จวนจวิ้นอ๋อง
ด้านเติ้งิซีนั้น หลังจากมอบของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนตระกูลไป๋เรียบร้อยแล้ว เขาก็มุ่งหน้ากลับมาที่จวนจวิ้นอ๋องของตนเองในทันที เมื่อกลับมาถึง พ่อบ้านเหรินก็ประคองเขาเข้ามาที่ห้องนอน ก่อนจะให้เขานอนพักผ่อน เมื่อเห็นว่าเ้านายของตนนอนพักแล้ว จึงสั่งให้สาวใช้ออกไปให้หมด ไม่ให้มารบกวนเวลาพักผ่อนของเ้านาย
เมื่อคนออกไปหมดแล้ว เติ้งิซีก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ท่าทีเหมือนคนเสียสติและยิ้มตลอดเวลาพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น บัดนี้เหลือเพียงใบหน้าหล่อเหลาเ็า ดวงตาที่ดูเลื่อนลอยกลับกลายเป็เย็นเยียบ มือเรียวยาวราวกับหยกแกะสลักยื่นไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มดับกระหาย ก่อนจะปรายตามองพ่อบ้านเหรินที่ยืนอยู่
"ข้าไปงานเลี้ยงวันนี้คงมีคนของราชสำนักจับตาดูอยู่ไม่น้อย ต่อไปข้าคงต้องไปที่งานเลี้ยงให้น้อยลง หากวันนี้ไม่ใช่เพราะเป็วันเกิดท่านยาย ข้าคงไม่ไป"
พ่อบ้านเหรินที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยขึ้นมาทันที
"ท่านอ๋อง ได้ยินว่าระยะที่ฮ่องเต้ทรงมีพระอาการไม่สู้ดี มักจะทรงประชวรอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังให้องค์รัชทายาทว่าราชการแทน แต่เราจะประมาทไม่ได้ เพราะสายลับของเรารายงานมาว่า ฮ่องเต้ยังคงสั่งให้คนออกตามหากองกำลังลับของอดีตจวิ้นอ๋อง ท่านพ่อของพระองค์อยู่"
เติ้งิซีที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา ก่อนจะครุ่นคิดถึงคำพูดของท่านพ่อก่อนจะจากไปได้
"จำไว้นะอาิ หาอยากมีชีวิตรอดจงหาทางหลบหนีไปจากเมืองหลวงเสีย เสด็จลุงของเ้าใจคอคับแคบอำมหิต เขาหวาดระแวงทุกคน ย่อมไม่ปล่อยเ้าเอาไว้ เมื่อหมดผลประโยชน์ย่อมหาทางกำจัด เพราะเกรงว่าวันหนึ่งเ้าอาจจะมีใจคิดก่อฏ"
เติ้งิซีวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะ ดวงตาฉายแววเ็าน่าหวาดกลัว การตายของท่านพ่อย่อมมีเงื่อนงำ เขาไม่เชื่อว่าคนที่แข็งแรงเช่นท่านพ่อจะตายไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น ต้องเป็เพราะท่านพ่อหมดผลประโยชน์และอาจจะเป็ภัยต่อแผ่นดิน เสด็จลุงจึงกำจัดท่านพ่อของเขาทิ้ง
แต่จะกำจัดด้วยวิธีใดนั้น นั่นเป็สิ่งที่เขาต้องหาคำตอบ
นับแต่วันนั้นก็เกิดาขึ้นอีกครั้ง ตอนนั้นเขามีอายุสิบหกปีออกนำทัพด้วยตนเอง ตอนตีฝ่าวงล้อมศัตรูและกำลังจะเอาชนะมาได้ เขากลับถูกธนูอาบยาพิษยิงเข้ามาที่หน้าอกฝั่งขวาละพลัดตกจากหลังม้า เดิมทีอาการไม่ได้สาหัสมากเท่าใดนัก ขอเพียงถอนพิษได้ก็ปลอดภัยแล้ว แต่ว่าเขาจำคำที่ท่านพ่อบอกเอาไว้ก่อนตายได้เป็อย่างดี
เขาจึงใช้การาเ็ในครั้งนี้ให้เป็ประโยชน์
