“…”
เจินจูจนปัญญา “เสี่ยวเฮย เ้าเป็แค่แมวหนึ่งตัว OK? อย่าเอาแต่แย่งอาหารของกระต่ายได้ไหม?”
นอกประตู เสี่ยวเฮยแทะฟางอย่างมีความสุข ได้ยินดังนั้นก็ร้องแค่ “เหมียว” ไม่ได้ฟังคำพูดของนางเลยสักนิด
“ชิๆ เ้าว่าเ้าเอาแต่กินสิ่งเหล่านี้ สามารถย่อยได้หรือ? หากว่าถ่ายไม่ออก อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน” เจินจูนั่งยองลงตรงหน้ามัน จิ้มศีรษะเล็กๆ ของมันแล้วกล่าวอย่างยิ้มกริ่ม
เสี่ยวเฮยเอียงคอมองนางแวบหนึ่ง แล้วเดินย่ำเท้าด้วยจังหวะสง่างามจากไป พร้อมกับใบหน้าเหยียดหยามที่คาบฟางไว้ด้วย
โห เ้าแมวฉลาดนี่ นั่นคือสายตาอะไรกัน เจินจูหยัดกายขึ้นอย่างนิ่มนวลและขบขัน
ยามพลบค่ำฝนที่ตกปรอยลงมาค่อยๆ หยุด แสงยามโพล้เพล้ไกลสุดลูกหูลูกตา
หลิ่วฉางผิงมาถึงบ้านสกุลหูแจ้งความคืบหน้าของบ้านใหม่ให้ทราบเป็กิจวัตร
เจินจูจึงนำทางเขาไปดูส้วมนั่งยองอันใหม่
“ใช้… สิ่งนี้ทำห้องส้วม?” หลิ่วฉางผิงลังเลใจ ยกส้วมนั่งยองสังเกตขึ้นลงอย่างละเอียดด้วยความระมัดระวัง
“อื้ม ใช่แล้วเ้าค่ะ!” เจินจูกล่าวด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข คิ้วและตาโค้งเป็พระจันทร์เสี้ยวหนึ่งดวงตามความรู้สึกดีใจของนาง
นางวางส้วมนั่งยองตั้งตรง อธิบายประโยชน์ใช้สอยของมันพร้อมใช้มือและเท้าทำท่าทางให้ดูด้วย
หลิ่วฉางผิงฟังด้วยความตั้งใจ พยักหน้าเป็ระยะๆ สุดท้ายมองนางแล้วกล่าวด้วยใบหน้าเคารพเลื่อมใส “ห้องส้วมที่สร้างเช่นนี้ เป็ครั้งแรกที่ข้าพบเห็น ดูแล้วสะอาดถูกสุขอนามัยนัก”
มองที่อ่างล้างหน้าบ้วนปากและอ่างล้างผักที่มีช่องเปิดเหมือนกันอีกครั้ง ผ่านการอธิบายของเจินจู เขาเข้าใจประโยชน์ของปากรูเล็กทันที “จุ๊ๆ เป็สมองเล็กนี้ของเ้าที่สามารถคิดของเช่นนี้ออกมาได้ อื้ม สะดวกจริงๆ”
เจินจูเอาแต่หัวเราะ ทั้งไม่ยอมรับและไม่กล่าวปฏิเสธด้วยเช่นกัน
สองคนสนทนาตำแหน่งที่ตั้งกันอย่างละเอียดครู่หนึ่ง แล้วหลิ่วฉางผิงจึงหยัดกายขึ้นกล่าวลา ปฏิเสธคำรั้งให้อยู่ทานข้าวของหลี่ซื่ออย่างนุ่มนวล สุดท้ายเขาก็ถืออาหารพะโล้หนึ่งถ้วยใหญ่กลับไปอย่างสำราญใจ
หลิ่วฉางผิงไม่ได้โลภเอาเปรียบสิ่งเล็กน้อยนี้ของสกุลหู แต่เพราะอาหารพะโล้แต่ละอย่างของสกุลหูได้รับความนิยมมากเกินไปจริงๆ ทุกครั้งที่มาถึงบ้านสกุลหูต้องได้อาหารพะโล้กลับไปด้วยทุกครั้ง เด็กสามคนของที่บ้านมีความสุขและตื่นเต้นเหมือนฉลองปีใหม่เลยทีเดียว ต่างกะพริบตามองอาหารพะโล้ในมือของเขา ท่าทางเช่นนั้นขาดแค่น้ำลายไหลแล้ว
หลิ่วฉางผิงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง เพราะต้องสนทนาทุกปัญหาของบ้านใหม่กับสกุลหูอยู่เสมอ เขาจึงวิ่งมาบ้านสกุลหูทุกสองสามวัน หลี่ซื่อล้วนให้เขาเอากลับบ้านไปหนึ่งถ้วยใหญ่ทุกครั้ง ทำจนเขาเกรงใจขึ้นมานิดหน่อย เลยทำได้เพียงตั้งใจอย่างสุดกำลังความสามารถในการสร้างบ้านมากขึ้น
