บรรดาข้าหลวงที่ได้ยินต่างพากันพูดเสริมขึ้นมา บอกว่าเพลงหยกโลหิตตกจากฟ้าร้องเช่นนี้จริงๆ จะต้องเป็หายนะตกจากฟ้าเป็แน่
กู้ฮวายโบกมือให้พวกเขาเงียบเสียงลง พูดเสียงเข้ม “ที่มาที่ไปของหยกโลหิตพวกนี้ยังต้องตรวจสอบให้เรียบร้อยเสียก่อน อีกอย่างเื่ที่เกิดในพระราชวังไม่ได้เกี่ยวข้องกับเพลงพื้นเมืองที่ร้องกันในเมือง เป็เพียงความบังเอิญเท่านั้น พวกเ้าก็เลิกพูดเลอะเทอะกวนใจคนได้แล้ว”
หลิวอันเป็หัวหน้าข้าหลวง การควบคุมปากของคนในวังเป็หน้าที่ของเขา ดังนั้นเขาจึงกำชับอย่างเคร่งครัด “ได้ยินชัดแล้วหรือไม่? ใต้เท้ากู้ยังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน พวกเ้าพูดหยกโลหิตตกจากฟ้าอะไรกัน แต่ละคนว่างมากจนไม่มีอะไรทำกันแล้วใช่หรือไม่? หากพวกเ้ายังกล้าแอบไปรวมหัวพูดกัน ข้าไม่ปล่อยเอาไว้แน่”
เหล่าข้าหลวงภายในวังต่างพากันก้มหัวลง “เ้าค่ะ/ขอรับ”
กู้ฮวายกับเสิ่นจือเหยียนเดินไปรอบๆ ตำหนักเฟิ่งเทียนรอบหนึ่ง ไม่พบเบาะแสอื่นเพิ่มเติมจึงกลับไป
มู่หรงอวี้งานยุ่งมาก จึงกลับไปจัดการกับงานหลวงเช่นกัน
มู่หรงฉือรีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักบูรพา จากนั้นก็ออกจากตำหนักไป
ที่หน้าประตูวัง รถม้าที่กำลังเคลื่อนที่ออกมา จู่ๆ ก็หยุดลง
ฉินรั่วแหวกม่านไม้ไผ่สีเขียวออก เห็นด้านนอกประตูวังมีคุณชายหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดสีขาวปลอดยืนอยู่
ยังไม่ทันมองให้ชัดว่าเป็ใคร ก็รู้สึกถึงรอยยิ้มอบอุ่นของเขา
หากเขาไม่ยิ้ม นับว่าเป็คุณชายที่บริสุทธิ์ สะอาด อบุอุ่น ยามเขายิ้มก็ยิ่งทำให้คนอยู่ใกล้รู้สึกสบายใจขึ้นมาจากความเป็กันเองของเขา
“เตี้ยนเซี่ย เป็ใต้เท้าเสิ่นเพคะ” ฉินรั่วคลี่ยิ้มกล่าว
“เปิ่นกงรู้” ตอนที่ออกจากตำหนักเฟิ่งเทียน มู่หรงฉือได้ส่งสายตาให้เขา
เสิ่นจือเหยียนโค้งตัวแล้วเข้ามาในรถม้า ยิ้มแล้วนั่งลง ท่าทางโดดเด่นล้ำลึก “เหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงได้สนใจอยากจะตรวจสอบเื่แปลกประหลาดนี้อย่างกะทันหันหรือ?”
มู่หรงฉือเลิกคิ้ว “เ้าก็เดาสิ”
เขาเข้าใจในทันที ใบหน้าเปล่งประกายแจ่มใส “เตี้ยนเซี่ยว่างงานไม่มีอะไรทำจึงตรวจสอบเื่นี้เพื่อฆ่าเวลา อีกอย่างเื่ประหลาดอย่างหยกโลหิตตกจากฟ้าเช่นนี้ ช่วยให้ได้ใช้ความคิดมาก นานวันเข้าสมองก็จะยิ่งฉับไว มีแต่เื่ดีไม่มีเสีย”
ฉินรั่วเม้มปากยิ้มแล้วพูด “ใต้เท้าเสิ่นเป็แมลงในท้องของเตี้ยนเซี่ยหรือเพคะ?”