นับั้แ่วันนั้นเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสี่ปีแล้ว เขาต้องแกล้งเป็คนใบ้และสติไม่ดี ใช้ข้ออ้างว่าเป็เพราะพิษแทรกซึมเข้าสู่กระแสเืทำลายลมปราณภายในจนไม่เหลือชิ้นดี วรยุทธ์ของเขาถูกทำลายสิ้น อีกทั้งผลข้างเคียงจากพิษที่ตามมาภายหลังทำให้เขาพูดไม่ได้อีกตลอดชีวิต ซ้ำร้ายเพราะผลัดตกจากหลังม้าศีรษะกระแทกพื้น ทำให้สมองาเ็กลายเป็คนสติไม่ดี เป็คนบ้าใบ้ที่น่าเวทนา ไม่สามารถออกรบและเป็ภัยต่อราชสำนักได้อีก
เื่นี้ไม่ง่ายเลย เขาต้องให้พ่อบ้านเหรินไปหายาพิษชนิดหนึ่งมา ที่ทำให้คนเสียสติและเป็ใบ้ในเวลาชั่วขณะหนึ่งเพื่อตบตาคนในราชสำนัก แต่ต้องแลกกับการขจัดพิษนี้ออกร่วมปีด้วยความทรมาน เมื่อผ่านความทรมานจากการถอนพิษครั้งนั้นมาได้ เขาก็กลับมามีสติแจ่มชัดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
แต่ทว่าก็ต้องแลกด้วยการเป็คนบ้าใบ้ในสายตาของผู้คนทั่วไปเพื่อเอาชีวิตรอด ่เวลาสี่ปีที่ผ่านมาเสด็จลุงมักส่งคนมาตรวจสอบว่าเขาบ้าใบ้จริงหรือไม่ นานวันเข้าเมื่อไม่พบสิ่งใดก็คลายความสงสัยลง เขาเริ่มทำหลายอย่างได้สะดวกมากขึ้น
เขาไม่เพียงต้องทำเช่นนี้เพื่อปกป้องตนเองเท่านั้น แต่ยังต้องปกป้องตระกูลไป๋ ตระกูลของท่านแม่ด้วย โชคดีที่หลายปีมานี้ลูกหลานตระกูลไป๋ค่อนข้างมีตำแหน่งมั่นคงในราชสำนัก และเพราะเขาเองก็มีสภาพเช่นนี้จะไปปลุกปั่นผู้ใดให้คิดก่อฏได้ ย่อมไม่มีทาง และคนตระกูลไป๋ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากติดต่อคบหากับเขา ทุกคนจึงยังใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นปลอดภัยตลอดสี่ปีที่ผ่านมา
เพราะอย่างนี้เขาจึงอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ท่านแม่ของเขานั้นตายจากไปั้แ่เขาอายุได้เพียงสองขวบ ท่านพ่อไม่แต่งงานใหม่ตั้งใจเลี้ยงดูเขาอย่างสุดกำลัง สอนเขาทุกอย่าง
มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เสด็จลุง้ามากที่สุดคือกองกำลังลับของท่านพ่อ หากได้กองกำลังนี้ก็เท่ากับได้ใต้หล้ามาไว้ในกำมือ
อีกสิ่งหนึ่งที่เสด็จลุง้านั่นก็คือ ้าให้ขุนนางทุกจวนสยบแทบเท้า จากการที่เขาส่งสายลับไปจับตาดูใน่หลายปีมานี้ เขาพบว่าอีกไม่นานเมืองหลวงอาจจะมีการนองเืครั้งใหญ่
หากตามหากองกำลังของท่านพ่อไม่พบ แน่นอนว่าเสด็จลุงต้องพุ่งเป้าหมายไปที่กองทัพตระกูลเสี่ยวเป็แน่
เสด็จลุงมีนิสัยหวาดระแวงเพียงใดมีหรือเขาจะไม่รู้ แต่ทว่าตราบใดที่ยังหากองกำลังของท่านพ่อไม่พบ ย่อมยากที่จะกระทำการได้ตามใจชอบ อีกทั้งยังต้องต้านรับกับศัตรูแคว้นอื่น หากรีบกำจัดคนตระกูลเสี่ยวตอนนี้ ย่อมเท่ากับเป็การฆ่าตนเองและเปิดหนทางให้ศัตรูบุกชิงแคว้นได้อย่างราบรื่น
ยิ่งคิดเติ้งิซีก็ยิ่งเจ็บแค้นไม่น้อย พี่น้องสายเืเดียวกัน เป็เชื้อพระวงศ์เหมือนกันแต่กลับหวาดระแวงคิดฆ่าแกงกันเองเช่นนี้!!
