“ข้าบอกให้เ้านั่ง ไม่ได้ยินเหรอ?” รับสั่งของเขาดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบและหนักแน่น ไม่มีท่าทีของการอยากล่วงเกินนางแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ มองตามชายสูงศักดิ์ในชุดสีแดงลายัที่ค่อย ๆ หันไปนั่งยังโต๊ะชาด้านข้าง หญิงสาวกลืนน้ำลายแล้วตั้งสติ เธอเดินตามไปนั่งข้าง ๆ พร้อมทำท่าเจียมเนื้อเจียมตัว
“ไม่เจอกันสองปีแล้วใช่หรือไม่?” อยู่ ๆ คำถามของเขาก็ทำให้นางรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เจอกันล่าสุดตอนไหน เจอกันที่ใด เธอจะรู้ได้ยังไงล่ะ หญิงสาวเอื้อมไปรินชาใส่ถ้วยให้เขาพร้อมเก็บอาการไว้ แล้วฝืนยิ้มออกมา
“เท่าที่หม่อมฉันจำได้ ก็น่าจะประมาณนั้นเพคะ” เขารับชามาจิบด้วยท่าทางสงบ ขณะที่สายตาของนางเผลอไปจับจ้องที่ริมฝีปากของเขาที่กำลังจิบชาอุ่น ๆ และกลืนลงคอ การเคลื่อนไหวทุกอย่างของเขาล้วนดึงดูดสายตาให้นางเผลอมอง คล้ายกับหลุดเข้าไปในภวังค์ที่ไม่อาจควบคุมได้
“ตำหนักฉิงกง เ้าชอบหรือไม่?” คำถามราบเรียบของเขาทำให้หญิงสาวได้สติกลับมา แล้วน้อมศีรษะลงเล็กน้อยอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“หม่อมฉันชอบมากเพคะ”
“ข้าได้ข่าวว่าใต้เท้าจ้าว เพิ่งยกเลิกการดูตัวระหว่างเ้ากับคุณชายเติ้งไป”
“เพคะ” คำตอบของนาง ทำให้ชายสูงศักดิ์วางถ้วยชาลง แล้วหันมองด้วยสายตาราบเรียบ
“รู้หรือไม่ ว่าเป็การตัดสินใจผิดพลาด” คำพูดกำกวมของเขาทำให้หญิงสาวเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนเขาจะเอ่ยขึ้น
“เพราะเ้าเป็ถึงบุตรสาวของขุนนางขั้นสอง ตามธรรมเนียมแน่นอนว่าควรเข้าถวายตัวรับใช้ข้า แต่ข้าไม่เหมือนฮ่องเต้องค์อื่น บางทีเ้าอาจถูกลืมเลือนไปในสักวัน” สีหน้าราบเรียบและจริงจังของเขา ทำให้อี้หนิงกุ้ยเหรินฝืนยิ้มพร้อมขบคิด
‘พูดแบบนี้ คิดปฏิเสธกันแน่ ๆ’
“นอกจากจือซินกุ้ยเฟย ยังมีสนมของข้าอีกสองคน เ้าเป็คนที่สี่ เหตุใดจึงพอใจรักเช่นนี้ แทนที่จะแต่งงานกับคุณชายเติ้ง?”
‘คำถามของเขายากจริง ฉันจะรู้ได้ยังไง ว่าคุณหนูจ้าวคิดอะไร แต่ที่รู้ ๆ นางโดดหน้าผาตายไปแล้ว’
“หม่อมฉัน...ควรทำตามธรรมเนียมเพคะ ไม่ควรปฏิเสธความ้าของราชสำนัก” ชายหนุ่มพยักหน้าขึ้นลงเบา ๆ พลางหันมองไปด้านนอกที่เพิ่งจุดโคมไฟสว่าง
“ข้าจะอยู่กับเ้าในห้องนี้ อีกครู่หนึ่ง” หลังจากนั้นบทสนทนาทั้งสองก็เงียบไป เขาเอาแต่นั่งนิ่ง ไม่คิดแตะต้องตัวนางให้แปดเปื้อน ผิดกับประวัติศาสตร์ที่เรียนมา ว่าฮ่องเต้มีพระสนมนับสิบ ทั้งโอรส ธิดา พากันแย่งชิงอำนาจ
‘ประวัติของจักรพรรดิจวิ้นเทียนเท่าที่ได้ฟังคร่าว ๆ เขาเป็คนเก่งคนหนึ่งที่รวบรวมแผ่นดินไว้ได้ในอายุยังน้อย นอกนั้นไม่มีประวัติอะไรให้ค้นหา เว้นแต่หญิงที่เขารัก จือซินกุ้ยเฟยหญิงโบราณในโลงแก้วของพิพิธภัณฑ์หนานจิง’
เมื่อถึงเวลา ร่างของจวิ้นเทียนฮ่องเต้ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่กล่าวลาแม้คำเดียว ท่าทางของเขานั้นยากจะคาดเดา ดูเหมือนอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยความเ็าในเวลาเดียวกัน
