“เ้าแก่นี่คงไม่ใช่ว่าโรคจิตไปแล้วหรอกนะ? ถึงจะมีบุญคุณ แต่ใครเล่าจะรับมือกับการถูกทรมานได้ทุกวัน?”
เ่ิูใช้วิชาเยียวยาาแเสร็จแล้วคิดในใจ
เขากลับมาถึงห้องตัวเอง ตอนที่จะพักผ่อนนั้นเองก็พลันมองเห็นบนโต๊ะหินมีสมุดสีน้ำเงินเล่มเล็กวางอยู่ มันไม่น่าใช่ของที่ติดมากับหอพักแน่ๆ และยัง...
“หรือจะกลายเป็ว่าเป็ของที่เ้าแก่นั่นทิ้งไว้ให้ข้า?”
เ่ิูคิด
สมุดเล่มเล็กไร้ซึ่งนาม เย็บเล่มจากด้ายและเขียนด้วยลายมือ อักษร้าก็เปะปะไม่เป็ระเบียบ เป็อักษรตัวเล็กราวกับมีคนวาดภาพไว้ยุ่งเหยิงไปหมด ต้องเค้นสมองมองอย่างมากถึงจะเข้าใจความหมาย
เ่ิูเปิดไปสองสามหน้าก็รู้ว่านี่เป็บันทึกการฝึกเกี่ยวกับวิธีเจียระไนและอัดรวมเมล็ดพลังให้ได้มาก รวมถึงเื่น้ำพุิญญาในโลกตันเถียนด้วย
เกี่ยวกับข้อมูลและพลังภายในของด้านนี้นั้น เด็กหนุ่มได้ทำการศึกษาค้นคว้าจากหอสมุดคลังแสงมาก็มาก จึงพอเข้าใจบ้าง และเขาก็ยังได้ตัดสินใจอีกว่า ในวันสองวันนี้ต้องเปิดน้ำพุิญญาตาที่สองให้จงได้
ทว่ากลวิธีของสมุดเล่มเล็กนี้กลับแจ่มชัดสูงค่ากว่าไม่รู้กี่เท่า ภายในมีข้อคิดที่ทั้งแปลกและพิสดาร เ่ิูไม่เคยนึกถึงมาก่อน ทว่าบัดนี้ความเข้าถึงลึกซึ้งของเขา เพียงได้อ่านปราดเดียว คิดพิจารณาตามอีกเล็กน้อยก็เข้าใจอย่างหมดจด และเื่ที่ค้างครึ่งๆ กลางๆ ก็จะสำเร็จเสร็จสิ้น กำลังภายในสูงส่งชัดเจนอย่างไร้ที่ติ
“หากฝึกตามบันทึกเล่มนี้ ต้องเร็วขึ้นไม่น้อยแน่!”
เ่ิูอ่านกลับไปกลับมา ศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบอีกหลายครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลในนั้นมิใช่เื่จอมปลอม ตัดสินใจจะใช้รูปแบบในนี้เป็วิถีทางฝึกฝนเปิดน้ำพุตาที่สองของตนเอง
บัดนี้สุริยันเริ่มร่วงโรยทางทิศตะวันตก ค่อยเป็ค่อยไปยิ่ง
เ่ิูไปกินข้าวเย็นเรียบร้อย ระหว่างทางกลับก็ไม่ได้พบคนคุ้นเคย กลับกันศิษย์ปีสองทั้งหมดเขาก็ไม่รู้จักเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว จึงกลับหอพักมันโต้งๆ ไปเลย แล้วเริ่มปิดประตูฝึกวรยุทธ์ต่อ
ในห้อง
“น้ำพุตาแรกเป็แค่การเริ่มต้นเท่านั้น ตาที่สองก็ยังห่างไกลจากคำว่าพอ ในอาณาน้ำพุิญญานี้ต้องเก็บเล็กผสมน้อยมิให้ขาด ต้องสร้างฐานรากมั่นคงให้วรยุทธ์ของเราที่ขั้นนี้ให้จงได้!”
เ่ิูตั้งปณิธานแน่วแน่
กระตุ้นกำลังภายใน อากาศรอบกายแปรเปลี่ยน พลังปราณใต้หล้าค่อยๆ ตรงเข้ามารวมตัวกันที่กายเขา
นำรูปแบบที่จดไว้ในสมุดเล่มเล็กมาเคลื่อนโคจรพลังภายใน ดูดกลืนพลังปราณใต้หล้าเข้าหาทีละสายๆ ทวนกระแสเส้นลมปราณ กระดูกเส้นเอ็น ท้ายที่สุดก็เข้าสู่โลกแห่งตันเถียน
โลกตันเถียนในกายนั้นกว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด ดังนั้นจึงสามารถเป็รากฐานของวรยุทธ์กำลังภายใน เ่ิูมีญาณทิพย์มองภายในได้แล้ว ดังนั้นจึงเลือกจะแข็งพลังแห่งเมล็ดอัคคีแห่งที่สองไกลออกไปจากตาน้ำพุแรกถึงแสนลี้
พลังปราณใต้หล้ามหาศาลรวมตัวกัน
เวลาผ่านไปเรียบเรื่อย
เนื่องด้วยมีประสบการณ์คราแรกมาแล้ว การแข็งพลังคราวนี้จึงเบาสบายและแสนสะดวกนักสำหรับเด็กหนุ่ม รวมกับกลวิธีแข็งพลังในสมุดนั้น ความเร็วก็ยิ่งเพิ่มพูน พลังภายในที่ดูดกลืนก็สะอาดผุดผ่องมากกว่านัก
...
