หลัวจิ่งก็เห็นทหารม้าควบมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน เขาขมวดคิ้วแน่นและเพิ่มความเร็วฝีเท้าขึ้น
อ้อมผ่านก้อนหินระเกะระกะและต้นไม้รกมาด้วยความรวดเร็ว รีบวิ่งไปทางหลัวสือซานที่อยู่บนูเา
หลัวสือซานปรากฏความดีใจขึ้นบนใบหน้า กำลังคิดจะกล่าววาจาออกมา แต่หลัวจิ่งดึงให้เขาลุกขึ้นมาเสียก่อน “เร็ว จากานปาลาไล่ตามมาแล้ว พวกเราขึ้นไปทางเทือกเขาตะวันตกก่อน ตรงนั้นต้นไม้ต้นหญ้าหนาแน่น ไม่เหมาะเดินทางด้วยม้า”
หลัวสือซานสีหน้าเคร่งขรึม หันกลับไปกวาดตามองแวบหนึ่ง เป็ไปตามที่คิด พอมองไปก็เห็นทหารม้าเกือบร้อยคนควบม้าเร็วเข้ามาทางพวกเขา
ในเวลานั้น เขารวบรวมแรงใต้ฝ่าเท้าขึ้นและตามอยู่ด้านหลังหลัวจิ่ง มุ่งไปเทือกเขาทิศตะวันตกอย่างฉับไว
กลุ่มเทือกเขาตะวันตกมีูเาสูงและเส้นทางอันตราย ถนนูเาขรุขระอย่างมากและตอนนี้ยังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน คนทั่วไปยากที่จะปีนป่ายขึ้นที่สูง ส่วนกำแพงเมืองถงหลินสร้างไปตามแนวูเา ก่อเป็ฉากกำแพงปกป้องเมืองที่เหมือนเกิดขึ้นตามธรรมชาติ
หลัวจิ่งใช้สายตาที่ดี กระทำการอำพรางกายขึ้นไปยังที่สูงอย่างคล่องแคล่ว หลัวสือซานตามอยู่ด้านหลังมาติดๆ สองคนเคลื่อนกายหลบซ่อนท่ามกลางูเาสูงตระหง่านด้วยความคล่องแคล่วและเงียบเชียบ
จากานปาลาขี่ม้านำอยู่ด้านหน้ามุ่งไปทางเทือกเขาตะวันตกด้วยความเร่งรีบ เขามีคำสั่งลงไปให้ปิดทางเข้ารอบด้านของประตูเมืองถงหลินแล้ว หนานหม่านจื่อที่วางเพลิงทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่เท่านั้น อีกด้านหนึ่งเคยเป็ทะเลทรายโกบีที่มีประชากรเบาบาง ด้วยเหตุนี้จึงเป็ไปได้ที่พวกเขาจะหลบซ่อนตัวอยู่บนเทือกเขาทางตะวันตกมากที่สุด
“กุบกับๆ” ม้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางบนูเาที่มืดสนิท คบไฟส่องสว่างเกิดแสงสลัวๆ ไปทั้งสองฝั่งข้างทางท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ร่วง หินสะเปะสะปะ พุ่มไม้เตี้ย และต้นไม้กีดขวางการก้าวเดินของม้า
“ลงจากม้า แบ่งเป็ห้าหน่วย แล้วกระจายกันขึ้นเขาค้นหา หากจับคนไว้ได้ พรุ่งนี้จะแขวนไว้บนปืนใหญ่และส่งพวกเขากลับเมืองไป” เสียงจากานปาลาะโอย่างป่าเถื่อนก้องไปทั่วทั้งป่าเขา
ในกลางดึกเสียงกราดเกรี้ยวที่ะเิขึ้นอย่างกะทันหันทำเอาเหล่าสัตว์ปีกแตกตื่นพากันบินขึ้น
เป็ธรรมดาที่หลัวจิ่งกับหลัวสือซานจะได้ยินเช่นกัน สองคนเร่งความเร็วใต้ฝ่าเท้ามุ่งไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง ไม่ได้สะทกสะท้านจากเสียงนั้นเลยสักนิด
หน้าผาสูงและชัน เส้นทางูเาขรุขระ ต้นไม้รกและหินระเกะระกะตั้งเรียงทอดยาว แม้สองคนจะได้รับการฝึกมาไม่น้อย แต่ลมหายใจก็ค่อยๆ หนักหน่วงขึ้น