“ข้าอยู่กับองค์รัชทายาทมาหลายปี ความคิดของเตี้ยนเซี่ยก็พอจะเดาออกบ้างล่ะนะ” เสิ่นจือเหยียนยิ้มอย่างมั่นใจ ขยิบตาให้นางด้วยท่าทางทรงเสน่ห์
“จริงสิองค์รัชทายาท หลายวันมานี้ข้าศึกษาวิธีการทานเนื้อวัวแบบหนึ่งมา มีเวลาข้าจะเข้าครัวทำให้ท่านชิม” แล้วเขาก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
“เอาสิ วันนี้เลยแล้วกัน” มือของมู่หรงฉือวางอยู่บนโต๊ะเล็ก หยกโลหิตในกองเืที่ตำหนักเฟิ่งเทียนพวกนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัวสมอง
“วิธีกินแบบใหม่อย่างไรหรือ?” ความอยากรู้อยากเห็นของฉินรั่วถูกกระตุ้นขึ้นมา ถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “เป็ดย่างของใต้เท้าเสิ่นครั้งก่อน หนูฉายยังหวนนึกถึงจนทุกวันนี้เลยเ้าค่ะ”
สำหรับเป็ดย่างของเขาครั้งที่แล้วมู่หรงฉือเองก็จดจำวิธีการกินใหม่ๆ เอาไว้ได้ คิดอยู่ว่าเมื่อไรจะได้ทานอีก
เขาใช้เวลาสองชั่วยามในการทำเป็ดย่าง หลังเอาเป็ดย่างออกจากเตา เขาก็ใช้มีดที่อย่างคล่องแคล่ว จัดการแล่เนื้อเป็ดย่างส่วนพิเศษแต่ละส่วนออกมา ก่อนจะหั่นเนื้อเป็ดกับหนัง ต่อมาก็เอาผักสดมาห่อเนื้อเป็ดเอาไว้ ราดน้ำจิ้มแล้วก็เอาเข้าปาก...
แต่ว่า ตอนที่พวกนางกำลังมีความสุขกับความอร่อยของเนื้อเป็ดย่างกรอบๆ อยู่นั้นเขากลับพูดขึ้นว่า “ความจริงแล้วการแล่เนื้อเป็ดย่างกับการผ่าศพก็ไม่ต่างกัน มือต้องนิ่ง ต้องปฏิบัติกับเป็ดย่างอย่างละเอียดอ่อน นุ่มนวล อย่าทำร้ายร่างเป็ดย่างหรือศพ...”
เขาจมเข้าสู่โลกของตนเองไปก็พูดออกมาอย่างตื่นเต้นไป ตอนที่หันกลับมา ก็เห็นเตี้ยนเซี่ยกับฉินรั่วพุ่งตัวออกไป พลางเอามือยันกำแพงอาเจียนกันอยู่
“ใต้เท้าเสิ่น ตอนองค์รัชทายาทชิมอาหารเลิศรสในครั้งนี้ ขอท่านไม่ต้องพูดถึงเื่ตรวจศพอีกได้หรือไม่เ้าคะ...” ฉินรั่วขอร้องด้วยใบหน้าขมขื่น
“การตรวจศพเป็ความ้าชั่วชีวิตของข้า มันแทรกซึมเข้ามาในชีวิตของข้าแล้ว จะกิน จะใส่เสื้อผ้า จะพัก จะเดิน จะนอน จะอาบน้ำ...” เสิ่นจือเหยียนพูดน้ำลายแตกฟอง ทำท่าทางประกอบไปด้วย ราวกับนักพูดที่เปี่ยมไปด้วยจิติญญา
มู่หรงฉือมองไปด้านนอกหน้าต่าง คร้านจะสนใจเขาอีก
ฉินรั่วกลอกตาอย่างหมดคำพูด ยกมือขึ้นปิดใบหน้าไปกว่าครึ่งแล้วเบือนหนีไปทางอื่น
แม้การแสดงคนเดียวจะดำเนินต่อไปไม่ได้ แต่เสิ่นจือเหยียนก็ยังไม่หุบปากโดยไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนแต่อย่างใด เพราะว่าทุกครั้งที่เขากำลังพูดคุยอย่างออกรส คนข้างกายก็มักจะหันตัวไปทางอื่นเงียบๆ หรือไม่ก็เดินหนีแบบอย่างเงียบๆ กันทั้งนั้น
จากนั้นไม่นานเสิ่นจือเหยี่ยนก็ถามขึ้นว่า “เื่หยกโลหิตตกจากฟ้าที่ตำหนักเฟิ่งเทียน เตี้ยนเซี่ยพบอะไรหรือไม่?”
