตรงๆ มองด้วยหางตา
[2] ลืมตาได้แต่มองไม่เห็น หมายถึง การเป็คนไม่รู้หนังสือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้