หลิงเซียวประหลาดใจประเดี๋ยวเดียว พลันดูเหมือนคิดอะไรได้ มองเขาขึ้นลง ก็เผยรอยยิ้มขี้เล่น เดาว่า “หรือว่า เ้าเป็นักหลอมโอสถขั้นสามแล้วงั้นรึ?”
คำพูดนี้ทำเอาโหยวเสี่ยวโม่รู้สึกทำไม่สำเร็จ ลำพังแค่คำพูดประโยคเดียวเขาก็เดาออกได้ว่าตัวเองเลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถแล้ว เขายิ่งรู้สึกว่าความหลักแหลมของเขาทั้งสองไม่ได้อยู่มาตรฐานเดียวกัน ช่างเจ็บช้ำใจเหลือเกิน
น้ำเสียงของโหยวเสี่ยวโม่ห่อเหี่ยว ไม่ได้รู้สึกดีใจแต่อย่างใด “วันนี้ตอนกลางวัน ข้าหลอมยาเซียนตันขั้นสามได้สิบเอ็ดเม็ด ดังนั้นถือว่าเป็นักหลอมโอสถขั้นสามแล้ว”
พูดจบเขาก็หยิบยาขวดนั้นออกมาจากห้วงมิติ นึกได้ว่าก่อนหน้านี้จะเอายาให้เขา จึงหยิบออกมายื่นให้เขาพร้อมกัน
“ศิษย์พี่หลิง ขวดสีฟ้านั่นคือยาเซียนตันขั้นสาม นอกนั้นเป็ยาเซียนตันขั้นสอง แต่ล้วนเป็แบบชั้นล่าง ข้าหลอมไว้หลายวันก่อน ยกให้ท่านหมดเลย” โหยวเสี่ยวโม่วางขวดทั้งหมดหน้าเขา
“ให้ข้าหมด? เ้าแน่ใจ?” หลิงเซียวหยิบขวดสีฟ้าขึ้นมาลองดม กลิ่นหอมนั้นเข้มข้นกว่ายาเซียนตันขั้นหนึ่งขั้นสองที่เขาเคยกินก่อนหน้านี้ เขารู้สึกได้กระทั่งพลังปราณที่ห่อหุ้มอยู่ในเม็ดยา เขาเกิดท่าทีระแวง
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า โหยวเสี่ยวโม่เอายาให้เขาเอง แต่ก่อนเขาขอยาเซียนตันนั้น มักแสดงท่าทีไม่ยินยอมมาตลอด
เมื่อเห็นท่าทีระแวงของเขา โหยวเสี่ยวโม่เบะปาก ยื่นมือมาจะชักกลับ “ไม่เอาก็ช่าง”
ตอนให้ทำมาเป็ระแวง พอไม่ให้ก็มาขู่แล้วใช้กำลังแย่ง เอาใจยากจริงๆ!
หลิงเซียวไม่ยอมให้เขาเอากลับไปได้ เอามือหลบ พลันเปิดฝาแล้วเทยาเม็ดสีเขียวมรกตออกมาโยนเข้าปาก เคี้ยวกร๊วบๆ แล้วกลืนลงท้อง
โหยวเสี่ยวโม่เห็นแล้วเจ็บกระดองใจ ทุกครั้งที่เห็นท่าทางการกินที่ตะกละมูมมามแบบนี้ เขาเสียใจต่อยาพวกนั้นเหลือเกิน
ที่จริงเขารู้สึกสงสัยมาตลอด ร่างจริงของหลิงเซียวแท้จริงคืออะไรกันแน่ ต้องไม่ธรรมดาแน่ ไม่อย่างนั้นจะกล้ากินยาเซียนตันมั่วซั่วแบบนี้ได้หรือ? เขารู้ว่านักฝึกตนทั่วไปนั้นไม่กล้ากินยาเซียนตันไปเรื่อย เพราะกลัวว่าร่างกายจะรับพลังของยาเซียนตันไม่ไหว
แต่เขาก็ไม่ได้ถาม เพราะเขารู้ว่าคนทุกคนต่างมีความลับส่วนตัวที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้
“สงสัยมากสินะ?” หลิงเซียวเห็นท่าทีเขา รู้ว่าในใจเขาคงกำลังใคร่รู้ แต่ไม่กล้าพอจะเอ่ยถาม เมื่อกินยาเซียนตันหมดก็วางขวดลง จากนั้นหัวเราะให้เขา
โหยวเสี่ยวโม่ตาลุกวาว พลันพยักหน้ารัว นี่คือกำลังจะบอกเขาเหรอ?
