วงการการศึกษา้านักปฏิรูป
การปฏิรูปต้องผ่านการถกเถียงกันหลายต่อหลายครั้ง ผ่านการตัดสินใจอย่างรอบคอบนับครั้งไม่ถ้วน แล้วค่อยๆ ลองปรับใช้กันไป
และหลายๆ ครั้งสิ่งที่การศึกษา้าก็คือ ‘ความมั่นคง’
อย่างเช่น ‘การสอบเกาเข่า’ หลังนำการสอบเกาเข่ากลับมาใช้ในปี 1977 เพื่อเพิ่มภาษาอังกฤษเข้าไปเป็หนึ่งในวิชาสอบ กระทรวงศึกษาธิการได้ใช้เวลาหลายปีในการค่อยๆ เพิ่มความสำคัญให้กับภาษาอังกฤษ โดยเริ่มั้แ่การบังคับว่าต้องมีผลการสอบภาษาอังกฤษในการยื่นคะแนนเข้าเรียนสาขาวิชาเฉพาะบางสาขา จากนั้นก็ปรับการให้คะแนนภาษาอังกฤษให้มีความสำคัญมากถึง 30% จนกระทั่งปีที่แล้ว ภาษาอังกฤษได้ถูกนับให้เป็หนึ่งในการคิดคะแนนสอบเกาเข่า 100%
การตัดสินใจเช่นนี้คือสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการได้ปรึกษาหารือกันมาอย่างละเอียดและรอบคอบ
หากปี 1977 นำระบบการสอบเกาเข่ากลับมาใช้อีกครั้ง และให้นักเรียนทุกคนสอบภาษาอังกฤษในปี 1978 ทันที จะมีสักกี่คนที่ทำได้?
แน่นอนว่าพวกเขาจำเป็ต้องให้เวลาปรับตัวกับนักเรียน ทำให้นักเรียนได้ได้สั่งสมความรู้ก่อน จากนั้นค่อยปฏิรูปกันไปอย่างไม่ส่งผลกระทบกับผู้เข้าสอบ
งานของฝ่ายอุดมศึกษาก็สำคัญมากเช่นกัน นักศึกษาคือผู้สานต่ออุดมการณ์สังคมนิยม ดังนั้นการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงเป็สิ่งที่สำคัญมาก การศึกษาระดับสูงเองก็ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้เช่นกัน หวังก่วงผิงอยู่ที่ฝ่ายอุดมศึกษามีแต่จะนำพาเสียงวิจารณ์ในแง่ลบมาให้ คนที่ช่วยเขาวิ่งเต้นให้ได้กลับจากไร่มารับตำแหน่งรู้สึกขายหน้ามากเหลือเกิน
สหายาุโพูดถูก หวังก่วงผิงไม่เหมาะกับงานของฝ่ายอุดมศึกษา
หลังเบื้องบนรับรู้สถานการณ์ หัวหน้าฝ่ายก็รู้ทันทีว่าหวังก่วงผิงคงหมดอนาคตแล้วอย่างแน่นอน
ตอนนี้หวังก่วงผิงไม่มีงานให้ทำ แม้หน่วยงานจะไล่ใครออกไม่ได้ แต่ก็มีวิธีการอีกมากมายที่ใช้สำหรับการลงโทษ และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการถูกเ้านายเมินเฉยอย่างสิ้นเชิง
ไม่ถูกจัดสรรงานมาให้ คนอื่นยุ่งสายตัวแทบขาด มีคุณคนเดียวที่ว่างจนทำได้แค่นั่งตบยุง
หวังก่วงผิงพบว่ารองหัวหน้าถังมักส่งยิ้มให้เขาอยู่เป็ประจำ ไม่รู้ทำไม คนในฝ่ายถึงทำราวกับหวังก่วงผิงไม่มีตัวตน แม้แต่เสี่ยวเกาที่เคยช่วยส่งข่าวให้กับหวังก่วงผิงก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ อยากประจบเ้านายเพียงใดก็ต้องดูสถานการณ์รอบข้างให้เป็ด้วย ห้องทำงานของรองหัวหน้าหวังไม่มีใครเดินเฉียดใกล้ั้แ่เช้ายันเย็น ไม่มีใครมารายงานความคืบหน้าของงานกับรองหัวหน้าหวัง หากเขายังโง่ประจบหวังก่วงผิงอยู่ก็คงปัญญาอ่อนไปหน่อยจริงหรือไม่
“หัวหน้าแผนกจาน หัวหน้าแผนกจานช่วยไขปริศนาให้ผมทีสิครับ...”
