ตระกูลซูใช้โต๊ะกลมแบบพับได้ในการรับประทานอาหาร เวลาที่ไม่ใช้ก็พับเก็บพิงไว้ที่ข้างผนังซึ่งช่วยประหยัดพื้นที่ได้มาก
โต๊ะถูกใช้มานานหลายปีทำให้ดูเก่าทรุดโทรม เมิ่งเถียนเฟินจึงใช้ผ้าปูโต๊ะพลาสติกปูทับหนึ่งชั้น ลายดอกไม้สีสันสดใส
วันนี้บุตรสาวกลับมาอยู่บ้านวันแรก เป็อาหารมื้อแรกที่ได้รับประทานที่บ้านของตนเอง สองสามีภรรยาตระกูลซูใส่ใจเื่นี้มาก พวกเขารีบไปตลาดซื้อเนื้อสัตว์และผักสดมาตุน และนำไปไว้ในตู้เย็นของบ้านคุณลุง ่นี้เป็ฤดูที่ยุ่งกับการทำนา แต่เมิ่งเถียนเฟินไม่ได้ไปทำนากับซูเจี้ยนจวิน เพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่ในครัว
โต๊ะกลมถูกลากออกมาไว้ใต้พัดลมเพดานก่อนจะกางออก อาหารเจ็ดอย่างและซุปอีกหนึ่งอย่างถูกนำมาวางบนโต๊ะ
ซูอินหาถุงและใส่หุ่นยนต์ลงไปทั้งห้าตัว ยื่นให้เ้าตัวน้อยภายใต้สายตาที่รอคอย เมื่อเธอพาเขาออกมาจากห้องนอนก็เห็นอาหารมากมายเรียงรายอยู่บนโต๊ะ
ความรู้สึกแรก อาหารเหล่านี้น่ากินมาก
ซุปซี่โครงหมูที่อยู่กลางโต๊ะกำลังร้อน จนในบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก ้าราดด้วยซอสเป็มันเงา ทำให้สีของอาหารยิ่งดูน่ารับประทาน
เมื่อนับซุปด้วยรวมได้อาหารแปดอย่างพอดี
ประเพณีท้องถิ่นของเมืองผิง เวลาเลี้ยงฉลองเทศกาลจำเป็ต้องทำอาหารให้ครบแปดชาม ซึ่งก็คืออาหารแปดอย่าง แต่เพราะปรับเปลี่ยนตามมาตรฐานการครองชีพในปัจจุบัน อาหารแปดอย่างจึงไม่ถูกนำมาใช้ ทว่าประเพณีเช่นนี้ยังต้องดำรงอยู่ การตั้งอาหารมากมายขนาดนี้แสดงถึงการให้ความสำคัญ
ใครกันจะไม่ชอบเวลาถูกให้ความสำคัญและดูแลอย่างอบอุ่น
ไม่ว่าจะเป็เฟอร์นิเจอร์ใหม่ในห้องนอนที่เหมือนห้องเ้าหญิง หรือผ้าห่มที่ทำใหม่และนำไปตากแดด รวมถึงอาหารที่ทำให้ในตอนนี้ ซูอินรู้สึกว่าได้รับความใส่ใจจากสองสามีตระกูลซู
แม้ว่าพวกเขาจะไม่พูด แต่การกระทำคือสิ่งที่ยืนยันทุกอย่าง
จู่ๆ เธอก็เกิดความรู้สึกเสียใจ ทำไมนะชาติก่อนเธอไม่ยอมกลับมา
แต่เธอก็ตอบสนองต่อสิ่งที่ตนเองคิดอย่างรวดเร็ว เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อชาติก่อนได้ผ่านไปแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือปัจจุบัน
แววตาของซูอินประดับด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่เธอจะอุทาน “อาหารเยอะแยะเลย!”