เสื้อผ้าด้านหลังของหลัวจิ่งเปียกโชกไปด้วยเหงื่อนานแล้ว ความหนาวเย็นของปลายฤดูใบไม้ร่วงไม่สามารถขจัดความร้อนออกจากร่างกายของเขาได้เลย เม็ดเหงื่อหยดจากหน้าผากร่วงลงสู่พื้นดิน แววตาของเขาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ฝีเท้ามั่นคง บนใบหน้าหนักแน่นไม่มีความเป็เด็กเลยแม้แต่น้อย นำทางหลัวสือซานมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาฝั่งตะวันตกบนเส้นทางมืดมิดด้วยความสุขุมเยือกเย็น
เื้ัเป็เงาไฟไหววูบที่ทหารไล่กวดตามมามากมาย จากานปาลาดั่งสุนัขล่าเนื้อจ้องเหยื่อ ที่้าไล่กัดพวกเขาให้ตายไม่อย่างนั้นก็จะไม่เลิกลา
กลางดึกที่ไร้แสงสว่าง ดวงจันทร์ถูกชั้นเมฆปกคลุม ในป่าเขาบรรยากาศเย็นเยือก ขณะที่สองคนจวนจะเหนื่อยอ่อนสูญสิ้นกำลัง ในที่สุดก็หาทางเข้าไปยังทางเดินลับจนเจอ
นั่นเป็ทางทะลุร่องน้ำระหว่างูเาที่อำพรางไว้แห่งหนึ่ง บริเวณปากทางเข้าเต็มไปด้วยพุ่มไม้ไม่สูงนักที่มีหนามแหลม สองคนอ้อมผ่านพุ่มไม้และเบี่ยงกายสอดตัวเข้าไประหว่างพุ่มไม้กับซอกกำแพงหิน
หลัวจิ่งหันกลับไปใช้ด้ามดาบจัดพุ่มไม้เตี้ยที่แหวกเปิดอยู่ให้กลับไปในสภาพเดิมอีกครั้ง
ถนนร่องน้ำตามูเาคับแคบวกไปวนมา แทบจะไม่มีแสงสว่างเลยสักนิด การเดินอ้อมนี้ต่อให้มีความสามารถในการมองเห็นอันยอดเยี่ยมตอนกลางคืนของหลัวจิ่ง ก็ฝืนเห็นได้เพียงคร่าวๆ เล็กน้อยเท่านั้น เขาล้วงเอาถุงผ้าไหมหนึ่งใบออกมาจากในหน้าอก เทไข่มุกหนึ่งเม็ดที่อ่อนโยนและมีแสงสว่างเรืองรองแผ่กระจายออกมา
นั่นเป็เย่ิจู [1] หนึ่งเม็ดมีขนาดโตกว่าไข่นกพิราบนิดหน่อย เป็สิ่งที่หลัวรุ่ยให้กับเขาไว้ เขาพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ยามนี้สามารถนำออกมาใช้ได้พอดี
แสงรำไรของเย่ิจูส่องแสงอยู่บนเส้นทางสองฝั่งของร่องน้ำระหว่างูเา หลัวสือซานกวาดสายตาแวบหนึ่ง ใจนขนตามร่างกายตั้งชันไปชั่วขณะ สองข้างทางร่องน้ำระหว่างูเามีรูอุโมงค์เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ในรูอุโมงค์เ่าั้มีฝูงงูน้อยใหญ่วนเวียนอยู่ ฝูงงูในอุโมงค์เล็กมีอยู่ไม่กี่ตัว ส่วนฝูงงูที่อยู่ในอุโมงค์ใหญ่มีอยู่สิบกว่าตัว งูบางตัวมองมาทางพวกเขาแล้วพ่นลิ้นออกมา
“…คุณชาย ฝูงงูมากมายนัก งูมากมายเพียงนี้? จะผ่านไปได้อย่างไรขอรับ?” หลัวสือซานลดเสียงถามให้เบาลงอย่างกังวล
หลัวจิ่งก็เห็นฝูงงูเช่นกัน แต่เขากลับไม่มีความหวาดกลัวเลยสักนิดอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งคิดไปถึงเหตุการณ์ที่เด็กสาวกล้าหาญผู้หนึ่งหาบงูหนึ่งไม้หาบขึ้นอีกด้วย
หากเสี่ยวเฮยอยู่ตรงนี้ เกรงว่าต้องมีพะโล้เนื้องูให้ทานอีกเป็แน่
มุมปากของเขายกยิ้มขึ้น
ดวงตาหลัวสือซานจ้องจนกลมดิก นี่คุณชายเป็อะไรไป? เห็นงูมากมายเพียงนั้นยังยิ้มออกมาได้อีก
“ไม่ต้องกลัวพวกมัน ใกล้จะเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว พวกมันเคลื่อนไหวช้ามาก อีกเดี๋ยวเ้าตามติดข้าไว้ พวกเราจะบุกผ่านไปด้วยความรวดเร็ว” หลัวจิ่งเลิกคิ้วขึ้น ท่าทางผ่อนคลาย
หลัวสือซานมองฝูงงูที่รวมตัวกันเป็หย่อมๆ ฝืนข่มหนังศีรษะที่ชาวาบขึ้นให้ผงกศีรษะรับ
หลัวจิ่งมองสภาพบนพื้นดีแล้ว สูดลมหายใจเข้าลึกเล็กน้อย “ไป!”