เขาสูดลมหายใจเข้าแล้วจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่มเพื่อระงับความแค้นภายในจิตใจ ก่อนจะครุ่นคิดเื่อื่นขึ้นมาแทน
ระยะหลังมานี้เขามักจะฝันเห็นสตรีนางหนึ่ง นางกำลังตกจากหน้าผาลงไปเบื้องล่าง แววตาของนางโศกเศร้าสิ้นหวัง ใบหน้าอาบย้อมไปด้วยหยาดน้ำตา ในฝันเขายื่นมือไปหมายจะคว้าจับตัวนาง แต่กลับคว้าจับไม่ได้แม้เพียงปลายอาภรณ์
บางคืนก็ฝันเห็นนางวิ่งหนีไปในความมืด ยิ่งเขาวิ่งตามก็ยิ่งวิ่งไม่ทันตัวนาง เขาฝันเช่นนี้ติดต่อกันมาหลายคืนแล้ว จนกระทั่งได้พบนางในวันนั้น
สตรีนางนั้นที่เขาพบวันนี้ เขาพบนางสองครั้งแล้ว ครั้งแรกที่วัดไป๋หวา แต่นางไม่เห็นเขา ครั้งที่สองคือที่จวนตระกูลไป๋ ครั้งนี้นางเห็นเขา และดูเหมือนว่านางจะมีท่าทีสงสัยใคร่รู้ในตัวเขาไม่น้อยเลย
ไม่คาดคิดว่านางจะมีตัวตนอยู่จริงๆ!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เติ้งิซีจึงเอ่ยถามพ่อบ้านเหรินทันที
"เ้ารู้จักสตรีที่มาพร้อมกับเสี่ยวฮูหยินหรือไม่"
"คนใดหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"สตรีนางนั้นที่จ้องมองข้าอย่างไม่ละสายตา ตอนที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายกันกลับไป สตรีที่มีใบหน้างดงามนางนั้น นางปักปิ่นดอกเหมยบนศีรษะด้วย"
พ่อบ้านเหรินทำท่าทางครุ่นคิดครู่หนึ่ง สตรีในงานเลี้ยงงดงามมีไม่น้อยเลย เขาคิดแล้วคิดอีกก่อนจะคิดขึ้นมาได้
"อ้อ จำได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ สตรีใบหน้างดงามที่ปักปิ่นดอกเหมย สวมชุดสีเขียวอ่อนใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
“คล้ายว่านางจะเป็คุณหนูรองจวนตระกูลเสี่ยวพ่ะย่ะค่ะ เหมือนว่าจะเป็น้องสาวร่วมมารดากับคุณชายเสี่ยวไป่ฟงด้วย ชื่อว่าเสี่ยวจิ่วฮวา"
"น้องสาวของอาไป่หรือ"
"พ่ะย่ะค่ะ"
เติ้งิซีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขากับเสี่ยวไป่ฟงเป็สหายกัน แม้เสี่ยวไป่ฟงจะอายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปีแต่ก็ไม่นับว่าเป็ปัญหาใหญ่ ตอนที่เขาออกรบก็มีเสี่ยวไป่ฟงร่วมเป็ร่วมตายด้วยกัน แต่หลังจากเกิดเื่ก็ไม่ได้พบเจอกันบ่อยเท่าแต่ก่อน เพียงส่งจดหมายพูดคุยกันบ้างเท่านั้น เขามักจะไม่ได้ไปมาหาสู่กับผู้ใด เพราะไม่้าให้เป็ที่จับตามอง เขามักจะเก็บตัวอยู่ในจวนเหมือนกับคนป่วยคนหนึ่ง นอกจากมีงานเลี้ยงในวังหรืองานสำคัญจึงจะออกจากจวนสักครั้ง ทำได้เพียงใช้ชีวิตไร้แก่นสารไปวันๆ เพียงเท่านั้น