“เ้าพบอะไรบ้าง?” มู่หรงฉือถามกลับ
“ข้ากับใต้เท้ากู้ไม่พบอะไร” เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้วน้อยๆ “แต่ว่าข้าพบรอยเท้ากลุ่มหนึ่งบนพื้นหญ้าฝั่งตะวันตกของตำหนักเฟิ่งเทียน”
“เปิ่นกงก็พบ คิดว่าน่าจะเป็รอยเท้าของบุรุษ”
“แต่ว่ารอยเท้าชุดนี้ไม่อาจนับว่าเป็อะไรได้ ตำหนักเฟิ่งเทียนมีคนคอยเฝ้าอยู่ หากมีคนในวังเดินทางมาที่ตำหนักเป็ประจำก็ไม่แปลก”
นางพยักหน้า พูดด้วยความสงสัย “เปิ่นกงรู้สึกว่า เื่ไม่ง่ายดายเช่นนั้น”
สองคนพูดคุยปรึกษากันมาตลอดทาง เพียงครู่เดียวก็เดินทางมาถึงร้านเครื่องหยกที่เป็ร้านค้าหยกใหญ่อันดับต้นๆ ของเมืองลั่วหยาง
เสิ่นจือเหยียนกับมู่หรงฉือเข้าไปในร้านหยกด้วยกัน เ้าของร้านเห็นการแต่งตัวหรูหราของพวกเขาก็เข้ามาต้อนรับด้วยความกระตือรือร้น
มู่หรงฉือหยิบหยกโลหิตสองชิ้นออกมา เืที่เปื้อนบนหยกได้ถูกล้างทำความสะอาดออกจนหมดแล้ว ตอนนี้รูปร่างของมันวาววับราวกับไข่นกกระทา หยกสีแดงคล้ำประหนึ่งโลหิต ลายเส้นเหมือนกิ่งก้านต้นไม้ชัดเจน นางถาม “เถ้าแก่ หลายวันมานี้เ้าเคยเห็นหยกโลหิตแบบนี้หรือไม่? หรือในร้านของเ้ามีหยกเช่นนี้หรือไม่?”
“นี่เป็ของร้านอื่นข้าไม่รู้รายละเอียด” เถ้าแก่ของร้านตอบ “ทว่าหยกโลหิตสองชิ้นนี้เป็สินค้าชั้นยอด ราคาสูงยิ่ง”
“เ้าดูออกหรือไม่ว่ามันทำขึ้นมาจากที่ไหน?” มู่หรงฉือยังไม่ทันได้เรียกช่างหยกในวังมาถาม ทำได้เพียงรอกลับวังก่อน
“ข้าทำการค้าขายหยกมานานหลายปี จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหยกโลหิตทำมาจากที่ใด?” สายตาของเถ้าแก่เปล่งประกายทว่าทำท่าทางสงวนท่าทีไม่แย้มพราย
เสิ่นจือเหยียนหยิบแผ่นหยกของศาลต้าหลี่ออกมา แล้วเอาขึ้นมาโบกตรงหน้าเขา ถามอย่างจริงจัง “ศาลต้าหลี่ตรวจสอบคดี เ้ารู้อะไรก็พูดมา อย่าได้โกหก”
เถ้าแก่ร้านใ ก่อนจะรีบพูดออกมา “สายอาชีพของพวกเราน้อยมากที่จะขายหยกโลหิต หนึ่งก็เพราะว่าหยกโลหิตนั้นหาได้ยากยิ่ง สองคือหยกโลหิตเป็หยกที่ไม่เป็มงคล หากมีลูกค้า้าซื้อหยกโลหิต เ้าาของร้านของพวกเราถึงจะไปหามา”
มู่หรงฉือมองเสิ่นจือเหยียนไปหนึ่งที ขมวดคิ้ว “ทำไมถึงบอกว่าหยกโลหิตไม่เป็มงคล?”