ละอองฝนต้นฤดูใบไม้ผลิตกติดต่อกันเป็ระยะ ความชุ่มชื้นของน้ำฝนแทรกซึมลงสู่ที่นา เป็่ปรับปรุงดินก่อนหว่านเมล็ดของปีพอดี เหล่าชาวไร่ชาวนาส่วนใหญ่ล้วนฝ่าสายฝนที่โปรยปรายลงมาไปทำไรไถนากัน
นาลุ่มของสกุลหูมีไม่มาก แล้วยังมีวัวไถนาที่แข็งแรงช่วยไถอีก ชายชราสกุลหูนำทางสองพี่น้องไถนาลุ่มไม่กี่หมู่ทั้งหมดของสองบ้านก่อน ต่อมาก็ไถนาดอนทั้งหมดหนึ่งรอบ ตอนเพาะปลูกนี้ ประโยชน์ของการมีวัวช่วยไถที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ สามารถย่นระยะเวลากว่าปีก่อนๆ มากกว่าครึ่ง เวลาหว่านเมล็ดและดำต้นกล้าก็มีเหลือมากพอ
แต่หูฉางกุ้ยกลับยุ่งจนเท้าแทบไม่ััพื้นอยู่ชั่วขณะ งานการเกษตรหนึ่งกองอย่างไถนา หว่านเมล็ด ดำต้นกล้า ใส่ปุ๋ย... เว้นสองถึงสามวันยังต้องเร่งเกวียนล่อไปส่งสินค้าในเมืองหนึ่งครั้ง ยุ่งจนเขาแทบอยากจะมีแขนงอกเพิ่มสองคู่และขางอกเพิ่มสองข้างเลยทีเดียว
เด็กสาวของสกุลหูปกติแล้วไม่ได้ไปทุ่งนาทำงาน แต่เดิมที่นาของที่บ้านไม่มาก ผู้ใหญ่ทำการเพาะปลูกด้วยตนเองอย่างยากลำบากอยู่ไม่กี่วันก็เสร็จสิ้น ตอนนี้ที่บ้านมีวัวเพิ่มขึ้นมา ยิ่งไม่จำเป็ต้องให้บุตรสาวมาทำงานที่ยากลำบากนี้
ขณะนี้การเคลื่อนไหวมือและเท้าของชายชราสกุลหูคล่องแคล่วไม่น้อย เดินมั่นคงและสุขุม สองขามีพละกำลัง แม้ยังเ็ปอยู่บ้างแต่ความเ็ปเล็กน้อยเช่นนี้สำหรับเขาแล้วไม่นับว่ามากมายอะไร ทุกวันหลังทานอาหารมื้อเช้าเสร็จก็จูงวัวและแบกจอบไว้บนบ่ามายังที่นาทำงานด้วยความเบิกบานใจ
วัวไถนาของสกุลหูสูงใหญ่และร่างกายกำยำล่ำสัน ไถนาได้เร็วและดี ครอบครัวเกษตรกรที่บ้านมีที่นามากก็ทยอยกันมาเอ่ยปากขอยืมใช้วัวไถนาของสกุลหู กลัวมากว่าจะพลาดโอกาสดีๆ ในการเพาะปลูก ตามหลักปฏิบัติเมื่อก่อน หากขอยืมใช้วัวหนึ่งวันจะเป็เงินสิบเหวิน เดิมทีหวังซื่อไม่อยากหาเงินด้วยวิธีนี้ กลัวว่าวัวไถนาของครอบครัวตนเองจะเหนื่อย แต่ถึงอย่างไรต่างก็เป็คนคุ้นเคยในหมู่บ้านและมาจากถิ่นเดียวกัน คงไม่ดีถ้าต้องผิดใจกัน จึงตอบรับชาวไร่ชาวนาที่รู้จักมักคุ้นกันไม่กี่ครอบครัว
หูเฉวียนฝูปฏิบัติต่อวัวไถนาของบ้านตัวเองเป็สิ่งล้ำค่ามาก แต่ไหนแต่ไรมามักจะจูงมันไปเดินเล่นและป้อนอาหารให้มันเป็ประจำ สำหรับการยืมวัวแล้ว แม้เขาไม่ได้เอ่ยห้ามแต่ขมวดคิ้วแน่นเป็ปม ไม่เพียงชี้แจงอย่างละเอียดกับชาวไร่ชาวนาที่มาจูงวัวทุกวัน แล้วยังมักวิ่งไปสังเกตในที่นาของผู้อื่นอย่างไม่วางใจอยู่เสมอ กลัวว่าผู้อื่นจะเรียกใช้วัวที่เป็สิ่งล้ำค่าของเขาไม่หยุดพักและทำให้มันเหนื่อยเอาได้