เสี่ยวเกาไม่รู้ว่ารองหัวหน้าหวังทำอะไรผิด ดังนั้นเขาจึงอดหวั่นใจไม่ได้
จานอ้ายฉวินหัวเราะเบาๆ “เสี่ยวเกา คุณจะกลัวไปทำไม คุณไม่ได้ทำเื่ผิดศีลธรรมเสียหน่อย”
แม้แต่คนเอาน้ำมาให้ก็ยังไม่มี หวังก่วงผิงรู้สึกคอแห้งผาดไปหมด เขาจึงจำเป็ต้องยกถ้วยชาออกจากห้องทำงานมาหาน้ำดื่มด้วยตัวเอง เพิ่งเปิดประตูออกมาก็ได้ยินสิ่งที่จานอ้ายฉวินพูด เสี่ยวเกาเองก็เห็นรองหัวหน้าหวังแล้วเช่นกัน เขาลังเลว่าควรยื่นมือช่วยผู้อื่นในยามยากหรือไม่ ทว่าหัวหน้าแผนกจานกลับก็ส่งเสียงฮึอย่างเ็า ก่อนจะสะบัดหน้าเดินจากไป
ไม่ไว้หน้ารองหัวหน้าหวังขนาดนี้เลยหรือ?
เสี่ยวเกาห่อไหล่ และรีบวิ่งซอยเท้าจากไปอีกคน
หวังก่วงผิงยืนถือถ้วยชาอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่
บรรยากาศในฝ่ายอุดมศึกษาแปลกประหลาดขนาดนี้ หวังก่วงผิงรู้ทันทีว่าสถานการณ์คงไม่สู้ดีนัก ทว่าหัวหน้าฝ่ายกลับยุ่งจนไม่มีเวลาว่าง หวังก่วงผิงจึงไม่มีโอกาสคุยเื่งานกับเขาเป็การส่วนตัว ตอนนี้ราวกับทุกคนในฝ่ายอุดมศึกษากำลังยุ่งกันหมด สัปดาห์สอบปลายภาคของสถาบันอุดมศึกษามาถึงแล้ว และทางฝ่ายต้องจัดทำแบบประเมิน แต่ละคนจึงยุ่งกันมือเป็ระวิง มีเพียงคนเดียวที่ไม่ยุ่งซึ่งก็คือหวังก่วงผิง ตอนเย็นเขาเดินกลับบ้านพร้อมฝีเท้าอันหนักอึ้ง
“บอกให้เจี้ยนหัวเรียกเซี่ยจื่ออวี้มากินข้าวที่บ้าน”
ในที่สุดหวังก่วงผิงก็จำเป็ต้องยอมลดทิฐิลง
หร่านซูอวี้เข้าใจทันที สถานการณ์ตอนนี้ของหวังก่วงผิงคงแย่มากแล้วแน่นอน ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องให้เซี่ยจื่ออวี้รับผิดแทน
ทว่าหวังเจี้ยนหัวกลับกลับบ้านมาคนเดียว
“เซี่ยจื่ออวี้ล่ะ”
“จื้ออวี้ไม่สบายครับ การสอบคงกดดันเกินไป ตอนนี้เธอป่วยหนักมาก เมื่อวานไข้ขึ้นสูงถึง 38.5 องศา ยังจะมีแรงมากินข้าวที่บ้านเราได้อย่างไรกันครับ!”