“ที่มาของหยกโลหิตนั้นมาจากศพ พิธีศพขอรับ” เ้าของร้านกดเสียงเบาลง พูดด้วยท่าทางลึกลับ “หากมีคนในครอบครัวร่ำรวยตายจากไป ก็จะใช้หยกเป็เครื่องสักการะในงานศพ บางครอบครัวก็จะเอาหยกยัดเข้าไปในปาก เป็หยกเลี่ยมทอง”
“คนตายถูกฝังลงหลุม การทำหยกเหลี่ยมทองเป็เื่ปกติ” เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้วแน่น
“ได้ยินมาว่าหยกในปากของคนตายเหล่านี้จะไหลลงไปในคอเข้าสู่ร่างกายนานหลายปี ครั้นหลายพันปีผ่านไป เืจากศพจะซึมซาบเข้าไปในหยก เืค่อยๆ ไหลเข้าไปใจกลางหยกจนกลายเป็สีแดง หยกโลหิตที่อยู่ในร่างศพจึงกลายเป็ของที่มีราคาแพงมากที่สุด แต่ว่าก็อัปมงคลมากที่สุดเช่นกัน” เถ้าแก่เ้าของร้านกล่าว
“เช่นนั้นเืที่อยู่ด้านในหยกมีความเป็ไปได้ที่จะไหลออกมาหรือไม่?” มู่หรงฉือถามออกมาอีกครั้ง
“ปกติแล้วจะไม่ไหลออกมา ั้แ่ข้าติดตามเ้านายค้าขายหยกั้แ่เด็กจนโต ยังไม่เคยได้ยินเื่เช่นนี้มาก่อน” เถ้าแก่ร้านตอบกลับ
ครั้นเดินออกมาจากร้านขายหยกนั้น มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนก็เดินไปสอบถามร้านหยกอื่นๆ ต่อ ทุกร้านล้วนให้คำตอบไม่ต่างกัน ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยขายหยกโลหิตแบบนี้มาก่อน
ตอนนี้เลยเวลากลางวันมาแล้ว เป็่เวลาที่กำลังคึกคักที่สุด อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ พระอาทิตย์ที่ลอยอยู่บนฟ้าสาดแสงอันแสบร้อนออกมา
พวกเขาเดินไปสอบถามหลายร้าน ทั้งร้อนทั้งหิว มู่หรงฉือยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์อันร้อนระอุ หน้าผากขาวสะอาดเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ใบหน้าเล็กถูกแดดส่องจนขึ้นเป็สีแดง งดงามราวกับผลท้อ สะกดใจคนยิ่งนัก
เสิ่นจือเหยียนเห็นใบหน้าอันเปี่ยมเสน่ห์ของนาง จู่ๆ ก็ไม่อาจละสายตาได้ ตรงหน้าคือใบหน้าเล็กที่งดงามราวกับกุหลาบ ราวสตรีที่ประทินโฉมอย่างงดงามจนทำให้คนหยุดหายใจ
ทันใดนั้น หัวใจของเขาพลันกระตุก รีบส่ายหัว เหตุใดจึงมีความคิดเช่นนี้ออกมาได้?
ข้าจะต้องถูกแดดเผาจนหน้ามืดตาลายแน่ๆ!