หลิงเซียวหรี่ตากระดิกนิ้วให้เขาเข้ามาใกล้ ท่าทางนั้นดูเหมือนลูกแกะที่กำลังกระโจนเข้าหาหลุมพรางของหมาป่าเ้าเล่ห์
โหยวเสี่ยวโม่ลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็เอาชนะความอยากรู้ไม่ได้ จึงขยับเข้าใกล้อย่างระวังตัว
หลิงเซียวก้มลงมองใบหูที่แดงขึ้นทีละนิด มุมปากโค้งขึ้น ก่อนเขยิบเข้าใกล้หูเขา พ่นลมร้อนแล้วเอ่ย “อันที่จริง ข้าคือ…หมาป่าตัวโตที่คอยจับลูกแกะกินน่ะ”
พริบตาเดียวบนหัวโหยวเสี่ยวโม่ก็เต็มไปด้วยใยแมงมุม หมอนี่ไม่ได้แกล้งเขาสักวันคงไม่สบายใจสินะ เมื่อโดนแกล้งหลายรอบเข้า เขาเริ่มค้นพบความจริงนี้!
ลังเลอยู่พักหนึ่ง โหยวเสี่ยวโม่เริ่มเอ่ยถาม “ศิษย์พี่หลิง ท่านกินยาเซียนตันเพื่อเพิ่มพลังใช่มั้ย?”
หลิงเซียวท่าทีหยุดชะงัก ใบหน้าไม่ได้เคืองที่โดนถามเื่ส่วนตัวแต่อย่างใด เพียงแต่ประหลาดใจที่เขาคิดได้เช่นนี้ อันที่จริงก็ไม่มีอะไร จึงเอ่ย “ประมาณนั้น แต่ยาเซียนตันพวกนี้พลังต่ำเกินไป ยาเซียนตันที่ให้พลังแก่ข้าได้ เ้ายังหลอมออกมาไม่ได้ในตอนนี้หรอก”
นี่ยังต้องย้ำอีกอย่างนั้นหรือ!
โหยวเสี่ยวโม่บ่นในใจ ข้อนี้เขารู้อยู่แล้ว
แม้เขาจะเดาชั้นพลังที่แท้จริงของเขาไม่ออก แต่เขารู้ว่าหลิงเซียวนั้นไม่ไก่กาแน่นอน คงเหนือกว่าชั้นิญญาแน่นอน และยาเซียนตันที่มีผลต่อจอมยุทธ์ชั้นิญญาขั้นไป จำเป็ต้องเป็ยาเซียนตันขั้นแปดขึ้นไป
ยาเซียนตันขั้นแปดสำหรับเขาในตอนนี้ช่างเป็หนทางอันยาวไกล อีกทั้งจากศักยภาพของเขาแล้ว อาจไม่มีวันไปถึงขั้นนั้นก็ได้ ดังนั้นจึงทำเท่าที่ทำได้ หลอมยาเซียนตันขั้นล่างให้ได้มากที่สุด
คิดมาถึงจุดนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจอย่างไม่มีสาเหตุ
ถัดมา ทั้งสองก็คุยกันเื่อื่น ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับเื่แดน์วิมาน รวมถึงสาเหตุที่ท่านเ้าสำนักไม่ยอมให้หลิงเซียวมาที่นี่
โหยวเสี่ยวโม่จึงรู้ว่าที่หลิงเซียวไม่ได้มาที่นี่หลายวันเพราะคำสั่งจากท่านเ้าสำนัก แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดของเขากับหลิงเซียวเสียทีเดียว คงเป็เพียงเหตุผลหนึ่ง
จากเื่ลักขโมยที่หอคัมภีร์ เ้าสำนักและเหล่าผู้าุโต่างให้ความสำคัญมากกว่าเื่แดน์วิมานเสียอีก
เดิมทีตำแหน่งของหลิงเซียวในแขนงการต่อสู้นั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะรับรู้เื่การขโมยที่เกิดขึ้น แต่เนื่องด้วยสมบัติที่หายไปนั้นล้ำค่ามากนัก ทังฝานจึงประชุมกับเหล่าผู้าุโให้หลิงเซียวเข้าร่วมด้วย จึงเล่าเื่ให้เขาฟังอย่างเลี่ยงไม่ได้
แม้ทังฝานจะกำชับแล้วกำชับอีกให้เขาห้ามบอกกับผู้ใด แต่พอโหยวเสี่ยวโม่ถามขึ้น เขาก็บอกอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิด
สิ่งของที่สูญหายไปของหอคัมภีร์นั้นก็คือ ตำรับสูตรยาขั้นเก้าหนึ่งใบ
ตำรับสูตรยาขั้นเก้าคืออะไร? มันก็คือของที่ท่านไม่ต้องคิดฝันแม้แต่นิด ตำรับสูตรยาทั่วทั้งแผ่นดินหลงเสียงนั้นแทบใช้ห้านิ้วนับออกมาได้เลย
เพราะยิ่งเป็ตำรับสูตรยาขั้นสูงก็ยิ่งล้ำค่า ตำรับสูตรยาขั้นเจ็ดและขั้นแปดก็นับว่าเป็สมบัติล้ำค่าของนักฝึกตนแล้ว นับประสาอะไรกับขั้นเก้า ดังนั้นไม่ว่าจะสำนักใดก็แล้วแต่ ตำรับสูตรยาขั้นเก้านับได้ว่าเป็สมบัติประจำสำนักเลยทีเดียว
สำหรับสำนักเทียนซินแล้ว ตำรับสูตรยาใบนั้นเปรียบเสมือนชีวิตของพวกเขา ทั้งยังเป็อนาคตของพวกเขาอีกด้วย
เพราะจากภาพเบื้องหน้า สำนักเทียนซินแม้จะมีนักหลอมโอสถขั้นเก้าสามคน แต่ที่จริงไม่ได้เป็เช่นนั้น
จากที่กล่าวกันคือผู้นำทั้งสามทัพล้วนสามารถหลอมยาเซียนตันขั้นเก้าแล้ว แม้ว่าโอกาสในการหลอมสำเร็จจะต่ำ แต่จากข่าวที่สะพัดในโลกภายนอกนั้น ผู้นำทั้งสามทัพล้วนเป็นักหลอมโอสถขั้นเก้า แต่พูดให้ถูกคือ น่าจะพึ่งเข้าสู่การเป็นักหลอมโอสถขั้นเก้าได้เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น
ส่วนเื่ที่ว่าทำไมข่าวลือถึงบอกว่าทั้งสามเป็นักหลอมโอสถขั้นเก้าแล้ว เดาจุดประสงค์ได้ไม่ยาก
ดังนั้นยาเซียนตันขั้นเก้าที่กล่าวขานกันในโลกภายนอก เป็เพียงการร่วมกันหลอมออกมาโดยที่ทั้งสามท่านช่วยกัน ทั้งยังอาศัยพลังทั้งสามท่าน อัตราความผิดพลาดก็สูงถึงร้อยละเก้าสิบ เห็นได้ว่าการเข้าสู่ขอบเขตของนักหลอมโอสถชั้นเก้านั้นยากเพียงใด
ทว่าเมื่อสำนักชิงเฉิงมีข่าวออกมาว่านักหลอมโอสถขั้นแปดเลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นเก้าโดยสมบูรณ์เป็ทางการแล้ว ทางสำนักเทียนซินก็เริ่มลนลาน
เข้าสู่ขอบเขตของนักหลอมโอสถขั้นเก้าเพียงครึ่งก้าว อย่างไรก็ต่างกันชัดเจนกับผู้ที่เป็นักหลอมโอสถเต็มตัว อีกอย่างปัจจัยความไม่แน่นอนนั้นสูงเกินไป หากวันใดหนึ่งในผู้นำสามทัพเกิดเป็อะไรไป อีกสองท่านที่เหลือก็ไม่อาจหลอมยาเซียนตันขั้นเก้าได้
ดังนั้นสำนักเทียนซินที่ขึ้นชื่อว่าเป็สำนักใหญ่อันดับหนึ่งมาช้านาน จึงไม่อาจปล่อยให้สำนักชิงเฉิงข้ามหน้าข้ามตาได้อีกต่อไป ระยะห่างของสำนักชิงเฉิงกับสำนักเทียนซินก็ร่นลงมาครึ่งหนึ่ง นี่เป็เื่ที่สำนักเทียนซินอันสูงส่งไม่อาจทนดูต่อไปได้
ด้วยเหตุนี้หลังจากผ่านการหารือกันแล้ว ทังฝานกับเหล่าผู้าุโตัดสินใจว่า ให้ผู้นำทั้งสามทัพร่วมมือกันอีกครั้งในการหลอมยาเซียนตันขั้นเก้าขึ้นอีกเม็ด เพื่อเป็การเพิ่มพูนบารมีอีกขั้นหนึ่ง
และเพราะเหตุนี้ ดังนั้นทังฝานจึงหยิบตำรับสูตรยาใบนั้นออกมาจากหอคัมภีร์ชั้นห้า
กลับไม่คิดว่าเื่นี้จะเล็ดลอดออกไป ขณะที่พวกเขาขนย้ายตำรับสูตรยาออกมาเพียงไม่นาน มันก็ถูกขโมยไป อีกทั้งคนที่ขโมยมันไปต้องมีพลังสูงแน่ เพราะทังฝานพบเข้าและปะทะกัน จากนั้นทังฝานพบเื่อย่างน่าใอีกว่า คนผู้นั้นฝีมือสูสีกับเขา ท้ายสุดก็ถูกเขาทำร้ายาเ็สาหัสแล้วหนีไป
