หลิวอวิ๋นชูสะดุ้งใ เขาถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะมองเฟิ่งสือจิ่นอย่างไม่เชื่อสายตา “เ้า... เ้าเป็โรคจิตหรือไง! คิดจะลวนลามข้าใช่หรือไม่!”
“ชิ” เฟิ่งสือจิ่นสบถเสียงหัวเราะออกมา “ทำไมไม่ลองฉี่ แล้วส่องสภาพหน้าตัวเองดูเสียหน่อย”
หลิวอวิ๋นชูเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตนเพิ่งถูกหญิงตรงหน้าต่อยจนใบหน้ามีรอยฟกช้ำเต็มไปหมด สภาพของตนในตอนนี้ดูไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ทั้งโกรธทั้งเศร้า เขาปรี่เข้าไปดึงเฟิ่งสือจิ่นขึ้นมาจากที่นั่ง “หลีกไป! อย่าบังคับให้ข้าลงไม้ลงมือนะ!”
เฟิ่งสือจิ่นถูกดึงขึ้นมาจากที่นั่ง นางมีท่าทีเกียจคร้านเป็อย่างมาก เมื่อลุกขึ้นแล้วก็โบกมือผ่านโต๊ะ และผ่านหน้าหลิวอวิ๋นชูไป ก่อให้เกิดสายลมพัดผ่านไปอย่างแ่เบา หลิวอวิ๋นชูชะงักนิ่งลงเล็กน้อย เฟิ่งสือจิ่นเองก็ไม่ได้ถกเถียงอะไรต่อ นางเดินไปยังที่นั่งของตนเอง “ต่อให้ลงไม้ลงมือกันจริงๆ เ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี”
หลิวอวิ๋นชูหัวเราะเสียงดังสนั่นแก้เขิน “ฮ่าๆๆๆ ถ้าแน่จริง หลังเลิกเรียนอย่าเพิ่งกลับบ้านก็แล้วกัน! ไม่รู้ใช่ไหมว่าที่นั่งของตัวเองอยู่ที่ไหน ข้าจะบอกให้ อยู่ตรงมุมอับนั่นไง!” พูดไปพลางก็ชี้ไปยังมุมที่อยู่ลึกและลับสายตาที่สุดในห้อง
เฟิ่งสือจิ่นมองไปตามที่เขาชี้ โต๊ะตัวนั้นมีชื่อของนางสลักอยู่
เมื่อเห็นว่าหลิวอวิ๋นชูนั่งประจำที่อย่างสบายอกสบายใจแล้ว เฟิ่งสือจิ่นก็ไปนั่งประจำตำแหน่งของตนเช่นกัน นางเอียงตัวไปพิงพนักเก้าอี้ด้านหลังด้วยท่าทางผ่อนคลาย ทว่าสายตากลับดูสนุก คล้ายมีเื่ที่น่าสนใจบางอย่าง
คิดไม่ถึงว่าเมื่อเริ่มเรียน อาจารย์เพิ่งเริ่มสอนได้ไม่นาน หลิวอวิ๋นชูก็ล้วงมือเข้าไปในลิ้นชักใต้โต๊ะอย่างเบื่อหน่าย ทว่ากลับััโดนของประหลาดบางอย่าง สิ่งนั้นมีขนแถมยังเย็นอีกด้วย เขาสะดุ้งใ สิ่งนั้นไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ด้วยความสงสัยจึงดึงมันออกมาช้าๆ ทันทีที่เห็น เขาก็ใจนลูกตาแทบจะถลน “อ๊าก...” เขาร้องอุทานเสียงดังพลางสะบัดมือไปด้วย “หนู! หนูตาย!”