หวังซื่อทั้งขบขันทั้งจนปัญญา ทำได้เพียงรับปากเขาว่าผ่านไม่กี่วันนี้ไปจะไม่ให้ใครยืมวัวใช้อีกแล้ว ชายชราหูจึงคลายคิ้วที่ขมวดออกได้
“ท่านพี่ นี่เป็บ้านใหม่ของเราหรือ? ว้าว... ใหญ่เกินไปแล้วกระมัง!” เสียงอ่อนวัยของผิงอันเต็มไปด้วยความตะลึง
“พี่สาม บ้านใหม่ของพวกท่านดีมากจริงๆ ใหญ่โตมากเลย!” ผิงซุ่นร้องด้วยความตะลึงอย่างต่อเนื่องตามมา
วันนี้โรงเรียนส่วนตัวหยุดพัก สองคนต่างก็ตามเจินจูมาดูบ้านใหม่ที่สร้างเสร็จ
ตัวหลักของบ้านส่วนใหญ่ล้วนทำเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้หลิ่วฉางผิงกำลังนำคนเจ็ดแปดคนมาเร่งปูอิฐสีฟ้าครามขนาดใหญ่ในลานบ้าน
คนในหมู่บ้านมีไม่กี่ครัวเรือนที่จะตัดใจจ่ายค่าปูพื้นอิฐสีฟ้าครามในลานบ้านจำนวนมากได้ เจินจูพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกว่าทางหินลูกรังก้อนเล็กเรียบง่ายเกินไป ถูกเกวียนบดอัดอยู่ข้างบนไม่กี่รอบก็เว้าลงไปปรากฏเป็หลุมเป็บ่อ วันฝนตกต้องเดินจนเศษดินโคลนติดเต็มทั้งขา ไม่สู้จ่ายเงินไปมากหน่อยเพื่อสร้างพื้นให้ดีั้แ่แรกไปเลยจะดีกว่า สองสามปีผ่านไปจะได้ไม่ต้องรื้อและสร้างพื้นถนนใหม่อีกรอบ ทั้งเปลืองเวลาและเปลืองแรงนัก
เจินจูพูดเกลี้ยกล่อมหูฉางกุ้ยและหลี่ซื่อ หลี่ซื่อยังเข้าใจดี เมื่อก่อนเคยพักอยู่ครอบครัวใหญ่โตสูงศักดิ์ ทราบข้อดีของการปูพื้นด้วยอิฐสีฟ้าคราม ส่วนหูฉางกุ้ยเ็ปใจกับการใช้เงินอยู่บ้าง การปูพื้นของบ้านทั้งหมดขึ้นนั่นอาจเป็เงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่งเลย แต่บุตรสาวมุ่งมั่นจะทำก็คงไม่ดีที่เขาจะคัดค้าน ทำได้เพียงตอบรับด้วยใบหน้าขมขื่น
พื้นภายในบ้านส่วนใหญ่ปูอิฐสีฟ้าครามดีแล้ว เจินจูนำทางเด็กชายสองคนเดินเตร่อยู่สองสามรอบ รอยยิ้มบนใบหน้าไม่หุบลงเลย โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นห้องส้วมใหม่เอี่ยมข้างบ้าน ใบหน้ายิ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตาและคิ้วโค้งเป็คันธนู
“ท่านพี่ นี่ใช้ทำอะไรหรือ?” ผิงอันพินิจพิเคราะห์หลุมส้วมสีขาวที่ฝังอยู่บนพื้นด้วยความสงสัยใคร่รู้
“เครื่องเคลือบสะอาดเพียงนี้ ฝังอยู่บนพื้นทำอะไรกัน?” ผิงซุ่นนั่งยองลงไป สังเกตอย่างละเอียดด้วยความประหลาดใจ
“นี่น่ะหรือ เป็สิ่งสำคัญมาก ทุกวันล้วนต้องใช้ พวกเ้าเดาสิ” เจินจูหันไปกะพริบตาทางพวกเขาอย่างยั่วเย้าคนเล่น
“…ล้วนใช้ทุกวัน?“ ผิงอันเกาศีรษะ มองกันและกันกับผิงซุ่นแวบหนึ่ง
“อ่า… ข้าทราบแล้ว ใช้ล้างหน้าใช่หรือไม่?” ผิงซุ่นะโขึ้นมา มองเจินจูด้วยใบหน้าเฝ้ารอคำตอบ
“พรืด” เจินจูอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “เ้าล้างหน้าคว่ำหน้าลงไปล้างถึงพื้นเลยหรือ”
ใบหน้าเล็กของผิงซุ่นพังทลายลงทันที กล่าวพึมพำ “เช่นนั้นใช้ทำอะไรกัน? ล้างเท้า?”