ใต้ฝ่าเท้าก้าวะโขึ้นมาในรวดเดียว และพุ่งตรงไปด้วยการสาวเท้าอย่างรวดเร็ว
หลัวสือซานกัดฟันเดินตามหลังเขาไปติดๆ ด้วยจังหวะถี่ๆ
จุดสิ้นสุดทางร่องน้ำระหว่างูเาเป็ผาลาดชันลึกแห่งหนึ่ง ยามนี้มีสะพานไม้กว้างประมาณหนึ่งหลายาวสิบหลาอยู่บนหน้าผา
ด้านตรงข้ามมีแสงไฟปรากฏเลือนราง หลัวสือซานยินดีอย่างยิ่ง หยุดฝีเท้าลง และส่งสัญญาณลับขึ้น
“ดุเหว่า… ดุเหว่า… ดุเหว่า” ร้องเสียงนกกาเหว่าขึ้นสามครั้ง
“…กรู …กรู” อีกฝั่งใช้เสียงนกเขาตอบกลับมาสองครั้ง
บนผาลาดชันฝั่งตรงข้าม แสงไฟเริ่มสว่างขึ้นช้าๆ มีทหารแขวนโคมไฟขึ้น
หลัวจิ่งรีบเก็บเย่ิจูในมือทันที บอกใบ้ให้หลัวสือซานข้ามไปก่อน
หลัวสือซานไม่ได้ลังเล สูดลมหายใจเข้าลึกสร้างกำลังใจขึ้น
หลัวจิ่งรอจนเขาลงไปอยู่บนพื้นฝั่งตรงข้ามแล้ว จึงข้ามสะพานไปอย่างฉับไว
นายทหารเก็บสะพานไม้ทันที แล้วกลิ้งหินก้อนมหึมาปิดทางผาลาดชันไว้ ทางเดินลับจึงปิดตายลง
ทางเดินลับแห่งนี้เป็ช่องทางที่อาณาจักรต้าสยาใช้เพื่อปฏิบัติภารกิจลับมาโดยตลอด มีเพียงนายทหารชั้นสูงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงการมีอยู่ของมัน
หลัวจิ่งกลับมาถึงภายในเมือง ขอบฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นแล้ว
หานสี่รอคอยพวกเขาไม่หลับไม่นอนอยู่ตลอดทั้งคืน เมื่อเห็นพวกหลัวจิ่งสองคนกลับมาอย่างปลอดภัย รู้สึกปลื้มใจอย่างมาก ชมเชยสองคนอยู่นานพักหนึ่ง
เสบียงของชาวตาตาร์ถูกเผาทำลาย และเป็ไปไม่ได้เลยที่จะจัดหาเสบียงจำนวนมากภายใน่ระยะเวลาอันใกล้นี้ได้ทัน เสบียงอาหารของทหารกับหญ้าเลี้ยงม้าล้วนเป็สิ่งที่จำเป็ทั้งสิ้น แต่ในขณะนี้ได้ถูกเผาเป็เถ้าถ่านไปหมดแล้ว
...ค้นหาอยู่เทือกเขาตะวันตกตลอดทั้งคืน แต่จับผู้ต้องสงสัยใดไม่ได้เลย จากานปาลาโมโหจนถึงขีดสุดผิดกับรอยยิ้มที่แค่นออกมา พอฟ้าสว่างจะเริ่มโจมตีเมืองถงหลินขึ้นอย่างรุนแรงจนถึงที่สุดทันที
ทหารเข้าบุกโจมตีประตูกำแพงเมืองดั่งกระแสน้ำติดต่อกันไม่ขาดสาย เป็คลื่นลูกแล้วลูกเล่า หน้าประตูเมืองถงหลินเืนองหลั่งไหลกลายเป็สายธาร
หานสี่นำวิธีการก่อนหน้าที่เคยใช้ไปแล้วหมุนเวียนกลับมาใช้อีกรอบ ทั้งผงพริกป่น น้ำส้วมหลุม กลิ้งไม้ ก้อนหินใหญ่... ต้านการโจมตีอย่างเต็มที่ผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า บนพื้นหน้าประตูเมืองจึงเต็มไปด้วยเืสีแดงสดและศพกลาดเกลื่อนไปทั่วหนึ่งผืน
แต่ทหารศัตรูไม่มีเค้าลางของการถอนทัพไปเลยสักนิด ชาวตาตาร์พรั่งพรูกันเข้ามาเรื่อยๆ ราวกับไม่กลัวตาย
หานสี่ขมวดคิ้วแน่น จากานปาลากับอามู่เอ่อร์กำลังคิดแบกน้ำต่อสู้ [2] ตัดสินแพ้ชนะให้ได้ในหนึ่งการรบเลยใช่หรือไม่?