ก้อนขนถูกโยนไปตกลงที่กลางโต๊ะของซูกู้เหยียน ช่างเป็ความบังเอิญที่พอดิบพอดีอะไรเช่นนี้... มีเสียงฮือฮาดังขึ้นในห้องเรียน หลังความเงียบเข้าปกคลุมเพียงชั่วครู่ เสียงกรีดร้องที่แหลมจนแสบแก้วหูของผู้หญิงก็ดังตามมา คนทั้งห้องแตกฮือ วุ่นวายไปหมด เฟิ่งสือจิ่นนั่งอยู่ในมุมลับตา นางยิ้มอย่างอารมณ์ดี พลางใช้มืออุดหูทั้งสองข้างเอาไว้ ท่าทางใจนหน้าถอดสีของหลิวอวิ๋นชู ทำให้นางทั้งสะใจและมีความสุขเหลือเกิน
ซูกู้เหยียนมองศพหนูบนโต๊ะ สีหน้าของเขาเย็นะเืขึ้นอย่างฉับพลัน ทางด้านของหลิวอวิ๋นชู เขามองข้ามปฏิกิริยาของซูกู้เหยียนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ เขาคิดแต่จะเอาเื่คนที่ทำเท่านั้น และเขาก็มั่นใจว่าคนคนนั้นคือเฟิ่งสือจิ่นนั่นเอง นอกจากนางก็ไม่มีใครทำเื่เช่นนี้ได้อีกแล้ว เป็ผู้หญิงแท้ๆ แต่กลับยัดศพหนูไว้ใต้โต๊ะของคนอื่น ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว! หลิวอวิ๋นชูหันไปมองเฟิ่งสือจิ่นที่ยังคงนั่งประจำที่ด้วยท่าทางใจเย็น เขาชี้เฟิ่งสือจิ่นพลางบอกกับซูกู้เหยียน “อาจารย์ ศพหนูนี่ต้องเป็ฝีมือนางแน่!”
แต่เขาลืมไปเสียสนิทว่าคนที่โยนหนูไปที่โต๊ะของซูกู้เหยียนคือตนเองต่างหาก... ในแคว้นจิ้น คนที่วู่วามและชอบรนหาที่ตายที่สุดคงเป็ใครไปไม่ได้ นอกจากหลิวอวิ๋นชูเพียงคนเดียวเท่านั้น
เฟิ่งสือจิ่นแสดงท่าทีหวาดกลัวและเสียใจ คล้ายตนไม่ได้รับความเป็ธรรมเช่นนั้น นางพูดด้วยเสียงอ่อนแอ “หนูตัวนั้นน่ากลัวจังเลย ตัวใหญ่ขนาดนั้น แถมยังเป็หนูสีดำอีก... เค้า... เค้าเป็ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะกล้าทำเื่น่ากลัวแบบนั้นได้อย่างไร... เพื่อนร่วมชั้นหลิว เค้ารู้ว่าตัวเองไม่ชอบเค้า แต่ก็ไม่เห็นต้องใส่ร้ายกันแบบนี้เลย...”