...
ข่าวที่สำนักหงส์ฟ้าและกวางขาวได้จุดประกายสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง ข่าวการแข่งขันครั้งใหญ่อย่างเป็ทางการได้แพร่กระจายทั่วทั้งสำนักกวางขาวอย่างรวดเร็ว
สำหรับศิษย์กวางขาวทั้งสำนัก เื่นี้คือเื่ใหญ่อย่างไร้ข้อกังขา
ศิษย์สำนักหงส์ฟ้าทั้งวางอำนาจบาตรใหญ่ ยั่วยุอาละวาดไปทั่ว ได้กระตุ้นแรงโกรธแค้นและประณามจากพวกเขามานานแล้ว ไม่รู้ว่าสองฝ่ายจะศึกษากันและกันไปได้กี่สนามแล้ว ทว่าโดยพื้นแล้วแพ้มากกว่าชนะ สถานการณ์ตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
ตามจริงแล้วกลศึกเช่นนี้ก็ปกติธรรมดายิ่งนัก
ก่อนอื่นเลยสิบรายชื่อของสำนักหงส์ฟ้านั้น ก็มีดีกว่าของสำนักกวางขาวมากนัก ทั้งยังตั้งอยู่ในเขตรั้วอันอู้ฟู่ชั้นใน ต้นทุนเพียบพร้อม เขตทำเลดีงาม อัจฉริยะกำเนิดมาเป็รุ่นสู่รุ่น การมาเยี่ยมเยียนของศิษย์ครานี้ล้วนเป็ดาบแห่งการท้าสู้ในทุกด้าน ทว่าหากเปรียบเทียบกันแล้ว การตอบโต้ของศิษย์กวางขาวทั้งสะเปะสะปะไร้ระบบ บนความโกรธขึ้งนั้น กลับรู้อยู่แก่ใจดีกว่าตนมิใช่คู่ต่อสู้ และหากรั้นจะขึ้นสังเวียนพร้อมประมือ ก็มีแต่จะพ่ายแพ้อย่างอเนจอนาถเท่านั้น!
ผลลัพธ์อันไม่น่าอภิรมย์นี้ ทำลายความภาคภูมิแห่งสำนักกวางขาวมากมายทีเดียว
และเื่ยิ่งก่อก็ยิ่งใหญ่ หากแพร่สะพัดไปกระทั่งถึงเขตอื่นของแคว้นเสวี่ย สำหรับสำนักกวางขาวแล้วย่อมจะกำเนิดเป็ผลกระทบด้านลบอย่างถึงที่สุด ทำให้สำนักกวางขาวที่เดิมก็ตกต่ำลงทุกวันอยู่แล้วยิ่งยืนหยัดอยู่ได้ยากเย็นยิ่งขึ้น
เมื่อมาในสภาพการณ์เช่นนี้แล้ว การประลองยุทธ์อย่างเป็ทางการ ณ สมรภูมิภูผาปัดป้องจึงการันตีขึ้นมา
สองวันนี้ ในรั้วสำนักกวางขาวยังแพร่ข่าวออกมาไม่หยุดหย่อน
คำโต้แย้งและทำนายของศิษย์ทั้งหลายดุเดือดเป็ที่สุด ทั้งปัญหาเื่เลือกคนเข้าแข่งครั้งใหญ่ ศิษย์กวางขาวมากมายคาดหวังว่าตนจะได้กลับคืนในสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง มรสุมความลบหลู่ที่ได้รับ ใครเล่าจะมีคุณสมบัติเป็ตัวแทนต่อสู้ เป็ปัญหาที่สำคัญที่สุดแน่แท้
ตามแหล่งข่าวจากทุกมุมนั้น ที่จุดประกายสมรภูมิหุบเขาปัดป้องในสองวันครานี้ ต้องสู้ทั้งหมดห้าสนาม ใช้กติกาแข่งห้าชนะสองมาตัดสินผลแพ้ชนะในท้ายสุด กฎที่เป็รูปธรรมก็คือแบ่งตามชั้นปีเป็สี่สนาม หลังจากนั้นทั้งสองสำนักจักเลือกศิษย์ผู้โดดเด่นยอดเยี่ยมที่สุดในการต่อสู้เข้าสู่ศึกสุดท้าย