ทว่ามีเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ดังลอดออกมาจากด้านหลังตำหนัก ทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกใจ จึงเบี่ยงกายไปหยิบเสื้อคลุมแล้วเดินตามเสียงนั้นมา อากาศหลังจากพระอาทิตย์ตกดินเย็นเยียบมากกว่าที่คิด นางกระชับเสื้อคลุมแน่น แล้วตัดสินใจเดินตามเสียงหัวเราะที่ว่านั้นไป
ก่อนที่จะพบกับหญิงสาวสูงศักดิ์สองคน ที่นั่งหัวเราะอยู่ในศาลากลางน้ำซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากตำหนักฉิงกงมากนัก สายลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง ก่อนที่หญิงทั้งสองจะหันมองมายังอี้หนิงกุ้ยเหรินด้วยสายตาเดียวกัน หนึ่งในนั้นลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน
“ลี่หว่าน เ้าดูสิ! มีกุ้ยเหรินมาเพิ่มหนึ่งคน เดิมทีข้าคิดหวาดหวั่นกลัวความงามของนาง จะทำให้ฮ่องเต้พอพระทัย แต่พอจับเวลาที่ฮ่องเต้เข้าไปในห้องหอแล้ว ไม่ต้องเห็นหน้าก็เดาได้ว่าความงามของกุ้ยเหรินคนใหม่ ไม่ได้ดึงดูดใจฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย” อี้หนิงยืนฟังพร้อมพยายามเรียบเรียงเื่ราวต่าง ๆ
‘สองคนนี้เป็ใครกัน’ ยังไม่ทันสิ้นความคิด หญิงสูงศักดิ์อีกคนก็ลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นกอดอกทอดสายตามายังนางแล้วเอ่ยขึ้น
“เหมยจู เ้าดูสิ นางทำหน้างง หมายความว่านางไม่รู้ว่าพวกเราเป็ใคร เ้าสงเคราะห์นางหน่อยเถอะ” ก่อนหญิงสาวทั้งสองคนเดินเข้ามา แล้วมองอี้หนิงั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า พลันเอ่ยขึ้น
“พวกเรามีนามว่า ลี่หว่านและเหมยจู เป็กุ้ยเหรินที่มาก่อนเ้า” เมื่อได้ยินคำยืนยันของพวกนาง ทำให้อี้หนิงได้แต่ยิ้มตอบอย่างสุภาพ แล้วหันมองไปรอบ ๆ เพิ่งสังเกตเห็นว่าตำหนักของกุ้ยเหรินตั้งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ทำให้พวกนางสอดส่องสายตาจับความเคลื่อนไหวได้
“ข้าได้ยินเสียงหัวเราะแปลก ๆ จึงออกตามหา ไม่คิดว่าจะเป็เสียงของกุ้ยเหรินทั้งสอง เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” อี้หนิงกล่าวพร้อมเบี่ยงตัวเดินกลับเข้าตำหนัก
“เดี๋ยวก่อน!” เสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจทำให้อี้หนิงหยุดชะงัก แล้วหันกลับมา
“ที่พวกข้าหัวเราะ เพราะรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ได้ร่วมหลับนอนกับเ้าเป็แน่ เข้าไปในห้องเพียงครู่เดียวแล้วออกมา เวลาเพียงเท่านั้นไม่ทันได้ปลดอาภรณ์ของเ้า” ลี่หว่านกุ้ยเหรินพูดด้วยท่าทีเหนือกว่า ก่อนเหมยจูกุ้ยเหรินจะกล่าวเสริม
“ก็นางไม่ได้งดงามมากพอที่จะเหนี่ยวใจฮ่องเต้ มองแล้วความงามก็งั้น ๆ อีกหน่อยก็ถูกลืมเลือน” ถึงตอนนี้อี้หนิงมั่นใจแล้วว่ากำลังถูกอีกฝ่ายดูิ่ จึงปล่อยยิ้มแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าไม่งาม แล้วเ้าพวกงามมากงั้นสิ! เหตุใดข้าจึงมองไม่ออก?” คำตอบของอี้หนิงทำให้ กุ้ยเหรินทั้งสองนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ คิดอยากโต้ก็นึกคำไม่ออก จะโวยวายก็กลายเป็ไม่สำรวม ได้แต่หันมองหน้ากัน ซูหนิงเห็นท่าทางของนายสาวจึงรีบวิ่งเข้ามาจับกายผู้เป็นายแล้วกระซิบเบา ๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้