คิ้วของซูกู้เหยียนกระตุกขึ้นอย่างเหลืออด
เค้า... เค้าบ้านเ้าน่ะสิ... หลิวอวิ๋นชูรู้สึกคล้ายจะเป็บ้าอยู่แล้ว ท่าทางสำออยของเฟิ่งสือจิ่นช่างน่ากลัวเสียจริง! เขาขนลุกไปหมดทั้งตัว รู้สึกเหมือนขนแทบจะหลุดออกมาเลยก็ว่าได้
หลิวอวิ๋นชูโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ “คนแบบเ้าเนี่ยนะถือเป็ผู้หญิง ต่อให้...” ต่อให้ผู้หญิงในแคว้นจิ้นจะตายจนหมดก็ไม่มีใครมองว่าเ้าเป็ผู้หญิงอยู่ดี
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจนจบประโยค ซูกู้เหยียนก็ชี้ไปยังที่นั่งข้างๆ เฟิ่งสือจิ่นซึ่งยังว่างอยู่ แล้วพูดด้วยท่าทีนิ่งเรียบทว่าก็น่าเกรงขามจนไม่อาจขัดขืน “หลิวอวิ๋นชู ข้าว่า เ้าไปนั่งตรงนั้นน่าจะดีกว่า”
ท้ายที่สุด หลิวอวิ๋นชูก็หอบหนังสือไปนั่งในตำแหน่งข้างๆ เฟิ่งสือจิ่น เฟิ่งสือจิ่นเองก็พูดขึ้นอย่างใจเย็น “ท่านชายหลิว โชคชะตาช่างเล่นตลก คิดไม่ถึงว่านอกจากจะได้เป็เพื่อนร่วมชั้นกันแล้ว เรายังได้เป็เพื่อนร่วมโต๊ะกันอีก”
“ไสหัวไปไกลๆ เลยไป” หลิวอวิ๋นชูกัดฟันกรอด ทั้งสองนั่งอยู่ข้างกัน แต่กลับเกลียดขี้หน้ากันอย่างกับอะไรดี หลิวอวิ๋นชูเงียบลงชั่วครู่ก็เค้นเสียงลอดไรฟันอย่างโกรธแค้น “สารภาพมา เ้าเป็คนยัดหนูตัวนั้นเข้าไปใต้โต๊ะข้าใช่ไหม!”
เฟิ่งสือจิ่นถามกลับ “เ้าเห็นด้วยตาข้างไหนว่าข้าเป็คนยัดมันเข้าไปใต้โต๊ะเ้า?”
“งั้นเ้าจะไปนั่งที่ของข้าั้แ่เช้าทำไม เ้าต้องฉวยโอกาสลงมือตอนนั้นแน่”
เฟิ่งสือจิ่นฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี “ไม่เชื่อก็ตามใจ ถ้าแน่จริงก็หาหลักฐานมาสิ”
หลิวอวิ๋นชูเอาผิดนางไม่ได้ จึงเหยียบเท้าเฟิ่งสือจิ่นเพื่อระบายความโกรธ เฟิ่งสือจิ่นเองก็ไม่รอช้า รีบเหยียบเท้าอีกฝ่ายกลับเช่นกัน ทั้งสองเหยียบเท้ากันไปมาหลายครั้ง เฟิ่งสือจิ่นยังอดทนได้ แต่หลิวอวิ๋นชูกลับเจ็บจนส่งเสียงซี้ดออกมา
ในขณะเดียวกัน ซูกู้เหยียนกำลังพูดเื่ ‘หลักคำสอน’ ของขงจื๊อ มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าทั้งสองแอบทำอะไรที่ใต้โต๊ะ แต่ทางเดียวที่จะหยุดสองคนนี้ได้อย่างเด็ดขาด ก็คือการปล่อยให้ทั้งสองคนตีกันจนพอใจ เมื่อรู้สึกว่าทะเลาะกันไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาย่อมหยุดลงเอง ซูกู้เหยียนถามขึ้น “มีใครอยากเล่าบ้าง ว่าคิดอย่างไรกับคำสอนที่บอกว่า ‘หากไม่ชอบสิ่งใด ก็อย่าทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น’?” สายตาของเขาหยุดลงที่เฟิ่งสือจิ่นกับหลิวอวิ๋นชู
หลิวอวิ๋นชูตาไว เขาจับเท้าข้างที่เพิ่งถูกเฟิ่งสือจิ่นเหยียบไปเมื่อครู่เอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และยกมืออีกข้างขึ้นสูง “อาจารย์ เฟิ่งสือจิ่นบอกว่านางอยากพูด!”
เฟิ่งสือจิ่นหันไปมองหลิวอวิ๋นชูที่นั่งอยู่ข้างๆ พบว่าหลิวอวิ๋นชูกำลังยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ช่างระคายตาเสียจริง นางยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็น ขณะที่เท้าก็ออกแรงถีบไปที่ขาเก้าอี้ของหลิวอวิ๋นชูแรงๆ เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว หลิวอวิ๋นชูยังไม่ทันหัวเราะจนจบด้วยซ้ำ ก็ล้มหัวคะมำไปเสียก่อน เขาสบถด่าด้วยความเ็ป “เวรเอ๊ย...”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “อาจารย์ ข้าคิดว่าคำสอนนี้ไม่ถูกต้อง”
ซูกู้เหยียนเดาได้ั้แ่แรกแล้วว่านางจะพูดเช่นนี้ “ไหนลองบอกมาหน่อยว่าผิดตรงไหน?”