เื่นี้ชัดว่าเป็การกระทำโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นผู้ร้ายคงไม่ลงมือพอเหมาะพอเจาะกับเวลาที่พวกเขาขนย้าย ดังนั้นวันนั้นที่ประชุมหารือกันในห้องลับทั้งสิบคน ต้องมีคนเป็หนอนบ่อนไส้
ต้องหาหนอนบ่อนไส้ให้เจอ และเอาตำรับสูตรยากลับมาให้ได้เช่นกัน และจำเป็ต้องเอากลับมาให้ได้
แม้ตำรับสูตรยาใบนั้นจะเป็ตำรับยาขั้นเก้าชั้นล่าง แต่สำหรับสำนักใหญ่แล้ว มันก็น่าดึงดูดพอๆ กับจอมยุทธ์ชั้นิญญาคนหนึ่ง เพราะมันสามารถใช้ช่วยให้จอมยุทธ์ชั้นิญญาเจ็ดดาวยอดฝีมือให้บรรลุขั้นและรวบรวมพลังแต่ละชั้นเข้าไว้ด้วยกัน และกลายเป็จอมยุทธ์ชั้นราชันเต็มตัวอย่างแท้จริง
ณ ตอนนี้สำนักเทียนซินมีจอมยุทธ์ชั้นราชันคนหนึ่ง นั่นก็คือทังฝาน และสำนักชิงเฉิงก็มีคนหนึ่งเช่นกัน
ความหมายแต่แรกของพวกเขาคือ ใช้ตำรับสูตรยานั้นเพิ่มจอมยุทธ์ชั้นราชันขึ้นมาอีกคน เท่านี้แม้สำนักชิงเฉิงจะมีนักหลอมโอสถขั้นเก้า แต่หากไร้ซึ่งตำรับสูตรยา พวกเขาก็ไม่อาจหลอมยาเซียนตันได้ ท้ายที่สุดยังไงก็เป็รองให้กับสำนักเทียนซินอยู่ดี
แต่แผนการทั้งหมดกลับล่มเพราะเ้าหัวขโมยนั่น
สำนักเทียนซินตั้งข้อสงสัยกับสำนักชิงเฉิงเป็อันดับต้น อีกทั้งมีแค่สำนักชิงเฉิงที่น่าสงสัยที่สุด
ทุกอย่างดูสมเหตุสมผล หนึ่งคือสำนักชิงเฉิงมีนักหลอมโอสถขั้นเก้าแต่ไร้ซึ่งตำรับสูตรยา สองคือสำนักชิงเฉิงมีลั่วเฉินหยวนเป็จอมยุทธ์ชั้นราชัน สามคือทั้งสองสำนักมีความบาดหมางต่อกันอย่างลึกซึ้ง
ดังนั้นเมื่อรวมเหตุผลต่างๆ เข้าด้วยกัน คนที่ขโมยมันไปก็น่าจะเป็ลั่วเฉิงหยวน
เื่จริงพิสูจน์ได้ว่าเป็ลั่วเฉิงหยวนจริง เพราะผ่านไปไม่นาน หนอนบ่อนไส้คนนั้นก็ถูกจับได้ นั่นก็คือศิษย์น้องที่ทังฝานไว้ใจที่สุด ผูฉานผู้ฉลาดแกมโกงและเหี้ยมโหด
ตอนนั้นด้วยเื่ที่มีมนุษย์ครึ่งปีศาจออกมา เขาได้รับคำสั่งจากทังฝานให้พาคนไปคุ้มกันเมืองเหอผิง จากนั้นชักสีหน้าไม่พอใจกับหลิงเซียว หลังจากที่ผูฉานถูกจับได้ก็สารภาพว่าสมคบคิดกับลั่วเฉิงหยวนอย่างลับๆ และขโมยตำรับสูตรยาขั้นเก้าไป จึงถูกทังฝานทำลายพลังทั้งหมดด้วยความโกรธเกรี้ยว แล้วโยนเข้าคุกใต้ดิน
เื่ที่ผูฉานทรยศทังฝาน ทำให้ศิษย์มากมายรับไม่ได้
เพราะก่อนหน้านี้ พวกเขานึกมาตลอดว่าเป็ไปไม่ได้ที่ผูฉานจะหักหลังทังฝาน ทรยศต่อคนในสำนักเทียนซิน แต่สิ่งใดๆ ล้วนคาดเดายาก ผูฉานนั้นกลับมีความคับแค้นฝังใจต่อสำนักเทียนซินมาตลอด
ในส่วนที่ว่าทำไมถึงแค้นฝังใจ เพราะเป็เื่เมื่อร้อยปีก่อน บวกกับเ้าสำนักสั่งห้ามพูดถึง ดังนั้นจึงไม่มีศิษย์รู้เื่แม้แต่คนเดียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้