หวังเจี้ยนหัวรู้ดีว่าทำไมเซี่ยจื่ออวี้ถึงรู้สึกกดดัน
ก่อนหน้านี้เธอถูกมหาวิทยาลัยลงโทษ คนรอบข้างพากันตีตนออกหากเซี่ยจื่ออวี้กันหมดแล้วเธอจะรวบรวมสมาธิเรียนหนังสือได้อย่างไรกัน จึงไม่แปลกที่พอถึง่สอบปลายภาคเซี่ยจื่ออวี้จะเครียดเช่นนี้
มิหนำซ้ำยังมีเื่ที่เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศในการแข่งขันภาษาอังกฤษมากระตุ้น แรงกดดันของเซี่ยจื้ออวี้จึงเพิ่มขึ้นเป็เท่าตัว ดังนั้นเธอจึงล้มป่วยลง
ปัญหาที่บ้าน้าให้เซี่ยจื่ออวี้ช่วย คำพูดเหล่านี้ติดอยู่ในลำคอหวังเจี้ยนหัว พอเห็นเซี่ยจื่ออวี้เป็ไข้จนใบหน้าแดงก่ำ เขาก็พูดอะไรไม่ออก!
“เธอรู้เื่แล้วหรือเปล่าถึงได้บอกว่าป่วย คงไม่อยากเกี่ยวข้องกับตระกูลเราแล้วใช่ไหม”
หร่านซูอวี้รู้สึกคลางแคลงใจ “เจี้ยนหัว แม่ไม่ได้ไม่ยอมรับเธอนะ แต่ลูกดูสิ่งที่เธอทำสิ มีครั้งไหนที่เื่ราวมันผ่านไปได้ด้วยดีบ้าง อยากเป็สะใภ้ตระกูลหวังทว่ากลับไม่รู้จักช่วยแบ่งเบาภาระของบ้านเราเลยสักนิด ไม่คิดบ้างเลยหรือย่างไรว่าพ่อของลูกต้องลดตัวลงไปเล่นงานนักศึกษาหญิงคนหนึ่งก็เพราะใคร... ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยจื่ออวี้ พ่อของลูกจะรู้หรือว่าเซี่ยเสี่ยวหลานคือใคร เซี่ยเสี่ยวหลานกับบ้านเราไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด!”
หวังเจี้ยนหัวถูกหร่านซูอวี้พูดจนไม่กล้าเงยหน้า
เขาลืมไปเลยว่าตนมีส่วนร่วมในการ ‘ทรยศ’ ต่อเซี่ยเสี่ยวหลาน ถ้าไม่ใช่เพราะเขา้าคบกับเซี่ยจื่ออวี้ ตระกูลหวังคงไม่จำเป็ต้องไปเล่นงานเซี่ยเสี่ยวหลานเช่นนี้
หวังเจี้ยนหัวเห็นความผิดของตัวเองเป็เื่เล็กน้อย ทว่าเห็นความผิดของเซี่ยจื่ออวี้นั้นเป็เื่ใหญ่ แต่อย่างไรเขาก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
หรือว่าจื่ออวี้จะรู้เื่บางอย่างจริงๆ เลยแกล้งป่วย?