ถึงแม้จะพยายามอย่างมากในการเตรียมของเหล่านี้ แต่เมิ่งเถียนเฟินยังคงกังวลว่าบุตรสาวจะไม่ชอบ อันที่จริงหลังจากสอบเสร็จในครั้งนั้น ถึงแม้จะเป็อาหารชุดพิเศษที่ซูอินสั่งมามากมาย แต่ร้านอาหารนั้นก็เป็แค่ร้านธรรมดา หากเทียบกับฐานะของตระกูลหลิงที่ดีกว่ามาก โดยปกติเธอต้องได้รับประทานอาหารที่ดีกว่านี้อย่างแน่นอน
เธอแสดงออกโดยวางชามและตะเกียบอย่างสงบนิ่ง แต่ในความเป็จริงคอยสังเกตสีหน้าของบุตรสาวอยู่ตลอด
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของซูอิน ฟังเธอเอ่ยชื่นชม ในที่สุดเมิ่งเถียนเฟินก็รู้สึกโล่งใจ
“เป็อาหารที่ทำเองทั้งนั้น คงสู้ร้านอาหารไม่ได้”
ซูอินส่ายหน้า “ทำเองนี่แหละสะอาด วางใจได้”
ถึงแม้เมิ่งเถียนเฟินจะบอกว่ามันไม่ดี แต่เธอก็ตั้งใจทำด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไม่มีทางที่เธอจะไม่อยากได้คำชื่นชม
คิ้วของเธอคลายออก ริมฝีปากยกยิ้ม ในใจรู้สึกผ่อนคลาย ในที่สุดเธอก็สังเกตเห็นของที่อยู่ในมือของบุตรชาย
“อันอัน ถืออะไรอยู่”
เ้าตัวน้อยชะงักเล็กน้อยก่อนจะมองไปทางซูอินด้วยท่าทีประหม่า
เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีใ ซูอินจึงรีบกล่าวชื่นชมเขา “หนูซื้อของขวัญมาให้อันอันค่ะ เขาเก่งมาก ไม่ใช่แค่แกะกล่องเอง ใช้เวลาแป๊บเดียวก็เข้าใจแล้ว เขาเล่นเก่งกว่าหนูอีก ฉลาดมากจริงๆ”
เธอไม่เหมือนพี่สาวคนก่อนที่ชอบฟ้องแม่ ใส่ร้ายเขา ทำให้ซูอันรู้สึกโล่งใจ
พี่สาวคนใหม่เป็คนดีจริงๆ
แต่เมิ่งเถียนเฟินกลับขมวดคิ้ว “ซื้อของพวกนี้มาทำไม ไม่เปลืองเงินหรือ”
เมื่อเช้าระหว่างทางที่นั่งรถบัสกลับมา ในตอนที่ซูอินกล่าวว่าได้ตัดขาดกับตระกูลหลิงแล้ว เธอจงใจเล่าข้ามเื่เงินบริจาคเพื่อการกุศล โดยกล่าวถึงแค่เื่คำพูดดูถูกของหลิงเมิ่งที่มีคนอย่างเธอเข้าร่วมฉลองงานวันเกิดครั้งนี้ รวมไปถึงการให้ท้ายหลิงเมิ่งของสองสามีภรรยาตระกูลหลิง
เงินซื้อใจคนได้เสมอ ควรพึงระวังคนที่คิดร้ายกับเรา ก่อนจะกลับมาที่นี่ เธอได้ไตร่ตรองเป็อย่างดี ก่อนจะได้รู้นิสัยที่แท้จริงของคนในตระกูลซู เธอจะไม่ยอมเปิดเผยเื่เงินของตนเองง่ายๆ อย่างแน่นอน
ดังนั้นสายตาของเมิ่งเถียนเฟิน เธอคือเด็กที่น่าสงสารที่ต้องทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพใน่หลังเลิกเรียนของ่เวลาที่สำคัญที่สุดในการเตรียมตัวสอบขึ้นชั้นมัธยมปลาย
“ต้องไปทำงานอย่างเหนื่อยยากที่ร้านทุกวันจนดึกดื่น การหาเงินไม่ใช่เื่ง่าย ทำไมใช้จ่ายออกไปง่ายๆ แบบนี้ล่ะ”
ซูอิน : …
เข้าใจผิดแล้ว
“การหาเงินไม่ใช่เพื่อเพราะเอามาใช้จ่ายหรือคะ ไม่ใช่แค่อันอันนะคะที่หนูซื้อของให้ หนูซื้อของมาให้พวกคุณด้วย”
เอ่ยจบเธอหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะนำถุงสองใบที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือออกมา พร้อมยกแขนขึ้นเพื่อแสดงให้เมิ่งเถียนเฟินได้เห็น
“อันนี้ให้พวกคุณค่ะ”
เมิ่งเถียนเฟิน : …
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดัง คาดว่าคงได้เวลาที่ซูเจี้ยนจวินกลับจากทุ่งนาเปิดประตูเข้ามา ภาพเหตุการณ์ที่ต้อนรับเขาคือทั้งสองฝ่ายที่กำลังยืนหันหน้าเข้าหากันอยู่ในบ้าน
เกิดอะไรขึ้นหรือ
จากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับรู้ต้นสายปลายเหตุจากการบอกเล่าของเมิ่งเถียนเฟิน และการแสดงท่าทีตอบกลับในแบบเดียวกัน
เขามองมือของซูอินที่หิ้วของก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดสักคำ แต่มันแสดงความหมายออกมาอย่างชัดเจน
เมิ่งเถียนเฟินเห็นคนที่คิดเหมือนกันก็มีความมั่นใจมากขึ้นที่จะพูดเื่นี้ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อินอิน กว่าจะได้เงินมาไม่ใช่เื่ง่าย ตั้งใจเก็บไว้ซื้อหนังสือเรียน ปากกา รวมไปถึงสมุดเถอะ”
ซูเจี้ยนจวินพยักหน้าเห็นด้วย
ซูอินรู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย เธอตั้งใจซื้อของขวัญมาให้ แต่ทำไมกลับถูกสั่งสอนแบบนี้ล่ะ
ทว่าเธอก็เข้าใจความหมายของสองสามีภรรยาตระกูลซู พวกเขาสงสารเธอ ไม่อยากให้สิ้นเปลืองเงินทอง
จริงๆ เลย…
เธอรู้สึกประทับใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอธิบาย “ทั้งหมดล้วนแต่เป็ของที่มีประโยชน์ พวกคุณลองดูสิคะ”
ซูอินไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาแกะของเหล่านี้ด้วยตนเอง เธอหยิบของในถุงออกมา ผ้าพันคอหนึ่งผืน ยังมีกล่องอีกหนึ่งใบ ในนั้นมีเข็มขัดผู้ชายหนึ่งเส้น
ผ้าพันคอผืนนั้นทำจากผ้าไหมคุณภาพดี มีสีเหลืองของดอกทานตะวันเป็สีหลัก วาดตกแต่งลวดลายด้วยฝีมือหัตถกรรมที่สวยงาม ถึงแม้สีสันจะโดดเด่น แต่ลวดลายบนนั้นไม่ฉูดฉาด ทำให้คนที่เห็นััได้ถึงความรู้สึกที่ดี ส่วนเข็มขัดซูอินไม่ค่อยเข้าใจเื่การซื้อของให้ผู้ชาย เธอบอกอายุกับรูปร่างลักษณะของซูเจี้ยนจวิน แล้วจึงเลือกซื้อตามที่พนักงานให้คำแนะนำ
ถึงแม้เธอจะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับสองสามีภรรยาตระกูลซู อย่างไรก็ตามพวกเขาได้ให้กำเนิดและมอบชีวิตให้เธอ ด้วยเหตุนี้ซูอินจึงเลือกซื้อของขวัญโดยไม่ห่วงเื่เงิน นอกจากของเล่นหุ่นยนต์ทรานส์ฟอร์เมอร์สที่ซื้อมาฝากเด็กชายตัวน้อย ของขวัญสองชิ้นนี้ถือว่ามีราคาแพงที่สุด
แต่เพราะเห็นสองสามีภรรยาตระกูลซูที่สงสารเธอ ทำให้เธอไม่สามารถบอกราคาที่แท้จริง
“ของพวกนี้ล้วนแต่ซื้อมาจากร้านแผงลอย ราคาแค่สิบยี่สิบหยวนเองค่ะ แม้ว่าพวกมันจะดูมีราคา แต่พอรวมจริงๆ แล้วก็แค่ไม่กี่หยวน”
สินค้าดีๆ คงโกหกใครไม่ได้ โดยเฉพาะสองสามีภรรยาตระกูลซูวัยกลางคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมานาน เมื่อผ้าพันคอและเข็มขัดอยู่ในมือก็ััได้ว่าเป็ไหมและหนังวัวอย่างดี ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยััของมีราคา แต่ก็พอจะรู้ว่าของพวกนี้ไม่ใช่ของที่วางขายตามแผงลอยแน่ๆ
แต่บุตรสาวของพวกเขาบอกมาแบบนั้น
เด็กคนนี้ทำงานด้วยความยากลำบาก ใช้เงินเก็บซื้อข้าวของให้พวกเขา และยังตั้งใจพูดแบบนั้นเพื่อให้พวกเขารู้สึกดี
สองสามีภรรยาสบตากัน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นอารมณ์ความรู้สึกจากแววตาของกันและกัน
“ครั้งนี้ช่างมันเถอะ แต่หลังจากนี้อย่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอีก ลูกไม่ได้หาเงินมาได้ง่ายๆ เก็บไว้ให้ตัวเองดีกว่า”
เมิ่งเถียนเฟินบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่ท่าทีของเธอที่ถือผ้าพันคอในยามนี้แสดงออกถึงความสุข