หลัวจิ่งไม่ได้นอนเลยทั้งคืน เขายืนอยู่ด้านหลังขององค์ชายสี่ มองสิ่งน่าตึงเครียดที่เกิดขึ้นบนสนามรบ
การเผาทำลายเสบียงของทหารและหญ้าเลี้ยงม้า กระตุ้นให้องค์ชายสามของหว่าชื่อและผู้นำของตาตาร์เกิดอารมณ์ขึ้น ทั้งสองคน้าต่อสู้สร้างความเสียหายและทั้ง้าโจมตีเมืองถงหลินขึ้นในคราวเดียว
ทหารบนกำแพงเมืองได้รับาเ็และเสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ หลายครั้งศัตรูพุ่งขึ้นมาถึงบนกำแพงเมืองจากบันได หลังจากนั้นก็ถูกทหารต้าสยาฟันร่วงลงไปบนพื้น คราบเืบนกำแพงเมืองเป็จุดด่างๆ มากมาย กลิ่นคาวเืเข้มข้นยิ่ง
ทหารภายในกำแพงเมืองที่ถูกปืนใหญ่กระแทกส่งเสียงร้องน่าเวทนาติดต่อกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สถานการณ์ค่อนข้างไม่ดีอย่างมาก หานสี่เห็นดังนั้นจึงเริ่มจัดวางการป้องกันภายในเมืองขึ้น เมื่อประตูเมืองถูกปะทะเสียหาย กองทัพใหญ่พร้อมออกรบทันที
หลัวจิ่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาขนย้ายน้ำมันดำที่เหลืออยู่ในลานบ้านมา ทำการสาดลงบนรถที่ปะทะกำแพงเมืองและบนศพบริเวณใกล้เคียงที่อยู่ใต้ประตูกำแพง ทันทีหลังจากนั้นก็จุดไฟติดลูกธนู ยิงตรงไปบนรถและร่างมนุษย์ ทำให้สถานการณ์เพลิงไหม้โหมลุกขึ้นในชั่วพริบตาเดียว ภายใต้กำแพงเมืองเกิดเสียงร้องน่าเวทนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปชั่วขณะ มีทหารที่ทั้งร่างเกิดไฟลุกท่วมกลิ้งไปบนพื้นทุกแห่งหน น้ำมันดำสาดกระจายลงพื้นไปมากยิ่งขึ้น
บริเวณแนวหลัง จากานปาลากับอามู่เอ่อร์สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เดิมทีสถานการณ์ที่กำลังดีอยู่ได้เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน บริเวณประตูเมืองกลายเป็ทะเลเพลิงหนึ่งผืน เสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาไม่จบสิ้น ทหารด้านหลังไม่กล้าเข้ามาใกล้ด้านหน้า บันไดที่พาดกำแพงไม่กี่อันต่างก็ลุกเป็ไฟอย่างรุนแรง ทหารบนบันไดร้องโหยหวนและร่วงลงไปบนพื้น ตกลงไปอยู่ในทะเลเพลิงทั้งสิ้น
อามู่เอ่อร์ถอนหายใจยาว “ถอนทัพเถอะ”
ดวงตาสองข้างของจากานปาลาปะทุความโกรธขึ้นอย่างรุนแรง ฟันทั้งปากเกือบจะขบกันจนแหลกละเอียด
...บ้านในอำเภอเจิ้นอันซื้อมาเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้มีราคาสูงเหมือนที่ฟางเสิงคาดเดา ในเมืองที่เป็อำเภอมีครอบครัวร่ำรวยจำนวนมาก้าขายบ้านพักที่ไม่ได้ใช้งานทิ้งไปในราคาถูก เพื่อเปลี่ยนเป็เงินสด หากบริเวณโดยรอบเกิดการจลาจลขึ้น การพกเงินและตั๋วเงินติดตัวไปด้วยจะสะดวกมากกว่า