ยามนั้นเอง ที่สายลมพัดพาและเมฆาล่องลอย
เหล่าศิษยานุศิษย์ของทุกชั้นปี เริ่มทำนายและเลือกนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดของชั้นปีตนเอง
ที่เรียกว่าผู้ที่แข็งแกร่งคือ อักขระเป็ที่หนึ่ง วรยุทธ์เป็ที่สอง จากทุกวันที่เห็นจากทั้งการฝึกซ้อม ประฝีมือหรือฝึกฝน โดยพื้นก็มองแวบเดียวรู้ทั้งนั้น อัจฉริยะทั้งห้าที่แต่ละชั้นปีเลือกกันย่อมกำหนดขอบเขตไว้แคบแล้ว
แน่นอนว่า จะเื่ไหนก็สามารถแปรเปลี่ยนไม่ทันตั้งตัวได้ทั้งนั้น
ทุกคนต่างก็กำลังรอ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนั่นอยู่
เวลาหลั่งไหลไป มีแม้กระทั่งศิษย์ที่เริ่มออกปากพนันขันต่อ พนันว่าใครกันแน่ที่จะได้เข้าไปสู้สมรภูมิ พนันว่าโอกาสชนะมีมากน้อยเท่าใด พนันว่าใครจะเป็แกนหลักในสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง พนันว่าสำนักกวางขาวจะสามารถเอาชนะในศึกทั้งห้าได้สักสนามหรือไม่ พนัน...
แน่นอนว่า ผลแพ้ชนะท้ายสุดนั้นมีคนพนันน้อยเหลือใจ
กระทั่งศิษย์สำนักกวางขาวที่ภาคภูมิในตนอย่างบ้าคลั่งยังไม่กล้าเชื่อมั่น ว่าสำนักกวางขาวจักสามารถชนะในการต่อสู้กับสำนักหงส์ฟ้าได้ ความแตกต่างระหว่างสองสำนักนี้มีมากเกินไป ระดับพลังเองก็ห่างกันไกลเหลือเกิน
การแข่งขันใหญ่ครานี้ กระทั่งกลุ่มอิทธิพลทุกด้านในลู่ิต่างล้วนได้ผลกระทบไปเป็แถบ
ตามแม่บทแล้ว สำนักกวางขาวก็เป็เสมือนตัวแทนเกียรติยศของนครลู่ิ เขตาแห่งเทือกเขากวาง ไม่ว่าจะเป็ไพร่ฟ้าธรรมดา ชนชั้นสูงหรือนายทหารประจำเขตา ล้วนแล้วแต่วาดหวังว่าสำนักจะไม่พ่ายแพ้น่าอดสูจนเกินไป
เกลียวคลื่นในเงามืดกำลังคืบคลาน
พลังจากทั่วสารทิศเริ่มมีชีวิตขึ้นมา
คนจากสำนักหงส์ฟ้าแสดงออกช่างกำเริบเสิบสานนัก ัแกร่งข้ามนทียังไม่อาจกดหัวอสรพิษบนดินที่เชิดหน้าชูคอ ยังไม่นับที่ัแกร่งแท้จริงคือสำนักอันดับหนึ่งในสิบอันดับ อย่างสำนักหุยหนิง หาใช่สำนักหงส์ฟ้าไม่
ดังนั้นเมื่อได้ปะทะกับศัตรูภายนอกสาธารณะเช่นนี้ เมืองลู่ิและฝ่ายทหารประจำเขตาเทือกเขากวางล้วนมีศัตรูคู่แค้นเดียวกัน ลือมาว่าฝ่ายทหารได้จัดการตระเตรียมอาวุธิญญาชั้นสูงมาให้ และอยู่ในระหว่างส่ง สามารถหยิบยืมใช้ในการนี้ได้ และสำนักเ้าเมืองผู้เป็ตัวแทนของกลุ่มชนชั้นสูงก็ยอมสมัครใจมอบอาวุธิญญาประจำตระกูลให้สำนักกวางขาวยืมใช้...