เจินจูเลิกคิ้ว กลั้นหัวเราะส่ายศีรษะแล้วไม่กล่าวอะไร
ผิงอันย่นใบหน้าเล็ก มองปากรูหลุมส้วมแล้วก็มองอีก เงยหน้าขึ้นมามองนางอย่างลังเลใจ “…ใช้เทน้ำ?”
เจินจูเพียงยิ้ม “อืม ใกล้เคียง”
“ใกล้เคียง?” ก็ไม่ใช่แล้ว เช่นนั้นใช้ทำอะไรกันแน่? ผิงอันใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงัน
“เทน้ำ? น้ำที่เทออกไปจากตรงนี้ไปที่ไหนกัน?” ผิงซุ่นถามเสียงดัง
“ข้างล่างย่อมมีที่ทะลุถึงระหว่างกัน” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
หลังจากนั้นไม่เก็บเป็ความลับอีกต่อไป หันไปกล่าวสองสามประโยคข้างหูของผิงอัน
ทันใดนั้นสองตาของผิงอันก็เบิกกว้างขึ้น มองนางด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“อะไร? อะไร? ผิงอัน รีบบอกข้าเร็ว” ผิงซุ่นเห็นเช่นนั้น เลยดึงเขาทันทีทันใด แล้วถามอย่างรีบเร่ง
ผิงอันที่สติกลับมาจึงหันไปกระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค
“หา? …นี่คือห้องส้วม? เป็ไปไม่ได้กระมัง?” ผิงซุ่นดวงตาเบิกโพลงร้องะโขึ้น
“แหะๆ นี่มีอะไรที่เป็ไปไม่ได้ เ้าดู เ้านั่งยองตรงนี้ พอดีเลยใช่ไหมเล่า”
“…แต่ สะอาดเช่นนี้จะถ่ายออกมาได้อย่างไรกัน?”
“ใช่!ๆ”
“เหลวไหล! หลุมส้วมสะอาดถูกสุขอนามัยเ้าไม่ชอบ แต่เ้ากลับชินห้องส้วมที่เหม็นโฉ่นั่นใช่หรือไม่”
“เอ่อ… แหะๆ ก็ไม่ใช่ แค่รู้สึกว่าเครื่องเคลือบสะอาดเพียงนี้ ถ่ายอยู่ข้างบน อืม... ไม่ค่อยจะดีเลย”
ผิงอันพยักหน้าคล้อยตาม ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงจัง
เจินจูมองพวกเขาสองคนอย่างค่อนข้างขบขัน กล่าวอธิบายด้วยความอดทน “ต่อไป ฝั่งนี้จะมีถังน้ำ หลังเข้าห้องส้วม ตักน้ำสองกระบวยรดลงไปก็สะอาดแล้ว แบบนี้ทั้งสะอาดทั้งถูกสุขอนามัย กลิ่นก็ไม่ค่อยแรงด้วย”
“อ้อ” สองคนทำท่าทางเข้าใจขึ้นมาฉับพลันพร้อมกัน
“ท่านพี่ ท่านฉลาดจริงๆ อ่างอาบน้ำกับอ่างล้างหน้านั่นก็หลักการเดียวกัน เหลือปากรูไว้หนึ่งช่อง น้ำก็จะไหลลงไปเอง ไม่ใช้แรงคนและไม่ต้องยกออกไปเททิ้งให้เสียเวลาอีก” ผิงอันมองเจินจูใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส ทำไมท่านพี่ของเขาเฉลียวฉลาดเพียงนี้ สามารถคิดสิ่งของที่ผู้อื่นคิดไม่ถึงออกมาได้มากมาย ท่านอาจารย์หลิวชมว่าเขาฉลาดหลักแหลม แต่เขารู้สึกว่าท่านพี่สิถึงจะเรียกได้ว่าฉลาดหลักแหลมของจริง