บ้านหนึ่งหลังประตูสองชั้นทางฝั่งตะวันตกของเมืองที่เป็เขตอำเภอ ค่อนข้างใกล้กับวัดเฉิงหวงอย่างมาก เนื้อที่ไม่น้อยและห้องข้างโถงใหญ่ก็มีมาก แล้วยังมีพื้นที่หลังบ้านที่สามารถปลูกผักผลไม้ได้เล็กน้อย
เนื่องจากเร่งรีบอย่างมาก ฟางเสิงจึงซื้อบ้านไว้ภายใต้ชื่อของตนเองอย่างลวกๆ อันเนื่องมาจากสถานการณ์คับขัน
“เดิมทีต้องเป็สองร้อยยี่สิบเหลียง แต่ผู้าุโติงต่อรองราคากับเ้าของเดิมอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงซื้อมาด้วยราคาสองร้อยเหลียง มีเครื่องเรือนและภาชนะถ้วยชามต่างๆ ครบครัน คนสามารถเข้าไปพักอาศัยได้เลย” ฟางเสิงอธิบายหนึ่งรอบและนำโฉนดบ้านมอบให้แก่เจินจู
เจินจูเปิดออกดูสองทีแล้วยิ้มขึ้น “ยอดเยี่ยมไปเลย อาจารย์ฟางดำเนินการได้เหมาะสมยิ่ง เช่นนั้นพวกอาหยวนได้ย้ายเข้าไปแล้วหรือเ้าคะ?”
”ผู้าุโติงให้คนชราและเด็กเข้าไปอาศัยก่อน หลังจากนั้นขนย้ายเสบียงกับหญ้าเลี้ยงกระต่ายตามเข้าไป ตอนนี้กระต่ายที่พวกเขาเลี้ยงมีมาก กลิ่นยิ่งรุนแรง ความเห็นของผู้าุโติงคือปล่อยเลี้ยงไว้ที่วันเฉิงหวงก่อน สองสามวันนี้พวกเขาจะเริ่มทยอยนำกระต่ายไปขาย เตรียมเลี้ยงให้น้อยลงเป็การชั่วคราว” ฟางเสิงกอบถ้วยชาขึ้นดื่มหนึ่งอึก เขากับอาชิงอาศัยอยู่ที่อำเภอเจิ้นอันหนึ่งคืน ช่วยผู้าุโติงขนย้ายของจนเรียบร้อย ขณะนี้ในอำเภอยังถือว่าปกติดี แค่ราคาสินค้าสูงขึ้นอย่างดุเดือดไปหน่อย
เจินจูพยักหน้า ผู้าุโติงประสบกับอุปสรรคมามาก เข้าใจประเมินสถานการณ์ได้เป็อย่างดี สามารถทำการตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ต่อตัวพวกเขาเองได้
“พี่เจินจู ผู้าุโติงให้พวกข้าขอบคุณแทนพวกเขา รอผ่าน่นี้ไป เขาจะให้พวกเด็กๆ มาคุกเข่าโขกศีรษะให้คนสกุลหู” อาชิงนั่งอยู่ด้านข้างฟางเสิงกล่าวเสริมขึ้นมา
“อย่าเลย เหนื่อยแค่ยกมือเท่านั้นเอง ไม่ต้องขอบคุณเป็พิเศษหรอก พวกเขารักษาตนเองให้ดี ไม่ได้รับอันตรายจากโลกภายนอกก็ดีมากแล้ว” เจินจูรีบโบกไม้โบกมือ คุกเข่าโขกศีรษะอะไรนี่ไม่ใช่สิ่งที่นาง้าเลยจริงๆ
ผู้าุโติงเป็คนมองการณ์ไกล เมื่อสามปีที่แล้วหลังการเลี้ยงกระต่ายเริ่มมีกำไร เขาก็ลดเวลาออกไปทำงานด้านนอก และเริ่มสอนเด็กผู้ชายให้ฝึกคัดตัวอักษรและเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ สามปีผ่านไปบรรลุผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เด็กน้อยเ่าั้ล้วนแล้วแต่ขยันหมั่นเพียร ทั้งตั้งใจทั้งสามารถทนความลำบากได้ เด็กบางคนก็มีความสามารถดีเทียบกับพวกผิงอันแล้วเรียนรู้ได้ไม่เลวเลยทีเดียว