ไม่หรอก เขาคงคิดมากไปเอง จื่ออวี้คือคนที่จริงใจกับเขาที่สุด มีแต่คนเ้าเล่ห์เพทุบายอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานเท่านั้นที่หลอกลวงเขา
“แม่ครับ รอให้สอบเสร็จก่อนดีกว่า สองวันนี้ผมจะไม่กลับมาที่บ้านอีก การสอบปลายภาคนั้นสำคัญมาก เื่นี้ไม่จำเป็ต้องรีบร้อน ใช่ไหมครับพ่อ”
หวังก่วงผิงพยักหน้าช้าๆ
เขาทนอยู่ที่ไร่มาตั้งแปดปียังไม่เห็นจะเป็อะไรเลย
ดังนั้นความเ็าที่ได้รับแค่ไม่กี่วันมานี้ หวังก่วงผิงย่อมสามารถอดทนได้
หวังก่วงผิงตัดสินใจว่าจะนิ่งดูลาดเลาไปก่อน หวังเจี้ยนหัวเองก็พยายามข่มความหงุดหงิดแล้วเดินทางกลับวิทยาลัย
ตอนหวังก่วงผิงยังไม่ได้กลับมาที่ปักกิ่ง หวังเจี้ยนหัวช่วยวิ่งเต้นแทนพ่อแม่ ขณะเดียวกันก็ต้องใส่ใจเื่การเรียนของตน ทว่าเขาก็ยังมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แน่นอนว่าหวังเจี้ยนหัวมีความสามารถที่น่าคาดหวัง แต่่ครึ่งปีที่ผ่านมา หลังหวังก่วงผิงกลับมารับราชการอีกครั้งในฐานะผู้บริหารของฝ่ายอุดมศึกษา หวังเจี้ยนหัวก็มีที่พึ่งพา เป็เหตุให้เขาไม่ได้ทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่อีกแล้ว ไหนจะมีเื่ชั้นเรียนกวดวิชา รวมถึงข่าวต่างๆ ของเซี่ยเสี่ยวหลานที่ลอยเข้าหูเขาอยู่ตลอดเวลา ไหนจะเื่ที่เขาต้องหมั้นหมายกับเซี่ยจื่ออวี้อีก ครึ่งปีมานี้เกิดเื่มากมายจนทำให้หวังเจี้ยนหัวเสียสมาธิ แน่นอนว่าเขาเองก็รู้ตัวว่าการสอบปลายภาคครั้งนี้คงได้คะแนนดีสู้สองภาคเรียนของชั้นปีที่หนึ่งไม่ได้
ดูจากแนวโน้มในตอนนี้ อย่าว่าแต่ย้ายไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีกว่าเลย อยู่ที่วิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งยังไม่ได้เป็ระดับหัวกะทิด้วยซ้ำ!
หวังเจี้ยนหัวกำลังเจอกับปัญหา ในขณะที่เซี่ยจื่ออวี้ต้องสอบทั้งที่ล้มป่วย
แต่การสอบปลายภาคของเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นผ่านไปได้อย่างราบรื่น
ปกติเธอตั้งใจเรียนในห้องเรียน เวลาสอบจึงทำแค่ทบทวนบทเรียนตามปกติก็พอ การสอบปลายภาคไม่อาจทำอะไรเซี่ยเสี่ยวหลานได้ และเธอรู้สึกว่าตัวเองทำข้อสอบได้ไม่เลวเลยทีเดียว
วันที่นักศึกษาภาควิชาสถาปัตยกรรมชั้นปีที่หนึ่งสอบวิชาสุดท้าย ฝ่ายอุดมศึกษาก็ได้รับคำสั่งโยกย้าย หัวหน้าฝ่ายอุดมศึกษาที่่นี้ยุ่งจนแทบหาตัวไม่เจอได้เรียกหวังก่วงผิงมาที่ห้องทำงานของเขา ก่อนจะวางเอกสารย้ายตำแหน่งงานลงตรงหน้าหวังก่วงผิง
“สหายก่วงผิง เกี่ยวกับเื่งานของคุณ หน่วยงานมีคำสั่งใหม่เข้ามา ไม่ว่าทำงานอยู่ที่ไหน พวกเราต่างก็เป็ผู้ให้บริการแก่ประชาชน หวังว่าสหายก่วงผิงจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งใหม่อย่างกระตือรือร้น และไม่หยุดพัฒนาตัวเอง!”
ย้ายตำแหน่งงาน!
กระดาษเอกสารหนึ่งแผ่นราว ทว่าสำหรับหวังก่วงผิงนั้น เขารู้สึกราวกับหนักเป็ตัน
หวังก่วงผิงมือสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ เขาหยิบเอกสารคำสั่งโยกย้ายตำแหน่งงานขึ้นมาดู คำว่า ‘สำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีสต์’ ทำให้เขารู้สึกหน้ามืด
เทียบกับสำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีสต์แล้ว ฝ่ายอุดมศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการถือเป็งานที่มีอนาคตและมีอำนาจมากกว่าหลายเท่าเลยน่ะสิ!