เขาเสนอความเห็น “เตี้ยนเซี่ยหิวแล้วใช่หรือไม่ มิสู้ไปพักเท้าที่หอเต๋อเยว่ใกล้ๆ เถิด”
นางริมฝีปากแห้งผากจึงเห็นด้วยกับความคิดนี้อย่างยิ่ง
เดินทางมาถึงที่หอเต๋อเยว่ สารถีก็นำรถม้าไปจอดด้านข้าง มู่หรงฉือกำลังจะเข้าไปในหอเต๋อเยว่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องเพลง:
จันทร์ส่องแสง ส่องไปยังพื้น หยกโลหิตปรากฎออกมา จันทร์ส่องแสง ส่องลงบนพื้น ฝนสาดกระจายไปทั่วฟ้า จันทร์ส่องแสง ส่องไปยังพื้น ปลากินคน จันทร์ส่องแสง ส่องไปยังพื้น แคว้นถูก่ชิง
ฉินรั่วกับเสิ่นจือเหยียนเห็นองค์รัชทายาทเดินไปทางตะวันออก ก็รีบเดินตามไป
ในตรอกใกล้ๆ เด็กๆ เจ็ดแปดคนกำลังล้อมวงร้องเพลงกันด้วยท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์
มู่หรงฉือส่งสัญญาณให้ฉินรั่ว นางพลันเดินเข้าไปถามด้วยเสียงอ่อนโยน “พวกเ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าใครสอนพวกเ้าร้องเพลงนี้หรือ?”
เด็กหญิงอายุแปดขวบที่ดูโตหน่อยในนั้นตอบ “ข้าได้ยินคนอื่นร้อง ก็เลยร้องตามเ้าค่ะ”
เสิ่นจือเหยียนรีบเดินออกไปทันที เพียงครู่เดียวก็กลับมา ในมือมีถังหูลู่[1]สามไม้
เขานั่งคุกเข่าลง ยกถังหูลู่แล้วถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ใครตอบคำถามของข้า อีกทั้งยังตอบได้ดี ข้าจะให้รางวัลเป็ถังหูลู่หนึ่งไม้ พวกเ้ารีบยกมือขึ้นมา ไม่อย่างนั้นช้าแล้วจะไม่ได้กินนะ”
เด็กหญิงอายุแปดขวบคนนั้นพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ท่านแม่บอกเอาไว้ว่าอย่าเอาของที่คนอื่นมอบให้ตอนอยู่บนถนน ท่านเป็คนไม่ดี”
เด็กคนอื่นๆ ก็พูดตอบกลับตามๆ กัน จากนั้นก็พากันสลายตัววิ่งหนีไป
เสิ่นจือเหยียนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ มุมปากกระตุก ใบหน้าแข็งค้าง
ฉินรั่วพูดแหย่ “คิดไม่ถึงว่าคุณชายเสิ่นเองก็มีวันที่ถูกเด็กรังเกียจ”
เขายืนขึ้น มือยังถือถังหูลู่สามไม้เอาไว้ด้วยใบหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ข้าเหมือนคนไม่ดีหรือ? ข้าเสิ่นจือเหยียนแห่งศาลต้าหลี่ หน้าตาดี อบอุ่น ดูเหมือนคนไม่ดีตรงไหนกัน?”
มู่หรงฉือตบบ่าเขา “พี่ชาย เสียใจด้วยนะ”
ฉินรั่วติดตามองค์รัชทายาทเข้าไปในหอเต๋อเยว่ เสิ่นจือเหยียนร้องโหยหวนตามมา
ครั้นนั่งลงในห้องอาหารชั้นสอง มู่หรงฉือสั่งชาหนึ่งกากับอาหารหกอย่าง ก่อนจะสั่งให้เสี่ยวเอ้อนำอาหารมาไวๆ
เสิ่นจือเหยียนทำหน้าเสียใจ “เตี้ยนเซี่ย เช่นนั้นถังหูลู่นี้จะทำอย่างไร? ฉินรั่ว เ้าอยากทานหรือไม่? ข้ายกให้เ้าแล้วกัน”
“ขอบคุณใต้เท้าเสิ่นเ้าค่ะ” ฉินรั่วเองก็รับมาอย่างไม่เกรงใจ “หนูฉายจะเอากลับไปให้หรูอี้ทาน”
“เด็กพวกนั้นคงจะร้องเพลงตามเด็กคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเพลงนี้มาจากไหนด้วยซ้ำ”
แววตาของมู่หรงฉือครุ่นคิดด้วยความสงสัย
เชิงอรรถ
[1] ถังหูลู่ คือผลไม้เคลือบน้ำตาล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้