มีเด็กที่มีศิลปะการต่อสู้ไม่ธรรมดาเหล่านี้อยู่ ก็สามารถเพิ่มความรู้สึกปลอดภัยให้ได้ไม่น้อย
สองสามปีมานี้ วัดเฉิงหวงทยอยรับคนชราและเด็กที่ไร้บ้านให้เข้ามาค่อนข้างมาก ภาระบนบ่าของผู้าุโติงไม่เบาตามไปด้วย เจินจูเลื่อมใสเขายิ่งนัก
สิ่งที่นางทำได้ คือจัดหาสิ่งของและวัตถุดิบเล็กน้อยให้กับผู้าุโติง ของจำพวกเครื่องเขียน ผ้าหยาบกับผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด โต๊ะหนังสือกับเตียงไม้ ข้าวสาร แป้ง เนื้อ ผักและอื่นๆ ขอแค่สิ่งไหนที่ในบ้านมีมากมายอุดมสมบูรณ์ จะตระเตรียมขึ้นหนึ่งชุดแล้วนำไปส่งให้
การซื้อบ้านในอำเภอเจิ้นอัน เป็ความคิดที่เกิดขึ้นมาเมื่อตอนที่ผู้อพยพวิ่งวุ่นไปทั่วในปีที่แล้ว แต่นางนึกไม่ออกไปชั่วขณะเท่านั้นเอง อย่างไรเสียในอำเภอเจิ้นอันก็มีทางการมีทหารตั้งมั่นอยู่ มีความปลอดภัยสูงมากกว่านอกเมือง มีบ้านให้พักหนึ่งหลังสำหรับพวกเขาเป็อะไรที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆ
“เจินจู ทานข้าวได้แล้ว” จ้าวหงยู่ยกกับข้าวเดินเข้ามาในห้องโถง บนใบหน้าระงับสีแดงเืฝาดไว้ไม่อยู่
เมื่อเ้าหงยู่เข้าห้องโถงมา สายตาของฟางเสิงก็หยุดอยู่บนแก้มงดงามชุ่มชื้นอมชมพูอย่างไม่อาจละสายตา สองคนกำหนดวันแต่งงานกันแล้ว ตามประเพณีก่อนแต่งไม่ควรพบหน้ากัน โอกาสเหมือนเช่นนี้ที่สามารถมองนางได้อย่างตรงไปตรงมามีไม่มากเลย
จ้าวหงยู่รู้สึกถึงสายตาจ้องมองตรงมาที่นางอย่างร้อนแรง แก้มของนางก็ร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
นางวางกับข้าวในถาดรองอย่างเร่งรีบ หมุนกายคิดจะจากไป
“อาชิง ข้ากับเ้าไปดูเ้าเหมาฉิวกัน เ้าคิดจะอุ้มมันไปเมื่อไรดี?” เจินจูส่งสัญญาณทางแววตาไปให้อาชิง
อาชิงเข้าใจทันที สองคนจึงออกไปจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว
จ้าวหงยู่สีหน้าแดงขึ้นชัดเจน ทั้งอยากเดินจากไปและทั้งตัดใจไปไม่ได้เล็กน้อย
“หงยู่” ฟางเสิงเดินมาด้านหน้ากุมมือของนางไว้ เรียกด้วยเสียงอ่อนโยน
ชั่วขณะหนึ่ง จิตใจทั้งสองคนต่างก็เกิดความรู้สึกวาบหวามขึ้น
เชิงอรรถ
[1] เย่ิจู หรือ 夜明珠 คือ ไข่มุกที่เปล่งแสงเรืองรองออกมา มีอยู่ในเทพนิยายจีน
[2] แบกน้ำต่อสู้ หรือ 背水一战 หมายถึง การหมดทางถอยจนต้องสู้จนตายอย่างเดียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้