ตอนที่อายุเพียงสิบสี่ปีเขาเคยไปที่จวนตระกูลเสี่ยวครั้งหนึ่ง เพื่อไปพูดคุยสนทนากับเสี่ยวไป่ฟงตามประสาสหาย เขาเคยพบเจอเสี่ยวฮูหยินอยู่บ้าง และรู้อีกว่าเสี่ยวไป่ฟงมีพี่สาวต่างมารดาหนึ่งคนชื่อว่าเสี่ยวเย่วหยาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา และน้องสาวร่วมมารดาชื่อว่าเสี่ยวจิ่วฮวา จำได้รางๆ ว่าเขาเคยเห็นเสี่ยวจิ่วฮวาตอนยังเป็เด็กแต่ไม่ได้ทำความรู้จักกันมากนัก หลังจากนั้นเขาออกรบก็ไม่เคยพบนางอีกเลย และเขาเองก็ไม่ได้สนใจเื่สตรีเท่าใดนัก
ไม่น่าเชื่อว่าพอเติบโตขึ้นมาจะงดงามถึงเพียงนี้
พ่อบ้านเหรินรินชาให้เ้านายอีกถ้วย ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ
"บ่าวได้ยินคนในตลาดพูดกันว่า คุณหนูรองนางนั้นไม่มีใครอยากคบหากับนางเลยสักคน เพราะชื่อเสียงของนางไม่ดี ไปจวนใดก็มักจะก่อเื่ก่อราว เอาเปรียบผู้อื่น เหยียดหยามคนที่ต่ำกว่าพ่ะย่ะค่ะ ที่แย่กว่านั้นมีข่าวเล่าลืออีกว่า นางมักจะเอาโทสะไประบายกับบ่าวไพร่ในจวน และมักจะด่าทอทุบตีพี่สาวต่างมารดาอยู่เป็ประจำเลยพ่ะย่ะค่ะ"
เติ้งิซีที่ได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถาม
"นางนิสัยไม่ดีถึงเพียงนั้น?"
"คนเขาเล่าลือกันเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ"
"เ้านี่รู้เื่ภายนอกไม่น้อยเลยนะ"
"ย่อมต้องรู้เขารู้เราพ่ะย่ะค่ะ"
พ่อบ้านเหรินเอ่ยพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามผู้เป็นาย
"เหตุใดท่านอ๋องจึงเอ่ยถามถึงนางเล่าพ่ะย่ะค่ะ"
"ไม่มีิอันใด เพียงอยากรู้เท่านั้น เ้ามีสิ่งใดก็ไปทำเถอะ ข้าจะพักเสียหน่อย ตื่นมายังต้องแสร้งเป็คนบ้าใบ้ต่ออีก"
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะทิ้งตัวลงนอนต่อ พ่อบ้านเหรินยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะดึงผ้าม่านเตียงนอนลงและออกไปไม่รบกวนเ้านายของตนพักผ่อนอีก เขาเลี้ยงท่านอ๋องมาั้แ่เล็กแต่น้อยย่อมรักราวกับบุตรของตนเอง ท่านอ๋องเป็เช่นนี้เขาเองก็เห็นใจไม่น้อย
แต่หากไม่ทำเช่นนี้ก็เท่ากับตัดทางรอดของตน หนทางยังอีกยาวไกล เขาเชื่อว่าท่านอ๋องจะทนอยู่ในสภาพเช่นนี้อีกไม่นานแน่นอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้