ทุกอย่าง ก็เพื่อตะบันหน้าคนหงส์ฟ้าแรงๆ สักฉาด
หากแม้นไม่ได้ชัย ก็้าจะสั่งสอนบทเรียนให้คนของสำนักหงส์ฟ้าจดจำได้ไม่มีวันลืม
ใต้บรรยากาศเช่นนี้ สำนักกวางขาวสองสามวันมานี้ไร้ซึ่งความคึกคัก ศิษย์มากมายรวมความสนใจกับเื่แข่งขันใหญ่ คาบเรียนโดยมากก็งดการสอนชั่วคราว เหล่าครูอาจารย์ก็รวมกลุ่มกันพูดคุยหรือทายทักเื่แข่งขันครานี้ และนักเรียนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะฝึกฝนแล้วด้วย
ทว่าเ่ิูนั้นเล่า ยังเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในห้องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ความจริงแล้วจะเอ่ยว่าเก็บตัวก็ไม่ถูกเท่าไร
เพราะทุกวันยามอาทิตย์ตก เ้าแก่กะโหลกคนเดิมจะโผล่หน้ามาอย่างเตรียมพร้อม ตะปบกายเ่ิูแล้วฟาดลงมาไม่บันยะบันยัง เื่ขั้นตอนก็ไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าเขาจะอ้อนวอนหรือด่าทออย่างไร สุดท้ายก็ถูกทิ้งในสภาพแผลปูดทั้งตัว
เ่ิูยังไม่เข้าใจจนทุกวันนี้ ว่าตนไปทำอะไรให้เ้าคนนี้ไม่พอใจกัน ตอนแรกที่หอพิจารณ์ก็ปรากฏกายออกมาอย่างไร้ที่มาที่ไป ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนนี่นา...
ยังดีที่ไม่ได้ทำให้การฝึกเสื่อมถอยลง
ตอนวันที่สองเ่ิูก็แข็งพลังสำเร็จ ปลูกเมล็ดอัคคีบนโลกตันเถียนเมล็ดที่สองเรียบร้อย
สำหรับเขาแล้ว นี่คือการบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นัก
ยามสายัณห์ เมื่อถูกเ้าวัตถุโบราณกระหน่ำตีจนหนำใจแล้วจากไป เ่ิูที่เดินกลับหอพักตนเองก็พบสมุดเล่มเล็กสีน้ำเงินวางอยู่บนโต๊ะหินอีกครา...
“การศึกษาและวิเคราะห์กลยุทธ์สู้ศึกในสมรภูมิหุบเขาปัดป้องขั้นต้น?”
เห็นนามนี้แล้ว เด็กหนุ่มก็ดวงตาเป็ประกาย
ข้อมูลที่ได้มาจากหอสมุดคลังแสงมิได้ละเอียดลอออะไรพิเศษ โดยเฉพาะคำบรรยายเกี่ยวกับสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง ค่อนข้างเป็เนื้อหาหยาบๆมาก
เ่ิูเองก็เคยใช้บัตรที่หวังเยี่ยนให้มาเข้าไปยังหอสมุดคลังแสงของทั้งปีสามและปีสี่ ก็ยังมิได้คำตอบที่น่าพึงพอใจ ไม่นึกว่าวันนี้สมุดเล็กๆ จะลอยจาก์ลงมาต่อหน้าต่อตาเขาเลย
เพียงอ่านไปสองสามหน้า เ่ิูก็รับประกันได้เลยว่าสมุดเล่มนี้กับเล่มที่ข้องเกี่ยวกับน้ำพุิญญาและการแข็งพลังเมล็ดอัคคีต้องมาจากคนๆ เดียวกันแน่ ไม่ว่าตัวสมุดหรือแผนที่ใดๆ ก็ไก่เขี่ยมั่วสุมเหมือนกันหมด อย่างกับหัดเขียนอักขระ ต้องเค้นสุดชีวิตนั่นแลถึงจะอ่านออก
“หรือจะเป็ของที่เ้าแก่ทิ้งไว้ให้ข้าอีกแล้ว?”
เ่ิูนึกเงียบๆ
แต่ก็ไม่เห็นเ้านั่นเข้าห้องมานี่นา
ใจสันนิษฐานไป เ่ิูก็ถูกเนื้อหาในสมุดดึงดูดเสียอยู่หมัดในบัดดล จมจ่อมไปแช่อยู่ในนั้นเต็มตัว โดยเฉพาะคำอภิปรายบรรยายเกี่ยวกับสมรภูมิหุบเขาปัดป้อง ล้วนทำให้เด็กหนุ่มที่ตกตะลึงได้เปิดหูเปิดตา
เขาไม่เคยนึกว่าสมรภูมินี้จะอภินิหารนัก เื่ที่ไม่อาจอธิบายขนาดนั้น ไม่แปลกใจที่กลายเป็เปลไกวในการฝึกฝนของผู้แข็งแกร่ง นักรบ พลทหารกระทั่งเทพาตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา
เมื่ออ่านจบถึงบรรทัดสุดท้าย เ่ิูก็ตัดสินได้ในทันที ว่าการที่เผ่ามนุษย์ยังสามารถดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้บนโลกอันโหดร้ายใบนี้ เป็เพราะบัญชาสร้างของจักรพรรดิอักขระลัวซู่ในยามนั้นโดยแท้ ถึงได้ตั้งรากยุทธ์ที่ไม่มีวันตายลงได้