“ใช่แล้วๆ พี่สามฉลาดจริงๆ” ผิงซุ่นยังคงพยักหน้าคล้อยตาม
เจินจูเพียงหัวเราะและเริ่มเปลี่ยนหัวข้อ “ไป ไปดูลานหลังบ้านกัน”
นำทางสองคนเดินไปทางลานหลังบ้าน
“ฝั่งนี้พวกเราจะปลูกต้นแปะก๊วยสองต้น ฝั่งนั้นก็ปลูกต้นยู่หลัน [1] สองต้น อืม... ที่ผืนใหญ่นี่เป็สวนผัก ข้างสวนผักปลูกต้นพุทราสักสองต้น” เจินจูชี้ไปยังที่ดินเปล่าสองสามแห่งในลานหลังบ้านด้วยความสนใจอย่างมาก
“ท่านพี่ๆ ต้นแปะก๊วยคือต้นอะไรหรือ? ต้นที่ออกผลหรือ? แล้วยู่หลันคืออะไรหรือ? ที่นี่ของพวกเรามีต้นเหล่านี้ด้วยหรือ?” ผิงอันจ้องมองนางตาแป๋วด้วยความประหลาดใจ
“อื้ม ต้นแปะก๊วยออกผล ผลที่ได้จากต้นของมันเป็ลูกแปะก๊วย ใช้รักษาโรคราคาสูงมากเลย บรรเทาอาการไอและปกป้องหลอดโลหิต ใบของต้นแปะก๊วยสามารถทำเป็ชาแปะก๊วยได้ด้วย ไม่ได้ป่วยก็ดื่มได้สามารถปกป้องหัวใจได้” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว “ส่วนยู่หลันน่ะหรือ ดอกยู่หลันมีสีขาวดั่งหยกจะเริ่มบานออกทีละช่อๆ หอมสดชื่นได้ไกล ทั้งสวยทั้งหอมและสบายใจ”
“…พี่สาม ท่านรู้เยอะมากเลย” ผิงซุ่นเคารพนับถืออยู่เต็มหัวใจ “แต่ข้าคิดว่าปลูกต้นสาลี่หรือต้นท้อจะดีกว่า ตอนพวกมันออกดอกก็สวยเช่นกัน ออกดอกเสร็จยังสามารถงอกออกมาเป็สาลี่กับท้อได้ด้วย”
“ใช่แล้ว ท่านพี่ ดอกสาลี่กับดอกท้อก็สวยมากเช่นกัน” ผิงอันมองนางดวงตาเป็ประกาย คล้ายกับเห็นทั่วทั้งลานเต็มไปด้วยสาลี่กับท้อแล้ว
“…” เจินจูหางตากระตุก เอียงมองนักทานจุสองคนแวบหนึ่ง “อยากทานสาลี่และท้อ ก็ให้ท่านพ่อปลูกสองสามต้นไว้ลานหน้าบ้าน ลานหลังบ้านจะไม่ปลูกต้นพวกนี้แล้ว”
“ได้เลย! ได้เลย!” นักทานจุสองคนพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน
“…”
ตรวจความคืบหน้าของบ้านใหม่หนึ่งรอบ กล่าวไม่หยุดปากกับหลิ่วฉางผิงอยู่ไม่กี่ประโยค เจินจูจึงนำทางเด็กสองคนกลับหมู่บ้านไป
นี่ยังไม่ทันได้เดินไปถึงบ้านเก่า ก็เห็นกลุ่มคนหนึ่งกลุ่มใหญ่รายล้อมประตูบ้านจ้าวหงยู่จากระยะไกล
นี่เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว?
เชิงอรรถ
[1] ต้นยู่หลัน หรือ Magnolia denudata หรือ ต้นลิลลี่ เป็ไม้พุ่มขนาดใหญ่หรือต้นไม้ขนาดเล็ก ดอกมีสีขาวและชมพู มีต้นกำเนิดอยู่ในภูมิภาคส่วนกลางของจีนและทางตอนใต้ของลุ่มแม่น้ำเหลืองปัจจุบันยังมีปลูกอยู่ที่ปักกิ่งด้วย