เฟิ่งสือจิ่นบอก “หากไม่ชอบสิ่งใดก็อย่ามอบให้คนอื่น เช่นนั้นท้ายที่สุดแล้ว คนที่ต้องรับสิ่งที่ไม่ชอบนั้นเอาไว้ก็คือตัวเองอยู่ดี แบบนั้นก็ลำบากแย่เลยน่ะสิ ก็เหมือนหนูที่อยู่ใต้โต๊ะท่านชายหลิวเมื่อครู่ เขาไม่อยากได้ เลยโยนไปให้ท่านแทน แบบนี้ก็ถือเป็การมอบสิ่งที่ไม่ชอบให้คนอื่นแล้ว แต่การกระทำเช่นนี้ก็เป็สัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคน เพราะเราทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวทั้งนั้น” เมื่อสิ้นเสียง จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าคำพูดนี้คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ราวกับว่านางเคยพูดเช่นนี้มาก่อน แต่ก็จำไม่ได้ว่าพูดมันตอนไหน
สายตาของซูกู้เหยียนแลดูลึกล้ำ ยากจะคาดเดา “เ้าช่างใจกล้าเสียจริง ถึงได้ตั้งข้อกังขาในคำสอนของท่านบรมครูเช่นนี้”
เฟิ่งสือจิ่นพูดต่อ “ท่านบรมครูพูดเช่นนี้ออกมาได้ แสดงว่าท่านเป็คนมีจิตใจกว้างขวาง ทำเพื่อส่วนรวมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน สมแล้วที่เป็บรมครูที่น่ายกย่อง แต่โลกใบนี้ก็มีท่านบรมครูขงจื๊อแค่คนเดียวนี่ เพราะหากทุกคนเป็เช่นนี้ ท่านบรมครูก็คงไม่ถูกยกย่องและสรรเสริญมาจนถึงปัจจุบันหรอก ดังนั้น แม้ท่านบรมครูจะหักห้ามใจตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่ควรบังคับให้ทุกคนทำตาม ไม่เช่นนั้น ทุกคนในโลกก็กลายเป็บรมครูได้หมดน่ะสิ”
หลิวอวิ๋นชูอ้าปากค้าง เดิมที เขาอยากให้เฟิ่งสือจิ่นขายหน้าในห้องเรียน คิดไม่ถึงว่านางจะพูดได้มีเหตุผลเช่นนี้ คำพูดและการเปรียบเทียบของนางยอดเยี่ยมจนเข้าขั้นสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว
ซูกู้เหยียนไม่ได้ชมว่านางตอบดีหรือไม่ดี เขาแค่พูดด้วยน้ำเสียงที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก “แต่หากทุกคนรู้จักควบคุมตนเอง คงจะลดปัญหายุ่งยากไปได้มาก”
เฟิ่งสือจิ่นกล่าว “ถ้าทุกคนในโลกรู้จักควบคุมตัวเองในทุกๆ เื่ รวมไปถึงเื่การเรียนและพัฒนาตนเองด้วยละก็ เช่นนั้น จะมีอาจารย์ไปอีกทำไม?”
หลิวอวิ๋นชูอ้าปากกว้างกว่าเดิม หน็อยแน่ กล้าท้าทายอำนาจของท่านอาจารย์ต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ นางใจกล้าเกินไปแล้ว
ซูกู้เหยียนไม่ได้มองนางอีก เขาเบนสายตากลับไปมองตำราในมือ แล้วพูดราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นั่งลงเถอะ”